|
"..พระพุทธเจ้าต้องการให้จิตมันเห็นจิต มันไม่เห็นให้บริกรรมให้เห็น ต้องการให้มันเบื่อหน่าย ให้มันเห็นว่าไม่ใช่ตน สิ่งเหล่านี้ ธาตุทั้ง ๔ ก็ดี ล้วนตกอยู่ในไตรลักษณ์ทั้งนั้น อายตนะก็ดีตกอยู่ในไตรลักษณ์หมดทั้งนั้น เรามาสำคัญว่าหู ว่าจมูก ว่าตา ว่าลิ้น ว่ากาย ว่าใจเป็นของเรา เป็นเหตุให้ยึดมั่นถือมั่น นั่งก็ให้มีความเจ็บ เจ็บบั้นเอว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดขาอะไรนั้น สมาธิก็ต้องออก ท่านจึงให้สู้มัน ไม่ต้องหลบมัน เราจะสู้ข้าศึกก็ต้องอย่างนั้นแหละ ต้องมีขันติความอดทน ทนสู้กับความเจ็บปวดทุกขเวทนา ดูมัน จิตมันถูกอันใดอันหนึ่ง จะหาความสุขใส่ตนก็มีแต่ฝึกฝนทรมานตนนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านว่า สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ ให้ทรมานจิตฟอกฝนจิตของเรา ฝนจิตให้มันว่าง ให้มันรู้เท่าความเป็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น จิตนั่นแหละจะทำประโยชน์มาให้ในชาตินี้ คือนำความสุข คือนิพพานมาให้ หรือจิตเรายังไม่พ้น ก็จะนำสวรรค์มาให้ นำเอาความสุขมาให้ตราบเท่าตลอดเวลา ตราบเท่าชีวิต แล้วมีสติคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป..''
อนาลโยวาท หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู (พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)
“ความดีจะเป็นที่พึ่งในยามยากของเรา”
ถ้าเป็นคนฉลาดจะรู้ว่าพระศาสนา คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเราได้ ถ้าเข้าหาพระศาสนาอยู่เรื่อยๆ ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เสมอ แล้วนำไปปฏิบัติ อย่างที่ได้สอนในวันนี้ คือให้ดูใจเรา ให้เตือนสติถามตัวเราเองอยู่เสมอว่า วันคืนผ่านไปๆ ในบัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังดูใจของเราอยู่หรือเปล่า กำลังต่อสู้กับความโลภ กับความอยากอยู่หรือเปล่า
ถ้ากำลังทำอยู่ ก็ถือว่าเรากำลังใช้ชีวิตให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ เพราะการต่อสู้กับความโลภ ความอยากนี้ เท่ากับเป็นการดึงตัวเราให้ออกจากเหวลึกนั่นเอง แต่ถ้าปล่อยใจให้คิดไปในทางโลภ ความอยาก แล้วทำตามความโลภ ความอยาก เราก็จะถูกฉุดลึกลงไปเรื่อยๆในเหว จนไม่มีทางออก จึงขอให้พวกเราทั้งหลาย จงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท จงมีสติดูการกระทำของเราอยู่เสมอ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา จนถึงเวลาหลับเลย
