นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:47 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: กรรมฐานทั้ง 4
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 30 พ.ย. 2025 8:55 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
อย่าเที่ยวเดินสายกราบครูบาอาจารย์เลย
ใครไปไหน...ไปหมด
เดี๋ยวน้อยหน้าเขา.....
ไปเเล้วขอถ่ายรูป เอามาโชว์กัน
ไปด้วยอยาก... ไปด้วยโอ้ด้วยอวด
ครูบาอาจารย์รู้จักหมด... สนิทหมด
เเต่น่าเสียดาย... ตายเปล่า !!!
ที่ไม่รู้จักใจตัวเองก่อนตาย

โอวาทธรรม
พระอาจารย์นวล อคฺควณฺโณ
(ทายาทธรรม หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
วัดพุทธาราม อ.สวี จ.ชุมพร





ที่ไหนใจเราดี
ที่นั่นก็ดีหมด...

#หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม






ไม่มีอำนาจร้ายแรงใด
ทานอำนาจแห่งเมตตาได้

ทุกคนจะต้องประสบพบสิ่งไม่ต้องหู
ไม่ต้องตา ไม่ต้องใจมากมายในแต่ละวัน
พึงเตือนตนเองให้จริงใจว่า เมตตาของตน
ยังไม่พอ ต้องอบรมเมตตาให้มากยิ่งขึ้น

หยุดโกรธแค้นขุ่นเคือง น้อยใจเสียใจร้อนใจ
เพราะเสียงเพราะเรื่องที่กระทบได้เมื่อใด
เมื่อนั้นจึงแสดงว่า มีเมตตาพอสมควร พอจะ
ช่วยตนเองและช่วยผู้อื่นให้ร่มเย็นเป็นสุขได้

เมื่อนั้นทุกคนจะรู้สึกด้วยตนเองว่า เมตตา
ค้ำจุนโลกจริง เมตตาช่วยตนก่อนจริง เมตตา
ใหญ่ยิ่งจริง ... ช้างนาฬาคิรีที่กำลังบ้าคลั่ง
เมามัน ยังพ่ายแพ้แก่พระเมตตาของสมเด็จ
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่มีอำนาจร้ายแรงใดจะทานอำนาจ
แห่งเมตตาได้ นี้เป็นสัจจะคือ ความจริง
ที่จะเป็นจริงเสมอไป ไม่มีเปลี่ยนแปลง
พลังร้ายภายนอกยิ่งแรง ยิ่งต้องใช้พลัง
เมตตาที่แรง เมื่อใด พลังเมตตาแรงพอ
ก็จะสยบพลังร้ายได้สิ้น ...
...
พระคติธรรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร






"มงคลของชีวิต"

ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจมาวัดเพื่อมาเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตด้วยการกระทำสิ่งที่เป็นมงคลตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ในมงคล ๓๘ ประการ ถ้าพวกเราสามารถปฏิบัติตามได้ครบทั้ง ๓๘ ข้อ พวกเราจะไปถึงพระนิพพานกันอย่างแน่นอน

แต่ก่อนที่เราจะถึงนิพพาน ก่อนที่เราจะสามารถทำมงคลทั้ง ๓๘ ข้อให้ได้ครบถ้วน เราต้องเริ่มทำทีละข้อสองข้อไป เราก็จะก้าวหน้าขึ้นไปตามลำดับ ทางสู่พระนิพพานนี้ก็จะผ่านสวรรค์ชั้นต่างๆ สวรรค์ชั้นเทพ สวรรค์ชั้นพรหม สวรรค์ชั้นพระอริยเจ้า จนไปถึงสวรรค์พระนิพพาน ที่เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดซึ่งเกิดจากการกระทำที่เป็นมงคลทั้ง ๓๘ ประการ

มงคลนี้คืออะไร มงคลก็คือความร่มเย็นเป็นสุข อายุมั่นขวัญยืน มีความสุขกายสบายใจ ปราศจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลาย นี่คือความหมายของความเป็นสิริมงคล ถ้าพวกเราอยากจะได้ความเป็นสิริมงคล เราต้องสร้างเหตุที่ทำให้เกิดผล เหตุที่จะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลก็คือการกระทำมงคลทั้ง ๓๘ ข้อ

ในวันนี้จะฝากไว้ ๓ ข้อแรก คือ อะเสวะนา จะ พาลานังปัณฑิตานัญจ ะเสวะนา ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง
ข้อที่ ๑. คือการไม่คบคนพาลคนไม่ดีเป็นมิตร ๒. การคบบัณฑิตคนดีเป็นมิตร ๓. การบูชาบุคคลที่สมควรแก่การบูชา นี่คือสิ่งที่พวกเราควรจะหัดทำกันให้ได้ ถ้าทำได้แล้วจะได้รับมงคลสามข้อแรกไป.