ขอให้ดูกาย วาจา ใจของเรา เหมือนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลนักโทษ อย่าให้คลาดจากสายตา แล้วจะเห็นการกระทำทั้ง ๓ ว่าเป็นไปในทิศทางใด ถ้าเป็นไปในทิศทางที่ดีก็ส่งเสริม รีบทำเสียเลย อย่างวันนี้นึกอยากจะทำบุญ ก็รีบมาวัด มาทำบุญเลย อย่าไปเลื่อนวันเวลา เพราะว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับเราก็ได้ แต่ถ้าทำในวันนี้แล้ว เราจะไม่เสียใจ แต่จะได้รับประโยชน์จากการกระทำความดี เพราะจะเป็นที่พึ่งในยามยากของเรา
กำลังใจ ๙ , กัณฑ์ที่๑๓๙ วันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
“เราทุกคนมีกรรมดีกรรมชั่วติดตัวมาตั้งแต่ อดีตชาติ ผลของกรรมเหล่านั้น ก็ทำให้เรา เกิดในครอบครัวต่างๆ จน มี ดี ชั่ว ฉลาด โง่ สวย ไม่สวย ความพิการทางร่างกาย และ จิตใจของมนุษย์ จะเป็นผลของกรรมเช่นกัน เพราะไม่มีใครเกิดมาอยากพิการ หูหนวก ตาบอด แขนด้วน ง่อยเปลี้ย จิตใจไม่ปกติ ไม่สมประกอบ หรือปัญญาอ่อน เป็นต้น เมื่อเราเข้าใจและเชื่อในท่านผู้รู้(พระพุทธเจ้า) ว่าที่เราเป็นอย่างนี้ ดีบ้างไม่ดีบ้าง ก็เพราะ กรรมที่เราได้ทำมา ก็ควรพยายามทำกรรมดี เพื่อความสุขความเจริญของเราในภายหน้า ผู้ที่ประกอบกรรมดีอย่างหนักและบ่อย ๆ กรรมดีนี้อาจชนะกรรมชั่วที่เบาที่ได้ทำไว้ ในอดีต กรรมที่สำคัญที่ ๑ คือ ทางใจ ควรฝึกใจให้มีความ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่ให้มีอิจฉาริษยา ไม่เบียดเบียน ไม่นินทา ไม่พยาบาท เป็นต้น การกระทำที่ไม่ดีทางกาย และทางวาจา ก็จะลดน้อยลงจนหมด มีจิตใจการปฏิบัติ สะอาด นั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง” ... สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
"..ธรรมนั้นอยู่ฟากตาย ถ้าใครกลัวตายเสียดายทุกข์ ชอบถือเอาความสนุกในการเกิดว่าเลิศเลอ ผู้นั้นต้องจัดว่าลืมตัวมัวประมาทและชอบผัดเพี้ยนเลื่อนเวลาว่า เช้า สาย บ่าย เย็น ไม่อยากบำเพ็ญความดีสำหรับตนในเวลาที่เป็นฐานะพอทำได้อยู่ ความประมาททั้งนี้ยังจะพาให้หลั่งน้ำตาด้วยความทุกข์ในสงสาร ไม่อาจประมาณได้ว่ายังอีกนานเท่าไร จึงจะผ่านพ้นแหล่งกันดารอันเป็นที่ทรมานไปได้ จึงขอฝากปัญหาธรรมเหล่านี้ไว้กับท่านทั้งหลายนำไปขบคิดด้วยว่า เราจะเป็นฝ่ายคืบหน้ากล้าตายด้วยความเพียรหมายพึ่งธรรม ไม่เหลียวหลังไปดูทุกข์ที่เคยเป็นภาระให้แบกหาม ด้วยความเจ็บแสบและปวดร้าวในหัวใจมาเป็นเวลานาน หรือยังจะเป็นฝ่ายเสียดายความตายแล้วกลับมาเกิดอีก อันเป็นตัวมหันตทุกข์ที่แสนทรมานอีกต่อไป รีบพากันนำไปพิจารณา อย่ามัวเมาเฝ้าทุกข์และหายใจทิ้งเปล่า ๆ ดังที่เป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้ จะช้าทางและเสียใจไปนาน เพราะโรงดัดสันดานกิเลส ตัวพาให้ว่ายบกอกแตกแบกกองทุกข์ไม่มีเวลาปลงวางนั้น มิได้มีอยู่ในที่อื่นใดและโลกไหน ๆ แต่มีอยู่กับผู้ตั้งหน้าบำเพ็ญด้วยการใช้หัวคิดปัญญาศรัทธาความเพียร เป็นเครื่องมือบุกเบิกเพื่อพ้นไปนี้เท่านั้น ไม่หยุดหย่อนนอนใจว่ากาลเวลายังอีกนาน สังขารยังไม่ตายร่างกายยังไม่แก่ ซึ่งเป็นความคิดที่ทำให้แย่ลงโดยถ่ายเดียว ผู้เป็นนักบวชและนักปฏิบัติจึงไม่ควรคิดอย่างยิ่ง.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