ธรรมะในศาลา
วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
"มงคลชีวิต"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี







"ปล่อยให้เขาไปตามบุญตามกรรมของเขา"

ศิษย์ : เพื่อนกำลังจะไม่อยู่ในโลกนี้ พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเขา เขาไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ควรบอกเขาก่อนจะไปอย่างไรดีคะ เพื่อให้เขาไปในที่ที่ดี

พระอาจารย์ : ก็อย่างนี้แหละ มันจะเอากันง่ายๆ บอกปั๊บไปได้ปุ๊บเลย แล้วคนที่มานั่งหลังคดหลังแข็งมานั่งรักษาศีลนี้ มันก็ไม่มีกำลังจิตกำลังใจที่จะปฏิบัติซิ รอให้เวลาใกล้ตายแล้วให้เพื่อนมาบอกว่า ไปที่ดีนะจ๊ะ พุทโธไปนะจ๊ะ ทั้งปีทั้งชาติไม่ยอมพุทโธ เวลาจะตายมันจะมีกระจิตกระใจจะพุทโธหรือ อย่าไปทำอะไรเลยปล่อยให้เขาไปตามบุญตามกรรมของเขาเถอะ สายไปเสียแล้ว เหมือนคนขึ้นเครื่องไปแล้วไปทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว ปล่อยเขาไป เครื่องจะออกแล้ว

สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี





“โลก” เขาเอาสุขทางกายเป็นใหญ่
จิตใจจะทุกข์อย่างไรก็ช่างมัน
แต่ “ธรรม” เอาสุขทางใจเป็นใหญ่
เพราะถือว่าใจเป็นส่วนสำคัญยิ่ง
ร่างกายภายนอกถือว่าเป็นส่วนต่ำ
มีแต่คอยนำความทุกข์ เดือดร้อนและความเสื่อมความเลวมาให้
“ร่างกาย” เป็นเหมือนงูเห่า หรือ อสรพิษ ที่นำมาแต่ความเจ็บปวดเมื่อยเหน็บมาให้
หรือมิฉะนั้นก็เหมือน “เด็ก” เดี๋ยวก็อ้อน เดี๋ยวก็ดี
กวนอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่หยุดหย่อน บางคราวก็ดี บางคราวก็ร้าย
คนที่ทำแต่ “บุญ” แต่ไม่ได้ทำ “หลักของใจ” ไว้
ก็เปรียบเหมือนกับคนที่มีที่ดินแต่ไม่มีโฉนด
จะซื้อจะขายเป็นเงินเป็นทองก็ได้ดอก แต่มันอาจจะถูกเขาฉ้อโกงได้
เพราะไม่มีเสาหลักปักเขตไว้
คนที่มีศีล มีทาน แต่ไม่มี “ภาวนา” (คือ หลักของใจ)
ก็เท่ากับถือศาสนาเพียงครึ่งเดียว
เหมือนคนที่อาบน้ำแค่บั้นเอว ไม่ได้รดลงมาแต่ศีรษะ
ก็ย่อมจะไม่ได้รับความเย็นทั่วตัวเพราะไม่เย็นถึงจิตถึงใจ