“ให้พิจารณาไตรลักษณ์ กับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่ในโลกนี้ มันก็จะแก้อวิชชาได้ เมื่ออวิชชากลายเป็นวิชชา กลายเป็นปัญญาขึ้นมา มันก็จะไม่ให้จิตไป เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป”
#คติธรรม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
“การสวดมนต์ที่ถูกต้อง ในขณะที่เราสวดมนต์ออกมาตามจังหวะ ไม่ควรสวดเร็วหรือช้าจนเกินไป ให้มันสม่ำเสมอไพเราะน่าฟัง และในขณะที่เราสวดมนต์ จิตของเราก็จ้องอยู่กับเสียงที่เราเปล่งวาจาออกมา หลับตาก็เหมือนเห็นวรรคตอนของหนังสือสวดมนต์ พอเราเปล่งวาจาจะหมดวรรคนี้ วรรคใหม่มันก็ขึ้นมาอยู่ในความรู้สึกของเราแล้ว มันจะขึ้นต่อๆกันมาเรื่อยๆ ถ้าเราสวดด้วยความจดจ่ออยู่อย่างนี้ จะสวดยาวขนาดไหนมันก็ไม่หลงไม่ผิด
ที่เราสวดแล้วมันหลงมันผิดก็เพราะว่าในขณะที่ปากของเราสวดมนต์ไปแต่ใจของเรากลับเหม่อลอยไปที่อื่น มันก็ทำให้หลงได้ แต่ถ้าเราสวดมนต์ด้วยความจดจ่อ จิตของเราก็จ้องอยู่กับเสียงที่เราเปล่งวาจาออกไป แต่ละวรรคแต่ละตอนสวดไปสวดไปมันก็จะขึ้นมาในความรู้สึกของเรา มันจะขึ้นรับกันไปเรื่อยๆต่อเนื่องกันไป การสวดมนต์แบบนี้จะมีอานุภาพยิ่งใหญ่มีอานิสงส์มหาศาลที่สุด
หลังจากสวดมนต์เสร็จแล้ว เราก็มานั่งภาวนาอบรมจิตอบรมใจ มาหาความสงบจิตสงบใจกัน การนั่งภาวนาหรือเดินจงกรมก็ควรทำด้วยความมีสติ ถ้าเราปฏิบัติธรรมด้วยความมีสติ ไม่ว่าจะอยู่อิริยาบถไหนก็ตาม มันก็เป็นการภาวนาที่แท้จริงทั้งนั้น
แต่ถ้าเราทำอย่างไม่มีสติไม่ว่าเราจะนั่งภาวนาหรือเดินจงกรม แล้วปล่อยให้จิตมันคิดเรร่อนไปเรื่อย เดินจงกรมเดินจนตายก็หาประโยชน์อะไรไม่ได้ นั่งภาวนาจนก้นด้านก็หาประโยชน์อะไรไม่ได้
การนั่งภาวนาแบบพระพุทธเจ้าหรือเดินจงกรมแบบพระพุทธเจ้าอย่างพระอริยบุคคล มันต้องเดินนั่งด้วยความมีสติ ให้มีสติกำกับจิตให้อยู่กับบทธรรมนั้นอย่างเหนียวแน่นไม่ให้มันปลีกแวะออกจากกัน
เราจะยกเอา “พุทโธ” หรือจะยกเอาอานาปานสติ หรือการกำหนดลมหายใจเข้า “พุท” ลมหายใจออก “โธ” ในขณะที่เรากำหนดบทธรรมขึ้นมาเป็นหลักยึดของจิต จิตต้องแนบแน่นอยู่กับบทธรรมนั้นจริง ๆ การที่จิตมันจะแนบแน่นอยู่กับบทธรรมนั้นได้ ก็เพราะมีสติกำกับแน่นอยู่กับบทธรรมนั้น ระมัดระวังจ้องอยู่กับบทธรรมนั้น
เปรียบเทียบเหมือนกับเราร้อยรูเข็ม ในขณะที่เราร้อยรูเข็ม ความรู้สึกทุกส่วนของเราจะจ้องอยู่ที่รูเข็ม แน่วแน่อยู่ที่รูเข็มไม่วอกแวกออกไปที่อื่น เราก็จะร้อยรูเข็มได้อย่างทะลุปรุโปร่งไปเลย