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร






..#หาอุบายแก้ไขกิเลสในใจตนเอง..
..พวกเราท่านทั้งหลาย การปฏิบัติจึงเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของพวกเรา ต้องพยายามฝึกหัดดัดแปลงแก้ไข ในพรรษานอกพรรษาก็ดี พระเณรทั้งหลาย ญาติโยมอยู่ในบ้านในช่องมีโอกาสก็นั่งเจริญเมตตาภาวนา ไหว้พระนบธรรม ตั้งจิตตั้งใจอยู่ เดี๋ยวก็จะได้เห็นธรรม เพราะสมัยครั้งพุทธกาลนั้น คณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ทำไมจึงบรรลุธรรมได้ง่าย ทำไมจึงมีดวงตาเห็นธรรมได้ง่าย ก็เพราะบุญบารมีเคยสร้างสมอบรมมาไว้แต่ชาติปางก่อนนั้นหนึ่ง สอง ผู้ที่จะเห็นธรรมได้ง่ายก็คือคนมีความพากความเพียรอยู่ ไม่ได้ปล่อยปละละเลยในความพากความเพียรของตน นี่..ที่คนจะเห็นธรรม
..เหตุฉะนั้น พวกเราท่านทั้งหลาย เรามีการพยายามทำอยู่ก็เรียกว่าเราสามารถที่จะเห็นได้ ถ้าไม่เห็นในระยะใกล้ก็อีกอนาคตไปก็คงจะเห็น เมื่อเราเห็นนั้นแหละ เราก็สามารถจัดตนเองได้ว่า ตนเองบรรลุขั้นไหน ศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรมมาได้ขั้นไหน ฝึกฝนอบรมจิตใจของเราอย่างไรจึงเกิดความร่มเย็นเป็นสุขได้แค่ไหน จิตใจของพวกเราอดทนต่อความโลภ โกรธ หลงแค่ไหน อันนี้จะรู้ได้ด้วยตนเองว่าตนเองนี้ได้อะไร ได้มีความอดทนอะไร ได้แก้ไขอะไร แล้วก็จะเข้าใจว่าตนเองแก้ไขได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง
..ถ้าแก้ไขได้ปรับปรุงพัฒนาได้ บุคคลก็ย่อมมีความสุขใจ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลมีความเพียรที่บรรลุธรรมในสมัยครั้งพุทธกาลนั้นทำไมบรรลุธรรมได้ง่าย ก็คือเขาทำจริงนั่นเอง ทำจริงๆจังๆ ปฏิบัติจริงๆจังๆ ไม่ปล่อยปละละเลยในความเพียรของตนนั้นหนึ่ง หรือบุญบารมีเก่าเขาก็ดีเป็นพื้นฐานช่วยสนับสนุนอีก ความเพียรใหม่เขามีความตั้งใจ มีขันติอดทนอยู่ ต่อสู้อยู่ ปฏิบัติอยู่ เอาไปเอามาบุคคลที่มีความเพียรก็เลยสามารถบรรลุธรรมได้ เข้าใจในธรรมแจ้งชัดได้ ก็พ้นจากความทุกข์ไปได้เป็นขั้นตอน..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญญาปทีโป.






"..การพิจารณา กาย นี้ เป็นของสำคัญ ผู้ที่จะ พ้นทุกข์ ล้วนแต่ ต้องพิจารณา กาย ทั้งสิ้น สิ่งสกปรก น่าเกลียด นั่นก็คือ ตัวเรา นี่เอง ร่างกาย นี้ เป็นที่ประชุม แห่ง ของโสโครก เป็น อสุภะ ปฏิกูล น่าเกลียด เพราะฉะนั้น จงพิจารณา กาย นี้ ให้ ชำนิ ชำนาญ ให้มี สติ พิจารณา ใน ทุกที่ ทุกสถาน ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ ให้มี สติ รอบคอบ ใน กาย อยู่เสมอ ณ ที่นี้ พึง ทำให้มาก เจริญให้มาก คือ พิจารณา ไม่ต้องถอยเลย ทีเดียว.."

ภูริทตฺตะเถระวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







“วัน เดือน ปี​ มันเคลื่อนคล้อยลอยไป
ชีวิตเราก็ขยับเข้าปากมัจจุราชทุกๆ​ ที
เราจะมัวหลง​ มัวเพลินอะไรกันอยู่
ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี อะไรที่ยังไม่ได้ทำ​
ก็ให้พากันทำเสีย หากเวลาชีวิตหมดลง​
จะย้อนกลับมาทำอีกไม่ได้”
...
คำสอน หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู






ไม่ต้องร่ำรวย โดย ใช้วิธีที่ผิดศีลธรรม
เพราะเมื่อ ผิดวิธี ผิดศีลธรรม
ก็ เรียกว่า ผิดปกติ
เอาแต่รวย พอสมควร
ร่ำรวย แต่พอดี แต่ ให้มั่นคงอยู่ในศีลธรรม
อยู่ในความพอดี ของความร่ำรวย
ให้ศีลธรรม อยู่เหนือ ความร่ำรวย
จึงจะเรียกว่า ไม่ผิดปกติ
ร่ำรวยแบบ สะอาด ปกติ และมั่นคง.

" อย่าเห็นแก่เงิน จนมองไม่เห็น
ความเป็นมิตรที่ดี และความถูกต้อง
อย่าเห็นแก่อำนาจ จนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
อย่างเห็นแก่กิเลส จนลืมศีลธรรม
นี่คือสิ่งที่เธอทั้งหลาย จงจำให้ขึ้นใจ "

" การเป็นคนดี คบคนดี
อยู่ท่ามกลางคนดีในสถานที่ที่ดีงาม
ย่อมเป็นมงคลกับชีวิตเสมอ "

" เมื่อใดที่เรามีสติระลึกรู้
เมื่อนั้นบารมีสั่งสมในดวงจิตได้ตลอดเวลา "

➖➖➖
พระราชสังวราภิมณฑ์
(หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ)
วัดประดู่ฉิมพลี เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

( 27 มีนาคม พ.ศ. 2430 — 5 มีนาคม พ.ศ. 2524)
.







รู้ของจริงในจิต เป็นอย่างไร

จิตมันรู้เข้าไปที่จิต พอมันเข้าไปถึงจิตแล้ว
จิตกระเพื่อมหรือเปล่า หวั่นไหวหรือเปล่า
มันรักหรือมันเกลียด พอใจหรือไม่พอใจ
นี่! ปรากฎการณ์มันเกิดขึ้นอย่างนี้
ถ้ามันรู้สึกรักกำหนัดยินดี
นั่น! ของจริงมันปรากฎให้เรารู้

ของจริงอะไร...
ความจริงของจิตของเรา
มันยังมีกิเลส เราก็รู้ว่าเรามีกิเลส
เมื่อเรารู้ว่าเรามีกิเลส เราก็รู้จุดบกพร่องของเรา
รู้จุดด่างของเรา เราจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไรต่อไป

ถ้าสมมติว่าเราจะแก้ด้ายที่มันยุ่งๆ ถ้าเราไม่รู้ปมมัน
เราก็ไม่รู้จักที่แก้ ปมยุ่งมันอยู่ที่ตรงไหน
เรารู้แล้วเราก็แก้ที่ตรงนั้น
จิตของเรานี่ก็เหมือนกัน
ในเมื่อมันประสบอารมณ์
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีกิเลสไหม

ถ้ายินดีมันก็มีกิเลส
ถ้ายินร้ายมันก็มีกิเลส
ถ้ายึดติดมันก็มีกิเลส
นี่! ความจริงมันปรากฎให้เรารู้แล้วว่าเรามี_กิเลส

ต่อไปเมื่อเรารู้แล้วว่าเรามีกิเลส เราจะปฏิบัติอย่างไร
กิเลสมันปรากฏ กำหนดสติรู้มัน
อารมณ์มันปรากฏ กำหนดสติรู้มัน
เอาสติตัวเดียว

พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างชัดเจน
ตัณหามันเกิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันก็ดับที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันจะดับได้อย่างไร

พระอานนท์ถามว่ามันจะดับได้อย่างไร
ฝึกสติให้มันเข้มแข็ง

เราจะฝึกสติอย่างไร
การฝึกสติ ต้องทำจิตให้มีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก
อะไรก็ได้ ในเมื่อจิตของเรายังไม่เป็นเอง
เราทำเอา นึกถึงสิ่งนั้น นึกถึงสิ่งนี้
นึกถึง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก
อันนี้คือการฝึกจิตให้มีสิ่งรู้

ทีนี้ถ้าจิตมันหาสิ่งรู้มาให้ตัวมันเอง
มันคิดขึ้นมาเองได้
เรารู้ความคิดนั่นแหละเป็นอารมณ์
สิ่งรู้ของจิตทางปฏิบัติ
เราเอาสติกำหนดรู้อย่างเดียวเท่านั้น
แต่นี้มันก็หมดปัญหาแล้ว จะไปยุ่งอะไร
จะไปเที่ยวให้หลวงพ่อพุธแก้ให้
มันก็แก้ไม่ได้ มันต้องแก้ตัวเอง

เห็นสาวๆ แล้วนั่งดู มันรักมันชอบ
ก็ให้มันรักมันชอบไป แต่ว่าสตินี่เป็นตัวสำคัญ
ในขณะที่มันรักมันชอบ มันก็สร้างบาปขึ้นในใจ
มันอยากจะทำอย่างนั้น มันอยากจะทำอย่างนี้
พอไปๆ มาๆ สติมันเข้มแข็ง มีปัญญา
มันก็บอกกับตัวเองว่า
สิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา เราไม่ควรทำ
แล้วในที่สุดมันก็เลิกคิด.