แต่ถ้ามันวอกแวกออกนอกรูเข็ม มันจะร้อยผิดไปเลย
อันนี้ก็เช่นเดียวกันเราก็ต้องอยู่ที่ความรู้สึกของเรา ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกมันผ่านกระทบที่ปลายจมูก ที่เรามีความรู้สึกอยู่ที่ปลายจมูกถึงจุดที่ลมมันมาสัมผัสกระทบอยู่ที่ปลายจมูก เราก็จ้องความรู้สึกมันลงไปตรงนั้น เอาจุดที่กระทบสัมผัสที่รู้สึกเหมือนกับรูเข็ม หรือถ้าจะเอาพุทโธก็ให้ความรู้สึกอยู่กับพุทโธเหมือนกับรูเข็ม ให้จ้องแน่วแน่อยู่ตรงนั้นไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่น
สิ่งอื่นมันจะเล็ดลอดเข้ามาปะปนอยู่ในความรู้สึกของเราก็ตาม จะเป็นสิ่งที่เป็นกุศลหรืออกุศลเราไม่ต้องสนใจมันทั้งนั้น ปล่อยมันไปตามเรื่องตามราวของมัน มันมีเกิดก็ต้องมีดับโดยที่เราไม่ต้องไปตั้งความอยากหรือไม่อยากให้มันเกิดให้มันดับ มันเป็นไปโดยธรรมชาติของมันเอง มันก็มีเกิดมีดับไปเท่านั้นเอง
เราก็จ้องอยู่กับพุทโธไปเรื่อยๆ ถ้ามันอยู่กับพุทโธได้อย่างต่อเนื่อง อารมณ์เรื่องราวต่างๆที่เคยเกาะเกี่ยวครอบงำจิตใจของเรา มันก็มีแต่จะจางออกไปเรื่อยๆ ยิ่งจางออกไปเท่าไหร่จิตจะยิ่งมีความละเอียดมากขึ้นเรื่อย ๆ จิตจะสัมผัสกับความร่มเย็นความเบาสบาย มีความสบายอกสบายใจ ในที่สุดจิตก็จะหยั่งเข้าสู่ความสงบได้
หลวงพ่อสุธรรม สุธัมโม วัดป่าบ้านตาด #วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ
“อย่ามัวเสียเวลา จงภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก เรามัวเพลิดเพลินอะไรอยู่ ไปมัวเสียอกเสียใจอะไรอยู่ ทำไมไม่ภาวนา ไม่ละกิเลส ภาวนาให้หมดสิ้นไป เวลาความแก่มาถึงเข้า หรือเวลาความเจ็บไข้ มาถึงเข้า จิตก็ว้าวุ้น ยิ่งความตายมาถึง เราละกิเลสไว้ก่อนหรือยัง ก็ตอบได้ด้วยตัวเองว่า ยังไม่หมด เมื่อยังไม่หมด เราทำอะไรอยู่ ชีวิตของคนเราหมดไป เหมือนจุดเทียนขึ้นมาแล้ว ไฟมันไหม้ไส้เทียนจนหมด เราทำอะไรอยู่ไม่พิจารณา ต้องเตือนใจของตนว่า เราภาวนาแล้วหรือยัง อย่าประมาท คือ การภานาทุกลมหายใจเข้าออก"
โอวาทธรรม หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
กลั่นกรองด้วยหลักการ - เมื่อไม่นานนี้อาตมาคุยกับคนจบ MIT (Massachusetts Institute of Technology) คนหนึ่ง ในสายตาของโลกคงต้องนับว่า ฉลาดมาก อาตมาถามเขาว่า อริยมรรค มีองค์ ๘ คืออะไร เขาบอกว่า เดี๋ยวๆ ! ... รู้สึกจะเคยเรียนในชั้น ม.๒ - ม.