➖➖➖
พระราชสังวรญาณ
( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย )
วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา
หนังสือฐานืยปูชา ๒๕๕๓ หน้า ๖๔-๖๕







เราจะมาพิจารณาย้อนไปในกรรมฐาน ๔ ผู้ใดได้เคยพิจารณาในกรรมฐาน ๔ เมื่อเราได้พิจารณาในกรรมฐาน ๔ บ่อยๆแล้ว จิตนั้นจะมีความทรงตัวในการเจริญฌานได้ นั้นครั้นผู้ใดเมื่อไม่ได้พิจารณาอยู่บ่อยๆ จิตมันก็จะไปหลงคิดหลงปรุงแต่ง ด้วยความคิดความปรุงแต่งทั้งหลายเหล่านี้..แม้เราจะห้ามมันไม่ให้คิดได้ แต่เราสามารถกำหนดรู้ในความคิดเหล่านั้น

การที่เรากำหนดรู้ในความคิดก็ดี เมื่อเราเห็นในความคิดแล้ว..ความคิดนั้นจะค่อยๆดับลง เพราะว่าจิตที่เราเข้าไปเห็นนี้แล นั่นแหละเรียกว่าทางเดินแห่งมรรค..คือทางเดินออกจากอุปาทานทั้งหลาย

นั้นเราลองมาพิจารณาดูซิว่าจิตที่เรายังต้องมีความคิดอยู่ ยังจรอยู่ในอารมณ์ทั้งหลายก็เพราะจิตเรานั้นยังขาดหลัก หนึ่งในนั้นในกรรมฐานแรกคืออะไร..จิตเรายังมีความกังวล มีความหดหู่ มีความเศร้าหมอง มีความเคลิบเคลิ้ม นั่นก็หมายถึงว่าเรายังมีนิวรณ์นั้นยังครอบงำจิตอยู่ จิตถ้ายังมีความหดหู่ให้เราระลึกถึงอะไร ก็ให้ระลึกถึงพุทธานุสติ คือระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ระลึกถึงองค์ภาวนา..

เมื่อเราระลึกถึงองค์ภาวนาแล้ว ไม่ว่าสัตว์ทั้งหลายก็ดี สัตว์นรกก็ดี เปรตก็ดี อสุรกายก็ดี สัตว์เดรัจฉาน หรือวิญญาณเหล่าใดก็ตาม เมื่อได้ระลึกถึงได้กระแสของพระพุทธเจ้าแล้ว เค้าจึงได้บอกว่าอันว่ากระแสพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณเป็นอย่างไร ใน ๓ แดนโลกธาตุนี้ ถ้าใครระลึกถึงคำว่าพุทโธก็ดี ระลึกถึงพุทธัง สรณัง คัจฉามิก็ดี คือระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า มีองค์ภาวนาอยู่ในใจก็ดี มารทั้งหลายจะไม่สามารถเข้ามาทำลายบีฑาได้

แสดงว่าในขณะที่จิตเรายังมีความหดหู่มีความเศร้าหมอง เรียกว่าเป็นจิตวิญญาณของสัตว์นรกก็ดี เปรตก็ดี อสุรกายก็ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตของเรานั้นผิดปรกตินั่นเอง นี่แหละเรียกว่าวิญญาณในอมนุษย์เข้ามาแฝง เมื่อจิตเราขาดพระรัตนตรัยหรือขาดที่พึ่งเมื่อไหร่ จิตเรานั้นมันจะส่งออกไปภายนอก

ครั้นเมื่อจิตเราส่งออกไปภายนอก..เคลื่อนออกไปแล้ว แล้วสติเรานั้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ดี คำว่าไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ดีเหล่านี้แล..วิญญาณเหล่านี้มันจะเข้ามาแทรกก็อยู่ตรงนี้ นั้นจิตเมื่อเราไม่อยู่กับกาย เมื่อจิตของเราไม่มีอยู่กับกาย สติของเรามีความพลั้งเผลอเมื่อไหร่ นี่แหละเค้าเรียกว่าสัตว์ที่มันผุดดุจลอยมาเกิดเข้ามาอยู่ในจิตวิญญาณของเรามันเป็นอย่างนี้ เข้ามาคอยแทรกมาคอยเบียดเบียน..

อารมณ์เหล่านี้จิตเหล่านี้มันเป็นอย่างไร มันทำให้เรามีอาการมีความป่วยไข้ได้ ไม่สบายได้..คือไม่สบายใจ มีความกังวลใจ พอจิตเรามีความอ่อนแอลงไปๆลงไปแล้ว กายเราก็จะมีความอ่อนแอตาม ดังนั้นการระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้านี้นี่แล..มันก็คือธรรมโอสถอย่างหนึ่ง

เมื่อจิตเรามีองค์ภาวนาขึ้นมา จิตมันก็จะพอมีกำลัง นี้ให้พวกโยมนั้นได้พิจารณาตรงนี้ไว้ให้มากๆในกรรมฐานตัวนี้ เรียกว่าพุทธานุสติกรรมฐาน มีอานิสงส์มีกำลังมาก เพราะใครภาวนาพุทโธ หรือระลึกถึงคุณพุทธานุสติกรรมฐานนี้ พุทธัง สรณัง คัจฉามินี้..ย่อมเข้าถึงพระนิพพานหรือการพ้นทุกข์ได้