๓ นี่ไม่ใช่เรื่อง ตลกนะ หรือถ้าตลก ก็ตลกร้าย เป็นสิ่งที่ น่าเป็นห่วงมากกว่า ถ้าเด็กที่เรียนถึงระดับนี้ ยังไม่รู้ว่ามรรค ๘ คืออะไร แล้วสังคมเรา จะไปรอดหรือ จะเป็นสังคมพุทธแต่ชื่อใช่ไหม การรับอิทธิพลจากต่างประเทศที่น่ากลัวที่สุด ไม่ได้อยู่แค่เพียงวัตถุต่างๆ หรือวัฒนธรรม ที่ตามองเห็นเท่านั้น เช่นพวกร้านฟาสต์ฟู้ด ต่างๆ และพวกวัฒนธรรมบริโภคนิยม แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ แนวความคิด ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการดำเนินชีวิตที่ดีงาม ก็ไหลเข้ามาอยู่เรื่อยๆ และเมื่อเราไม่รู้จัก ของดีของตัวเอง ที่เราต้องทะนุถนอมและ รักษาไว้ เราก็ไม่มีหลักตัดสินว่าจะรับ อะไรบ้าง และรับอย่างไร เพราะการกลั่นกรอง สิ่งแปลกใหม่ที่จะเข้ามานั้น ต้องมีหลัก ต้องมีจุดยืนของตัวเอง ... ... พระอาจารย์ชยสาโร
..เมื่อเรามาเห็นร่างกายของเรานี้แหละเป็นภาระ เราแบกเราหาม เราดูเราแลอยู่ทั้งวันทั้งคืน มันเป็นภาระ แล้วมันทุกข์ ท่านจึงเรียกว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ ๕ เป็นภาระแล เราแบกร่างกายของพวกเรานี่มันหนัก มันดูแลรักษาประคบประหงมอยู่ มันหนัก มันเป็นภาระหนัก ตนเองมันก็หนักอยู่แล้ว ถ้ามันมีอีกหลายคนอยู่ด้วยกันมันก็หนักมากขึ้น ถ้าเกิดเราไปยึดมากเท่าไรก็ยิ่งแบกหนักมากขึ้น ตรงนี้ซิ เป็นเรื่องที่เราจะพิจารณาของเราเอง ภารหาโร จ ปุคฺคโล บุคคลยังถือภาระไป ก็เหมือนกับพวกเราแบกสิ่งแบกของนี่แหละ นำภาระสิ่งนั้น เหมือนกับบุคคลถือกระเป๋า ขนสิ่งขนของ หนักเท่าไรมันก็เทิ่งแบก เทิ่งถือ เทิ่งสารพัด มันหนักไหม ก็คือเรานี้แบกหามรูปร่างกายของพวกเรานี้ ไปโน่นไปนี่ก็ดี ขึ้นเรือ ขึ้นรถจนยางรถจะแตก มันหนัก หนักรูปร่างกาย ตนเองนี่ก็หนัก คือหนักจิตหนักใจที่ดูแลประคบประหงม..
..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
"..ถ้าเรามีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้ที่ใจของเรา บริบูรณ์เต็มที่ เราจะไปอยู่โลกไหนก็ไปได้ เพราะเรามีที่พึ่งที่อาศัย ที่ไป ที่อยู่แล้ว เราจะไปจะอยู่ก็มีความสุข เราจะพึ่งอะไรก็พึ่งได้ เมื่อเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้ในใจของเราอย่างล้นฝั่งอยู่เสมอ ไม่บกพร่อง เราจะพึ่งโลกไหนก็ พึ่งได้โดยแท้ ไม่ต้องสงสัย เมื่อพวกท่านทั้งหลาย ได้สดับในโอวาทานุศาสนีแล้ว ให้พากันกำหนดจดจำไว้ในใจ นำเอาไปปฏิบัติตาม อย่าพากันมีดวามประมาท ดังได้แสดงมาด้วยประการ ฉะนี้.."
อาจาโรวาท หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)
#อย่าเอาใจไปยุ่งเรื่องของคน เพราะไม่มีสาระแก่นสารอะไร เห็นกันไม่กี่วัน แล้วก็จะหันหน้าจมดินไปด้วยกัน
ถ้าเรายังยุ่งกับเรื่องของคน เราก็จะไปไหนไม่รอด จะต้องกลับมาอยู่บ้าน แล้วก็เวียนว่ายตายเกิด กันอยู่ในโลกอย่างนี้อีก ไม่มีโอกาสที่จะพ้นทุกข์ได้!
มันก็คนกันไปคนกันมา เหมือนยายแก่ที่คนขนม ยิ่งคนมากๆ ก็ยิ่งเหนียวเข้าทุกที ในที่สุดดึงด้ามพายที่คนขนมไม่ขึ้น มันกลับมาฟาดเอาตัวเอง นี่แหละ มันทำให้เดือดร้อนลำบาก...
#ธัมโอวาทท่านพ่อลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม
|