เพราะเมื่อเราระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า อันว่าพระพุทธเจ้าคือผู้รู้ ผู้ตื่น ย่อมเข้าถึงความเบิกบาน หรือจิตที่เข้าถึงความผ่องใส นั้นจิตเมื่อเรายังผิดปรกติ ยังไม่เข้าถึงความผ่องใส ขณะที่เราภาวนาอยู่นี้มันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง หนึ่งในนั้นจิตเมื่อเราผิดปรกติแล้ว ครั้นเมื่อเราระลึกถึงองค์ภาวนาว่าพุทโธ..พุทธัง สรณัง คัจฉามินก็ดี จิตที่เรานั้นผิดปรกติไป ศีลของเราที่มีความบกพร่องไป..สิ่งเหล่านี้มันจะกลับมา

สมาธิที่เรานั้นไม่ตั้งมั่น..มันก็ทำให้มีสมาธิเกิดขึ้น เมื่อสมาธิมีกำลังแล้ว..ตัวปัญญาที่เราจะไปพิจารณาธรรมอันใดก็ตาม มันก็จะมีกำลังตามไปด้วย นี่เรียกว่าอัปปมาโณพุทโธ เรียกว่าการระลึกถึงพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณเป็นอย่างนี้

นั้นกรรมฐานตัวที่สองมันเป็นอย่างไร เมื่อจิตของเรานั้นมีโทสะ มีความอาฆาตพยาบาท อิจฉาริษยา หรือความไม่พอใจเหล่าใดก็ตาม ให้เราหมั่นเจริญเมตตา ให้ระลึกว่าให้เกิดความรัก ความสงสาร ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน จิตเมื่อยังไม่เข้าถึงเมตตาจิตเราจะมีความหยาบ เมื่อมีความหยาบแล้วจิตเรามีความโทสะ หรือเรียกว่าสัตว์นรกก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี..มันเข้ามาเข้าสิง ก็ให้ระลึกถึงตรงนี้..คือการเจริญเมตตาจิต แผ่เมตตาจิต

การแผ่เมตตาจิตนี้เพื่ออะไร ก็เพื่อให้เรานั้นเกิดอภัยทานเกิดขึ้น ทานที่มันมีอานุภาพมาก..ก็คืออภัยทาน เป็นทานที่ให้ได้ยาก คือทานอะไรก็ตามที่ให้มาจากภายในของเรา การให้สิ่งของทั้งหลายก็ชื่อว่าเป็นทานอย่างหนึ่ง แต่ยังไม่ใช่เสมอด้วยอภัยทาน เพราะการให้อภัยทานเมื่อเราให้แล้ว..มันได้เกิดสุขกับใคร เกิดสุขจากผู้ที่ให้ เกิดสุขจากผู้ที่รับ นี่เรียกว่าทานเหล่านี้จึงเรียกเป็นมหาทานอย่างหนึ่ง เป็นทานที่เกิดขึ้นได้ยาก

ถ้าใครหมั่นเจริญภาวนาเมตตาจิตลงไปแล้วอย่างนี้ มันจะทำให้จิตของเรานั้นเข้าถึงปิติคือความสุข นั้นต้องหมั่นภาวนาอย่างนี้ หมั่นพิจารณาเจริญเมตตาออกไป ทุกครั้งที่เราจะเจริญกรรมดี คือเจริญกรรมฐานก็ดี เจริญภาวนาก็ดี ให้เราอธิษฐานแผ่เมตตาว่า..

บุญกุศลทั้งหลายเหล่าใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้เคยอบรมบ่มจิตมาแล้ว ในทานศีลภาวนา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน และในขณะนี้ก็ตาม ขอบุญในขณะนี้จงสำเร็จประโยชน์ต่อทุกดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ตลอดทั้งคู่อาฆาต คู่อิจฉา คู่พยาบาทก็ดี จงได้มาโมทนาอโหสิกรรมกับข้าพเจ้า อย่าได้มีเวรมีพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันอีกต่อไปเลย

ขอบุญกุศลเหล่านี้ที่ข้าพเจ้านั้นระลึกมีสรณะ คือมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะนี้ จงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ทุกดวงจิตดวงวิญญาณนั้นพ้นจากทุกข์ทั้งหลาย พ้นจากภัยทั้งหลาย จนกว่าจะเข้าถึงการพ้นทุกข์คือพระนิพพาน ตลอดทุกรูปทุกนาม..

เมื่อเราตั้งจิตอธิษฐานไปอย่างนี้แล้ว เป็นจิตที่มีเจตนาที่จะไม่เบียดเบียน เป็นจิตที่มีเจตนาที่เรานั้นจะไม่ไปมีเวรมีกรรมกับใคร ครั้นเมื่อเรานั้นยังมีจิตในอกุศลที่มันซ่อนอยู่ในจิตของเรา คือความไม่ชอบใจในตัวบุคคลใดก็ตาม ให้เราถอนอุปาทานตรงนี้ขึ้นมา ถอนสัญญากรรมตรงนี้ขึ้นมาว่า..กรรมอันใดก็ตาม ที่ไม่ว่าบุคคลใดก็ตามที่เคยทำให้ข้าพเจ้านั้นเจ็บช้ำน้ำใจอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ข้าพเจ้าขอบุญกุศลนี้ยกถวายพระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน..

การยกถวายแล้วเป็นอย่างไร เมื่อเรายกถวายแล้วก็ต้องตั้งจิตเมตตาให้เกิดขึ้น เพื่ออะไร..เพื่อสำรวมระวังว่าจิตของเรานี้จะไปล่วงละเมิดในกรรม เมื่อเรานั้นยกเป็นอภัยทานแล้วก็ขอให้เราระวัง..ระวังใจของเรานี้แล ในความโลภ ความเกลียด ความชัง ความอาฆาต ความพยาบาท ความไม่ชอบใจ

ก็ให้พิจารณาน้อมลงไปทั้งหลาย..ว่ากรรมอันใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา ความไม่ชอบใจในอันใดก็ตามที่ใครก็ตามทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ พึงระลึกเสมอว่ามันเป็นกรรมที่เราเคยได้เบียดเบียน ได้เคยกระทำกับบุคคลเหล่านั้นไว้ นี่แหละเค้าจึงบอกว่า..กรรมเหล่านี้ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยจงอดโทษอาฆาตพยาบาทต่อกรรมเหล่านี้กับข้าพเจ้า เพื่อจะได้ไม่มีเวรมีกรรมต่อกันอีกต่อไป

เมื่อเราอธิษฐานอโหสิกรรมอย่างนี้แล้ว เมื่อเราไม่ไปพยาบาทเบียดเบียนใคร แต่กลับย้อนกลับมาหาเราเพื่อพิจารณาละอารมณ์ตรงนี้ เพื่อปลงลงไปว่ากรรมเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่ใครนั้นทำกับเราก็ตาม เป็นเพราะว่าใครมาเบียดเบียนเราก็ตาม ใครมาหลอกลวงเราก็ตาม ก็เป็นเพราะว่าเรานั้นเคยล่วงในกรรมเหล่านี้..

เมื่อเราปลงใจได้อย่างนี้แล้ว จิตเรานั้นก็จะเข้าสู่การปล่อยวางอโหสิกรรมเกิดขึ้น ก็หมั่นพิจารณาตรงนี้ให้มากๆ เมื่อหมั่นพิจารณาอย่างนี้แล้ว จิตนั้นเมื่อเราจะเจริญกรรมฐานมันก็มีความปลอดโปร่งโล่งสบาย

ครั้นเมื่อจิตของเรานั้นไปเกิดติดอยู่ในสุข หลงเพลินอยู่ในความสุขทั้งหลาย หลงเพลินในกาลเวลา หลงในโลกทั้งหลาย..ในโลกธรรมก็ดี ติดอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ในกามคุณทั้งหลาย ก็ให้เราระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ว่า..เรานั้นจะมีความตายเป็นที่สุด เราจะมีความแก่ เราจะมีความเจ็บ และเราจะมีความพลัดพราก ให้ระลึกถึงเตือนใจตัวเองไว้..ครั้นเมื่อเราติดอยู่ในสุขหรือหลงเพลิน

นั้นก็เหมือนการที่ว่าการที่เรามาประพฤติปฏิบัติแล้วมันเกิดความเกียจคร้านนั่นเอง ติดอยู่ในสุขในความเพลิน ก็ให้เราน้อมระลึกถึงความตายไว้ ระลึกถึงความแก่ ความชรา ความเสื่อมของกายสังขารว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตาไว้ เพื่ออะไร..เพื่อให้กระตุ้นตัวเองไว้ ไม่ให้ไปหลงอยู่ในขันธ์ ๕ นี้ ไม่ให้หลงเพลินไปติดอยู่ในสุขนี้ ไม่ให้หลงเพลินไปในเวลาทั้งหลาย เมื่อเราพิจารณาได้อย่างนี้แล้วมันก็จะทำให้เรามีกำลังในการที่จะประพฤติปฏิบัติ

ครั้นเมื่อจิตเราไปติดอยู่ในกามสุข หรือมีอารมณ์ในกามสุขก็ตาม ติดอยู่ในความเพลิน ติดอยู่ในการหลับนอนคือความเกียจคร้าน..อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ก็ให้พิจารณา..พิจารณาอะไร ให้พิจารณาอสุภะ ความไม่สวยไม่งาม ของปฏิกูลธาตุ อาหารเก่าอาหารใหม่ในอาการ ๓๒ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เพื่อให้มันเกิดธรรมสังเวช

อันว่าธรรมสังเวชมันเป็นอย่างไร ธรรมสังเวชมันทำให้เกิดความเบื่อหน่าย เมื่อจิตมันเบื่อหน่าย..จิตมันจะคลายจากความกำหนัด ความกำหนัดเหล่านี้แลเมื่อเราปลงลงได้แล้ว จิตมันจะเข้าสู่ความปิติความระงับ หรือเรียกว่าศีลมันก็เกิดขึ้น มีกำลังเกิดขึ้น..

นั้นกรรมฐานทั้ง ๔ นี้ให้เราพิจารณาอยู่บ่อยๆ เพราะมนุษย์ทั้งหลายนี้ไม่เกินในวิสัยในกรรมฐาน ๔ นี้ เพราะจิตของมนุษย์นี้จะมีความวิตก มีความกังวล มีความหดหู่ มีความเศร้าหมองอยู่ทุกขณะ เพราะอะไร..ครั้นเมื่อจิตเราไปยึดในอารมณ์ใดก็ตาม ไปติดพอใจในสิ่งใดก็ตาม เหล่านั้นเรียกว่าอุปาทานขันธ์ก็บังเกิด

เมื่ออุปาทานขันธ์บังเกิด ยึดว่าสิ่งนั้นเป็นเราสิ่งนี้เป็นของของเราเมื่อไหร่..นั่นแหละทุกข์ก็บังเกิด จะทุกข์มากทุกข์น้อยก็อยู่ที่เราไปยึดมากหรือยึดน้อยนั่นแล นั้นครั้นเมื่อเรานั้นมันเกิดความทุกข์เหล่านี้ เช่นว่าเราจะมาประพฤติปฏิบัติกรรมฐาน บางคนมีทรัพย์สินก็ยึดมั่นในทรัพย์สิน ออกจากบ้านจากเรือนแล้วก็ยังเป็นห่วงสิ่งนั้นเป็นห่วงสิ่งนี้ เป็นห่วงสัตว์เลี้ยง เป็นห่วงลูกหลานบ้าง..นี่อย่างนี้

ให้เราปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ บางคนก็เป็นห่วงในเรื่องการงาน ให้เราปล่อยวางเสีย ว่าถ้าเราต้องตายในวันนี้แล้ว ทุกสิ่งทั้งหลายมันจะไม่ใช่ของเราอีกต่อไป และไม่ใช่หน้าที่ของเราอีกต่อไปในภาระทั้งหลาย..เพราะอะไร การที่เรามีภาระทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ มันเป็นแค่เพียงว่าเป็นบุพกรรมที่เกิดขึ้นที่เราเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เมื่อเราเกิดตายในวันนี้แล้ว..วิบากกรรมบุพกรรมทั้งหลาย มันแล้วแต่ว่าต่างคนต่างมีกรรมกันขึ้นมา เมื่อเราตายลงไปแล้วในวันนี้..ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป ผัวเมียสามีก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป ไม่มีอะไรที่เป็นของๆเรา

สิ่งที่ว่าเป็นของเรานั่นก็เพราะเราเข้าไปยึดต่างหากว่าเป็นเรา นั้นเมื่อมีเราเมื่อไหร่..ทุกข์มันก็เกิดขึ้น ความกังวลใจมันก็เกิดขึ้น นั้นการที่เราจะมาประพฤติปฏิบัติมาเจริญภาวนาอบรมบ่มจิตเพราะอะไร เพราะให้จิตเราเข้าถึงความปล่อยวาง คลายจากความยึดมั่น ไอ้ความยึดมั่นเหล่านี้มันเป็นตัณหาอย่างหนึ่ง มันเป็นข้ออ้างของกิเลสทั้งนั้น มันคือความอยากทั้งนั้น อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาล่อลวงจิตของเราเองให้หลง นั้นการปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ต่างหาก เค้าเรียกว่าปลดปล่อยพันธนาการทั้งหลาย..

เทศนาธรรมกรรมฐาน วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
บ้านโปร่งวิเชียร อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO