นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:48 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บำเพ็ญภาวนา
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 29 พ.ย. 2025 9:37 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
การเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา คือการกลั่นกรองหาสิ่งที่เป็นสารคุณในตัวเราซึ่งเป็นงานสำคัญและมีผลเกินคาดยิ่งกว่างานอื่นใดจึงไม่ยอมให้กิเลสตัณหาอวิชชามาหลอกเล่นให้เห็นเป็นงานล่อลวงล่มจมป่นปี้ไม่มีชิ้นดี

การกลั่นกรองจิตด้วยสมาธิภาวนาก็คือการกลั่นกรองตัวเราออกเป็นสัดเป็นส่วนเพื่อทราบว่าอันไหนจริงอันไหนปลอมอันไหนจะพาให้เกิดทุกข์ อันไหนจะพาให้เกิดสุขอันไหนจะพาไปนรก อันไหนจะพาไปสวรรค์ และอันไหนจะพาไปนิพพานสิ้นทุกข์ทั้งมวลนั่นเอง

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน






“พึงเห็นโทษของความคิดที่ผิดให้จงดี
พึงเห็นให้ถนัดชัดเจน
และพึงพยายามเห็นให้สม่ำเสมอ
พึงพยายามอย่าว่างเว้นตามเห็นโทษ
ของความคิดผิดนั้น”
.
--- พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร





"..คนโง่ชอบเงินมากกว่าคนดีและความดี ขอแต่ได้เงินแม้ตัวจะเป็นอย่างไรไม่สนใจคิด ถึงจะชั่วช้าลามกหรือแสนโสมมเพียงไรก็ตาม ขนาดนายยมบาลเกลียดกลัวไม่อยากนับเข้าบัญชีผู้ต้องหา กลัวจะไปทำลายสัตว์นรกด้วยกันให้เดือดร้อนฉิบหายก็ไม่ว่า ขอแต่ได้เงินก็เป็นที่พอใจ ส่วนจะผิดถูกประการใด ถ้าบาปมีค่อยคิดบัญชีกันเองโดยเขาไม่ยุ่งเกี่ยว คนดีกับคนชั่วและสมบัติเงินทองกับธรรมคือคุณงามความดีผิดกันอย่างนี้แล ใครมีหูมีตาก็รีบคิดเสียแต่บัดนี้อย่าทันให้สายเกินไป จะหมดหนทางเลือกเฟ้น การให้ผลก็ต่างกันสุดแต่กรรมของตนจะอำนวย จะทักท้วงหรือคัดค้านไม่ได้ กรรมอำนวยให้อย่างใดต้องยอมรับเอาอย่างนั้น ฉะนั้นสัตว์โลกจึงต่างกัน ทั้งภพกำเนิด รูปร่าง ลักษณะ จริต นิสัย สุข ทุกข์อันเป็นสมบัติประจำตัวของแต่ละราย แบ่งหนักแบ่งเบากันไม่ได้ ใครมีอย่างไรก็หอบหิ้วไปเอง ดีชั่ว สุขทุกข์ก็ยอมรับ ไม่มีอำนาจปฏิเสธได้ เพราะไม่ใช่แง่กฎหมาย แต่เป็นกฎของกรรมหรือกฎของตัวเองที่ทำขึ้น มิใช่กฎของใครไปทำให้ ตัวทำเอาเอง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)





“เบื้องต้นก็ละได้สามข้อ”

พระโสดาบันนี้เป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติธรรมขั้นสูงได้ คือขั้นปัญญาหรือวิปัสสนา ที่จะละสังโยชน์สามข้อด้วยกัน คือสักกายทิฐิ การถือว่าขันธ์ ๕ คือร่างกาย หรือชีวิตจิตใจของเรานี้เอง เป็นตัวเราของเรา แล้วก็ละความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ละในเรื่องของศีลธรรม และเรื่องกฎแห่งกรรม ละความสงสัยความลูบคลำในกฎแห่งกรรมได้ เรียกว่า สีลัพพตปรามาส แปลตรงตัวว่าการลูบคลำศีล ศีลธรรมก็คือกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ทำดีแล้วได้ความสุข ทำชั่วแล้วได้ความทุกข์ แต่สังโยชน์ทั้งสามนี้มันมักจะไปเป็นพวง

ข้อที่เราต้องละให้ได้ก็คือ สักกายทิฐิ และเราก็จะได้ทั้งสีลัพพตปรามาสและวิจิกิจฉาไปในตัวด้วย มันมาด้วยกัน แต่ก่อนอื่นที่เราจะไปถึงขั้นสูงนี้ได้ คือธรรมขั้นสูงคือขั้นปัญญานี้ มันก็เหมือนกับการเรียนหนังสือ ถ้าเรายังไม่ได้ผ่านขั้นต่ำขึ้นไป แล้วจะไปเรียนขั้นอุดมศึกษานี้ก็คงจะยาก คนที่ไม่เคยเรียนหนังสือเลย ไม่เคยเข้าชั้นประถมมัธยม ไม่ผ่านชั้นประถมมัธยมแล้วก็จะไปเรียนมหาลัยเลยนี้ คงจะเป็นไปได้ยาก งั้นก็ต้องมีพื้นฐานก่อนในการที่จะสนับสนุนทำเทียร์ (Tier) ที่ต้องปฏิบัติธรรมขั้นสูงนี้ ทางศาสนาก็เหมือนกัน ใครเรียนทางศาสนา เรียนทางธรรมก็เหมือนเรียนทางโลก ก็มีขั้นมีตอน มีชั้นมีอะไรต่างๆ ทางโลกเราก็เริ่มตั้งแต่ สมัยก่อนไม่มีอนุบาลก็มีแค่ชั้นประถม สมัยนี้เพิ่มอนุบาลเข้าไปอีก คือต้องเรียนความรู้ขั้นพื้นฐานก่อน ที่จะไปสู่ขั้นสูงได้ ทางธรรมก็เหมือนกัน ก็ต้องเรียนรู้และปฏิบัติขั้นพื้นฐานให้ได้ก่อน เพราะว่าสิ่งที่จะเป็นพระโสดาบันนี้จะต้องทำในสิ่งที่ยาก และต้องหัดทำตั้งแต่ขั้นที่ง่ายขึ้นไปก่อน เพราะการละสักกายทิฐิก็คือละชีวิตของเรานี่แหละ ร่างกายของเรา ไม่ยึดไม่ติดปล่อยวาง ยิ่งตอนที่เราจะละของยากได้นี้เราต้องไปละของง่ายก่อน ที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ของที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ที่เราควรจะละก่อนก็คือทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง เราต้องไม่หวงไม่ตระหนี่ ไม่โลภไม่อยากได้ มีไว้เพียงแต่เพื่อใช้ในกิจที่จำเป็น ก็คือการเลี้ยงชีพเลี้ยงร่างกายนี้ไปเท่านั้นเอง

งั้นถ้าเรามีเงินมากกว่า เหลือจากการเลี้ยงชีพ เราก็ควรที่จะแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นไปละมันไป ถ้าเก็บไว้ก็แสดงว่ายังหวงอยู่ ถ้าไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ เราก็ต้องรู้ว่าเราต้องใช้เท่าไหร่ที่จำเป็น จำเป็นแค่ปัจจัย ๔ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค อันนี้เราต้องมีพอเพียง ถ้ามีพอเพียงแล้วยังมีเงินเหลืออยู่ อันนี้แหละ ต้องเอาไปสละทำทานบริจาค จาคะ แล้วก็ลดการหาเงิน ไม่ให้มันมากกว่าเท่าที่เราต้องการ เพราะว่าหามาได้มากกว่าเกินจำเป็น เราก็ต้องเอาไปทำบุญทำทานอยู่ดี แล้วเราจะไปทำงานหาเงินมาให้เสียเวลาทำไม นี่ขั้นทานนี้ก็คือเรื่องของการที่เราจะต้องลดละของที่มันง่ายก่อน คือทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง เเล้วก็ไม่เอาเวลาไปแสวงหาทรัพย์สมบัติเงินทองมา นอกจากถ้ามันไม่พอเพียงต่อการดำรงชีพ นี่ก็จำเป็น ก็ไปหา แต่ถ้าสมมุติว่าเรามีรายได้มากกว่ารายจ่าย เราสามารถแบ่งปันได้ เราก็ควรที่จะแบ่งปันไป คือถ้าเราอยากจะเอาเวลาให้กับการปฏิบัติมากขึ้น เราก็เอาเงินที่เราเหลือกินเหลือใช้นี้มาเป็นเงินสำรอง เพราะเราจะได้ไม่ต้องหาเงิน ไม่ต้องไปทำงานหาเงิน เพื่อเราจะได้เอาเวลาของการหาเงินหาทองนี้มาหาธรรม เบื้องต้นนี้ ต้องตัดเรื่องความโลภ ความอยากได้เงินทอง ความอยากร่ำอยากรวย แล้วก็ถ้ารวยก็อย่าห่วงทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ต้องสละไปเพราะว่าสิ่งที่ต้องสละมากกว่านี้ก็คือชีวิตของเรา ร่างกายของเราเอง ถ้าเรายังสละของภายนอกไม่ได้ แล้วเราจะไปสละร่างกาย ชีวิตของเราได้อย่างไร งั้นเบื้องต้นพระพุทธเจ้าถึงสอนให้ทำทานก่อนสำหรับผู้ที่ยังยุ่งเกี่ยวกับการเงินการทองอยู่ ให้มีไว้เพียงพอสำหรับการเลี้ยงดูอัตภาพร่างกายคือปัจจัย ๔ ก็พอ เพื่อจะได้ลดการหาเงินการหาทองลงไป แล้วก็ลดความหวงความตระหนี่ในทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้ จะได้มีเวลาไปปฏิบัติธรรมได้นั่นเอง เบื้องต้นต้องสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองส่วนเกินไปให้ได้ก่อน ไม่หวงไม่เก็บเอาไว้ ให้เก็บเอาไว้เท่าที่จำเป็นสำหรับการเลี้ยงดูร่างกายนี้ นี่คือสิ่งแรกที่เราต้องสละ

แล้วขั้นที่สอง เราก็ต้องสละการกระทำบาปเพราะพระโสดาบันจะไม่ทำบาปแน่นอน พระอริยบุคคลทุกคน เราก็ต้องซ้อมไว้ก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆยังทำบาปอยู่แล้วจะไปเป็นพระโสดาบันได้ยังไง พระโสดาบันนี้ไม่ทำบาป รักษาศีลมากกว่าชีวิตของตน นี่คืออันที่สองก็ต้องไม่ทำบาป รักษาศีล ๕ ให้ได้อย่างมั่นคง

แล้วทีนี้ก็ต้องไปละขั้นต่อไปก็คือละกามฉันทะ ละการยินดีหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะว่าต่อไปเราจะสละร่างกายแล้ว เราจะไม่ใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข เราจะไม่ใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย หาความสุขกัน เราก็ต้องเลิกหาความสุขทางกามคือกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ด้วยการเจริญศีล ๘ หรือเนกขัมมะ ถึงจะได้มีเวลามาปฏิบัติการภาวนาขั้นที่หนึ่งก่อน คือขั้นสมาธิหรือขั้นสมถภาวนา เพราะก่อนที่จะไปวิปัสสนาภาวนาหรือขั้นปัญญาได้นี้ ต้องมีสมถภาวนาเป็นเครื่องมือเป็นขั้นบันได เป็นผู้สนับสนุนให้ก้าวขึ้นสู่ขั้นที่สูงต่อไปได้ ถ้ายังไม่มีสมถภาวนา จิตยังไม่รวมเป็นอัปปนาสมาธิ จิตยังไม่มีอุเบกขานี้ ยังไม่มีกำลังที่จะไปต่อสู้กับกิเลสหรือสังโยชน์ที่หลอกให้จิตนี้ยึดติดกับร่างกายว่าเป็นตัวเราของเราได้ แต่ถ้ามีอุเบกขา มีจิตวางเฉยได้ก็จะมีกำลัง ถ้าปัญญาชี้ให้เห็นว่า ร่างกายนี้ความจริงไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา เป็นของดินน้ำลมไฟ ยืมมาจากดินน้ำลมไฟ แล้วก็ต้องคืนให้ดินน้ำลมไฟไปในที่สุด ถ้าไม่มีอุเบกขาจะยึดจะติดจะปล่อยวางไม่ได้ งั้นต้องผ่านสมถะก่อน มันจะได้สมถะก็ต้องเจริญสติ ต้องมีศีล ๘ เป็นผู้สนับสนุน จะได้มีเวลาเจริญศีล ๘ ได้ ปฏิบัติธรรมได้ เจริญสมถภาวนาได้ พอได้สมถะแล้ว ได้อุเบกขาทั้งขณะที่เข้าในสมาธิและขณะที่ออกมา เบื้องต้นนี้ถ้าเราได้สมถะได้สมาธิเพียงเล็กน้อยนี้ เวลาออกจากสมาธิมา อุเบกขาที่ได้ก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราต้องกลับไปสมาธิให้บ่อยๆให้มากๆ เพื่อที่จะได้มีอุเบกขาอยู่กับใจนานๆ เวลาออกจากสมาธิมา ถ้าเมื่ออุเบกขาใกล้จะหมดก็ต้องกลับเข้าไปในสมาธิใหม่ เพื่อรักษาอุเบกขาให้มีมากๆ เวลาออกจากสมาธิ เพราะเวลาออกจากสมาธิ เราจะได้ใช้อุเบกขานี้มาละสังโยชน์ต่างๆได้ด้วยปัญญา ที่จะสอนให้เห็นว่าสังโยชน์คือสิ่งต่างๆ ที่เรายึดที่เราติดเป็นทุกข์ มันไม่เที่ยง ขันธ์ ๕ นี้มันไม่เที่ยง ร่างกายของเรา ความรู้สึกนึกคิดของเรามันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวเรา มันไม่มีตัวตน มันเป็นธรรมชาติ เป็นภาวะธรรมชาติที่เกิดแล้วดับตามเหตุตามปัจจัยที่ไม่มีใครไปสามารถควบคุมบังคับมันได้ ร่างกายมันก็มีเหตุมีปัจจัยทำให้มันเกิด และก็มีเหตุมีปัจจัยทำให้มันแก่ ให้มันเจ็บ ให้มันตาย เราสอนจิตพื่อให้ปล่อยวาง ให้ยอมรับกับสภาพของความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจ ว่าร่างกายนี้จะต้องแก่ จะต้องตาย แล้วก็จะเกิดเวทนาเกิดความทุกข์ขึ้นมาให้ใจได้สัมผัสรับรู้ ซึ่งเวทนาก็มีอยู่สาม ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มีสุขเวทนา ทุกขเวทนา ไม่สุขไม่ทุกขเวทนา ก็เป็นสภาวะธรรมที่ผู้ปฏิบัติจะต้องรับให้ได้ ถ้ายังไม่ปฏิบัตินี้จะรับทุกขเวทนากันไม่ได้ พอร่างกายเจ็บหน่อยนี่วิ่งหาหมอกันวุ่นเลย มันมีบางทีบางโรคนี้ไม่ต้องไปทำอะไรมัน เดี๋ยวมันก็หายเอง ปวดตรงนั้นปวดตรงนี้หน่อยเดี๋ยวมันก็หาย พอเหตุที่ทำให้มันปวดมันหมดไปมันก็หายเอง เช่นเดินไปเตะก้อนหินมันก็เจ็บ เดี๋ยวสักพักนึงแรงที่ทำให้ขาเจ็บจากการไปเตะก้อนหินมันก็ค่อยๆ อ่อนไปหมดไป อาการเจ็บมันก็หายไปเองได้แค่นั้นเอง ไม่จำเป็นจะต้องไปหาหมอให้เสียเวลา เพียงแต่ว่าใจร้อนไม่อยากจะทนกับความเจ็บ ต้องไปหาหมอเพราะหมอมักจะมียาวิเศษ มีสเปรย์ฉีดมีอะไรทา ทาแล้วก็ทำให้รู้สึกว่าหายเร็วขึ้น เนี่ยแสดงว่าไม่ปล่อยสักกายทิฐิ ไม่ปล่อยเวทนาไม่ปล่อยร่างกาย ถ้ามีอุเบกขาแล้วก็มีปัญญาสอนให้เรารู้ว่า เวทนาหรือขันธ์ ๕ นี่เป็นธรรมชาติ เหมือนดินฟ้าอากาศ ที่เขาจะแปรปรวนไปตามเวลาของเขา ตามเหตุตามปัจจัยของเขา เราไม่สามารถที่จะไปสั่งให้ธรรมชาติให้ดินฟ้าอากาศนี้เป็นไปตามความต้องการของเราได้ ฝนตกจะไปสั่งให้มันหยุดก็ไม่ได้ ฝนไม่ตกจะสั่งให้มันตกก็ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น เวทนาก็เหมือนกัน เวลาเกิดทุกขเวทนาจะสั่งให้มันหายก็ไม่ได้ จะสั่งให้สุขเวทนามาแทนที่ทุกขเวทนาก็ไม่ได้ มันมีเหตุมีปัจจัยทำให้มันเกิดและพาให้มันเป็น และทำให้มันดับไป เราผู้ที่มาสัมผัสรับรู้คือใจนี้ มีหน้าที่เพียงแต่รู้เฉยๆ ถ้าไม่มีอุเบกขาก็อดที่จะไปรักไปชังไม่ได้ ไปกลัวไม่ได้ พอรักชังกลัวก็เลยเกิดตัณหาความอยาก สิ่งไหนที่รักก็อยากจะให้มันอยู่กับเราไปนานๆ สิ่งไหนที่ชังก็อยากจะกำจัดให้มันหายไปเร็วๆ พอทำไม่ได้ก็เกิดความเครียดขึ้นมาเกิดความทุกข์ขึ้นมา

นี่คือธรรมระดับพระโสดาบัน ต้องละสักกายทิฐิให้ได้ ถ้าละได้แล้วใจมีดวงตาเห็นธรรม จะเห็นว่าสภาวะธรรมทั้งหลายนี้ มีการเกิดแล้วต้องมีการดับเป็นธรรมดา เห็นไตรลักษณ์ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นว่าทุกข์นี้เกิดจากความอยากของใจที่อยากจะไปจัดการกับสภาวะธรรมต่างๆ ให้เป็นไปตามความต้องการของตน จึงทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา พอรู้ว่าถ้าไม่อยากจะทุกข์ก็ต้องปล่อย อย่าไปจัดการกับสภาวะธรรม ปล่อยให้สภาวะธรรมเขาเกิดเขาดับไปตามเรื่องของเขา ใจก็จะไม่ทุกข์ ก็จะเห็นอริยสัจ ๔ เห็นว่าทุกข์เกิดจากความอยากไปจัดการกับสภาวะธรรมที่ไม่สามารถจัดการมันได้ พอเห็นด้วยมรรคว่าสภาวะธรรมนี้เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เลยปล่อยวาง หยุดด้วยอุเบกขา ปล่อยให้สภาวะธรรมเป็นไปตามสภาพของเขา ร่างกายจะแก่ก็ปล่อยมันแก่ไป ร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วยก็ปล่อยมันไป ร่างกายจะตายก็ห้ามมันไม่ได้ก็ต้องปล่อยมันไป ความเจ็บความตายของร่างกาย ใจก็จะเห็นอริยสัจ ๔ เห็นทุกข์สมุทัยนิโรธมรรคที่เกิดขึ้นในใจ ทุกข์เกิดจากความอยากให้สภาวะธรรมเป็นไปตามความต้องการของเรา แต่เป็นไปไม่ได้ ถ้าอยากจะหายทุกข์ก็ต้องปล่อย ปล่อยความอยาก อย่าไปอยากให้สภาวะธรรมเป็นไปตามความอยาก เพราะเห็นด้วยปัญญาเห็นด้วยมรรคว่ามันเป็นไปไม่ได้ สภาวะธรรมเขาเกิดเขาดับไปตามเหตุตามปัจจัยของเขา เขาไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของเรา ก็ปล่อย ปล่อยให้สภาวะธรรมเกิดดับไปตามเรื่องของเขา เมื่อปล่อยด้วยปัญญาด้วยสมาธิด้วยอุเบกขา นิโรธก็เกิดขึ้นมา ทุกข์ก็ดับไป ทุกข์ก็หายไป ทุกข์ในระดับพระโสดาบันก็หายไป ทุกข์ในระดับในขันธ์ ๕ ก็จะหายไป ก็จะไม่สงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ เพราะว่าพระธรรมที่เห็นนี้เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนเอง เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนก็ไม่สงสัยผู้สอนว่ามีจริงหรือไม่มีจริง แสดงว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ไม่ต้องไปอินเดียไปหาที่ประสูติที่ตรัสรู้ ไปก็ไม่เจอพระพุทธเจ้าอยู่ดี ไปเจอแต่สถานที่ที่เขาบอกว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าอีก เพียงแต่เขาบอกกันมาก็เชื่อกันมา แต่ไม่ได้เห็นตัวพระพุทธเจ้าเหมือนกับเห็นธรรมที่เราได้จากการปฏิบัติ เห็นอริยสัจ ๔ ในใจของเรา ที่เกิดจากความอยากให้สภาวะธรรม คือ ขันธ์ ๕ เป็นไปตามความต้องการของเรา ก็เลยเกิดความทุกข์ขึ้นมา แต่พอเห็นว่าสภาวะธรรมเป็นของที่เราควบคุมบังคับไม่ได้ ต้องปล่อยวางด้วยอุเบกขาด้วยปัญญาก็ปล่อย หยุดความอยากไปควบคุมสภาวะธรรม หยุดสมุทัย ทุกข์ก็จะหายไป นิโรธก็เกิดขึ้นมา เห็นอริยสัจ ๔ อย่างชัดเจนภายในใจ เห็นในใจเห็นตามความเป็นจริง เห็นตามเหตุการณ์จริง จะให้เห็นเหตุการณ์จริงได้ก็ต้องทำให้มันมีต้องไปเจอสภาวะธรรมที่ทำให้เราเกิดความอยากขึ้นมาเช่น ต้องให้ร่างกายมันเจ็บปวด แล้วเราอยากจะให้ความเจ็บปวดหายไป แล้วเราก็จะเห็นความทุกข์ทรมานของใจเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ถ้าร่างกายไม่เจ็บปวด มันก็ไม่เห็น สภาวะความเป็นจริงยังไม่เกิด ผู้ที่ต้องการจะเห็นสภาวะความเป็นจริง บางทีต้องนั่งนานๆ ให้มันเกิดความเจ็บขึ้นมา แล้วก็ใช้ความเจ็บนั้นเป็นอุบายในการที่จะสอนใจให้ดู เพราะตอนนี้ร่างกายเจ็บแล้วใจทุกข์หรือเปล่าหรือใจเฉยๆ ถ้าใจทุกข์ก็แสดงว่ามีสมุทัยมีความอยาก อยากให้ความเจ็บหายไป อยากหนีจากความเจ็บไป อันนี้ก็จะเห็นทุกข์สมุทัย แล้วทำยังไงจะให้ทุกข์ดับไป ก็ต้องพิจารณาเวทนาว่า ความเจ็บว่ามันเป็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นของมันเอง แล้วเดี๋ยวมันก็จะดับของมันเอง เราไปควบคุมบังคับมันไม่ได้ มันเป็นอนัตตามันเป็นอนิจจัง ถ้าไม่อยากจะทุกข์ก็ปล่อยให้มันเจ็บไป หัดอยู่กับความเจ็บให้ได้ด้วยอุเบกขา ถ้ามีอุเบกขาก็เฉยได้อยู่กับความเจ็บได้ไม่เดือดร้อน สมุทัยก็หยุดระงับไป นิโรธคือความดับทุกข์ก็เกิดขึ้นมาปรากฏขึ้นมา จิตจะเห็นอริยสัจ ๔ อย่างจริงๆ ของแท้ของจริง เห็นสดๆร้อนๆ เห็นธรรมอย่างสดๆร้อนๆ ก็ไม่สงสัยพระพุทธเจ้าผู้แสดงธรรมนี้ว่ามีจริงหรือไม่จริง แล้วก็ไม่สงสัยในพระอริยสงฆ์ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง เพราะผู้ที่มี เห็นธรรมเห็นพระพุทธเจ้าคือพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั่นเอง ก็จะไม่สงสัยในเรื่องพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ว่ามีจริงหรือไม่ แล้วก็ไม่สงสัยเรื่องกฎแห่งกรรมว่า ทุกข์เกิดจากอะไร ทุกข์ก็เกิดจากการกระทำของใจนี่เอง เวลาใจคิดไปในทางที่ไม่ดี คิดไปในทางความอยากก็ทุกข์ หรือถ้าไปทำบาปก็ทำให้ใจทุกข์ขึ้นมา ถ้าไม่ทำบาปไม่ทำตามความอยาก ใจก็สุข ใจก็มีความสุขขึ้นมา ก็จะไม่สงสัยว่าทำไมจะต้องรักษาศีล เพราะการทำบาปนี้จะทำให้จิตใจของตนเองทุกข์ร้อนขึ้นมานั่นเอง ให้ทำแต่บุญทำแต่ความดี แล้วก็จะไม่ให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมาภายในใจ ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ให้หมดสิ้นไปจากใจ อันนี้เบื้องต้นก็ละได้สามข้อ พระโสดาบัน .

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม
วิสัชนาธรรม
วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี




ศรัทธาความเชื่อ

“ศรัทธาความเชื่อ ตามหลักความจริงของ
พระพุทธเจ้านี้ เป็นความเชื่อที่ไม่ขาดทุน
สูญดอก เป็นความเชื่อที่ไม่เสียเวล่ำเวลา
เป็นความเชื่อที่ถูกต้องตามหลักธรรม และ
เป็นความเชื่อที่จะหยั่งความอุตส่าห์พยายาม
ทุกด้านทุกทาง ที่จะให้โหมตัวเข้าเป็นอันหนึ่ง
อันเดียวกัน เพื่อชำระสิ่งที่เป็นข้าศึก เพื่อปราบ
ปรามสิ่งที่เป็นข้าศึก อันเป็นตัวจอมปลอม
ทั้งหลาย ออกไปจากใจโดยลำดับลำดา
จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือภายในใจ

เป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
เชื่อพระพุทธเจ้าเชื่ออย่างนี้ ศรัทธาเป็นมาเอง
วิริยะเพียรเอง เพราะเกี่ยวโยงกัน คนเราเมื่อ
มีศรัทธาถึงใจทำไมความเพียรจะไม่ถึงใจ
สติก็ต้องถึงใจ สมาธิถึงใจ ปัญญาถึงใจ
ธรรมถึงใจ กิเลสกระจายออกไปโดยลำดับ
ลำดาจนไม่มีอะไรเหลือ” ...
...
คำสอน หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี





ทำไมหลวงปู่เสาร์สอนภาวนาพุทโธ
เพราะพุทโธเป็นกริยาของใจ

หลวงพ่อก็เลยเคยแอบถามท่านว่า
ทำไม? จึงต้องภาวนา พุทโธ

ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าที่ให้ภาวนา พุทโธนั้น
เพราะพุทโธ เป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียน
เป็นตัวหนังสือเราจะเขียน พ - พาน - สระ อุ - ท – ทหาร สะกด สระ โอ ตัว ธ - ธง อ่านว่า
พุทโธ อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้วมันสงบวูบลงไปนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน พอหลังจากคำว่า พุทโธ มันก็หายไปแล้ว...

ทำไม? มันจึงหายไป เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว...จิต กลายเป็นจิตพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น
ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา พอหลังจากนั้นจิต ของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธ
แล้วก็ไปนิ่ง...รู้...ตื่น...เบิกบาน...สว่างไสว... กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ ยังแถมมี
ปีติ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อันนี้! มันเป็นพุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติเกิดขึ้นที่จิตแล้ว พุทโธ แปลว่า...ผู้รู้ ผู้ตน ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของจิตมันใกล้กับความจริง

แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธ ๆ ๆ
ในขณะที่จิตเราไม่เป็นเช่นนั้น...
ที่เราต้องมาบ่นว่า พุทโธ นั่นก็เพราะว่า
เราต้องการจะพบพุทโธ ในขณะที่พุทโธ
ยังไม่เกิดขึ้นกับจิตนั้นเราก็ต้องท่อง พุทโธ
ๆ ๆ ๆ เหมือนกับว่า เราต้องการจะพบเพื่อน
คนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขา
หรือเขายังไม่มาหาเรา เราก็เรียกชื่อเขา
ทีนี้! ในเมื่อเขามาพบเราแล้ว เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเรียก
ชื่อเขาอีก ถ้าขืนเรียกช้ำๆ เขาจะหาว่าเราร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา

ทีนี้! ในทำนองเดียวกัน ในเมื่อเรียก พุทโธ
ๆ ๆ เข้ามาในจิตของเรา เมื่อจิตของเราได้
เกิดเป็นพุทโธเอง คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จิตของเราก็หยุดเรียกเอง ทีนี้! ถ้าหากว่าเรา
มีความรู้สึกอันหนึ่งแทรกขึ้นมา เอ้า! ควรจะนึกถึงพุทโธอีก พอเรานึกขึ้นมาอย่างนี้
สมาธิของเราจะถอนทันที แล้วกิริยาที่จิตมันรู้ ตื่น เบิกบาน จะหายไป เพราะสมาธิถอน

ทีนี้! ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ ที่ท่านแนะนำพร่ำสอน ท่านจึงให้คำแนะนำว่า...
เมื่อเราภาวนาพุทโธไป จิตสงบวูบลงนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ให้ประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติอย่างนั้น...
ถ้าเราสามารถประคองจิตให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นได้ตลอดไป จิตของเราจะค่อยสงบ ละเอียด ๆ ๆ ลงไป ในช่วงเหตุการณ์ต่าง ๆ
มันจะเกิดขึ้น ถ้าจิตส่งกระแสออกนอก เกิดมโนภาพ ถ้าวิ่งเข้ามาข้างในจะเห็นอวัยวะภายในร่างกายทั่วหมด ตับ ไต ไส้ พุง เห็นหมด แล้วเราจะรู้สึกว่ากายของเรานี้เหมือนกับแก้วโปร่ง ดวงจิตที่สงบ สว่างเหมือนกับดวงไฟที่เราขุดไว้ในพลบครอบ แล้วสามารถเปล่งรัศมีสว่างออกมารอบ ๆ จนกว่าจิตจะสงบละเอียดลงไป จนกระทั่งว่า กายหายไปแล้ว จึงจะเหลือแต่จิตสว่างไสวอยู่ดวงเดียว ร่างกายตัวตนหายหมด

ถ้าหากจิตดวงนี้มีสมรรถภาพพอที่จะเกิดความรู้ความเห็นอะไรได้ จิตจะย้อนกายลงมาเบื้องล่าง เห็นร่างกายตัวเองนอนตายเหยียดยาวอยู่ ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป

โมทนาที่มา : ฐานิยตฺเถรวตฺถุ ๔
เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง
จังหวัดนครราชสีมา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓










"พูดสิ่งที่ควร พูดไปเรื่อยไม่ดี
นิ่งดีกว่า ไม่ต้องด่าว่าใคร
คนที่มีความนิ่งจะมีอำนาจในตัว
แค่ใช้สายตามองก็สามารถสงบสยบได้"

หลวงพ่อไพบูลย์ สุมังคโล







ปฏิบัติธรรมได้ผลน้อย คนชอบเศร้าใจ คิดว่าบุญเขาน้อย บารมีเขาน้อย หรือโทษเจ้ากรรมนายเวร แต่อาตมาว่าเรื่องนี้มันง่ายมาก ผลน้อยเพราะทำน้อย เท่านั้นเอง

พระอาจารย์ชยสาโร






พระพุทธเจ้าได้ตรัสอานิสงส์ของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ไว้
#ถ้าได้เจริญสติปัฏฐาน๔ต่อเนื่องกัน #ทำต่อเนื่องไปตลอดระยะเวลา๗ปี
#ก็พึงหวังผล๒อย่าง
#ก็คืออรหัตตผลหรือไม่ก็อนาคามิผล
อรหัตตผลก็ถือว่าสูงสุด สิ้นอาสวกิเลสหมด
ถ้าไม่ถึงก็รองลงมา อนาคามี
ปฏิบัติ ๗ ปี

๗ ปียกไว้
บางท่านก็อาศัยแค่ ๖ ปี
ได้บรรลุอรหัตตผลหรือว่าอนาคามิผล

๖ ปียกไว้
บางท่านก็ ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี

บางท่านก็แค่ ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน
๓ เดือน ๒ เดือน หรือ ๑ เดือน
ได้สำเร็จเป็นอนาคามีหรือพระอรหันต์

๑ เดือนยกไว้
บางท่าน ๑๕ วัน

อย่างพระสารีบุตร
เข้ามาบวชปฏิบัติ ๑๕ วัน สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ท่านเป็นโสดาบันมาก่อนบวช
ฟังธรรมจากพระอัสสชิ ได้เกิดดวงตาเห็นธรรม
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็มีความดับไปโดยธรรมดา
เป็นโสดาบัน
เมื่อมาบวชปฏิบัติ ๑๕ วัน สำเร็จเป็นพระอรหันต์
เป็นอัครสาวกชั้นเลิศในทางปัญญา
ถือว่ามีปัญญามากกว่าภิกษุสงฆ์ทั้งหลายทั้งปวง
เป็นธรรมเสนาบดี

ส่วน ๑๕ วันยกไว้
บางท่านก็ ๗ วัน
สำเร็จเป็นพระอรหันต์หรือพระอนาคามี

อย่างพระโมคคัลลานะ
ชื่อเดิม โกลิตะ
เป็นเพื่อนกันกับสารีบุตร
ก็ฟังจากเพื่อน จากอุปติสสะหรือสารีบุตร
ได้บรรลุเป็นโสดาบัน
แล้วก็พากันมาบวชพร้อมด้วยบริวาร
ปฏิบัติอยู่ ๗ วันสำเร็จเป็นพระอรหันต์
เป็นอัครสาวกชั้นเลิศทางฤทธิ์ด้วย

พระองค์ตรัสไว้ ๗ วัน
พวกเราใช้เกณฑ์เท่าไร?
เกณฑ์ต่ำสุดประมาณ ๗ วัน ๘ วัน
ก็ได้เท่าที่ได้
อินทรีย์บารมีเรายังอ่อน ต้องใช้เวลาเยอะมากขึ้น
แต่เราก็ไม่สามารถจะปฏิบัติต่อเนื่องอย่างนี้ไป ๗ ปีได้

#จริงๆก็น่าจะลงทุน
#เพราะว่าอรหัตตผลนี่ไม่มีสมบัติอะไรเทียบได้

#สมบัติทางโลกทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดทั้งชีวิต #มาแลกกับมรรคผลพิพพาน #จะเอาอันไหน?
สมบัติทางโลก เงินร้อยล้านพันล้าน กับมรรคผลนิพพาน โยมเอาอันไหน?

#ชื่อเสียงเกียรติยศสมบัติทางโลกทุกอย่าง
#ต่อให้ครอบครองทั้งโลก
#มันก็ยังแก่ยังเจ็บยังตาย #ยังทุกข์

#เมื่อสมบัติทางโลกยังดับทุกข์ให้เราไม่ได้
#แล้วเราจะเอาเวลาไปทุ่มเทกว่าจะได้ขนาดนั้น
#เราก็ไม่ได้ด้วย
#ถึงได้ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ด้วย
#ฉะนั้นก็ไม่ต้องหมดเวลาไปกับแสวงหาโลกียสมบัติเกินไป
#เอาพออยู่พอกินพอที่จะดำรงชีวิตเลี้ยงตัวครอบครัวพอประมาณ
#แล้วก็เอาเวลาปฏิบัติ
ควรจะเป็นอย่างนั้นไหม

ธรรมบรรยาย ประทีปทอง นาทีธรรม
อานิสงส์ของการเจริญสติปัฏฐาน
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา







"..เอาปลวกเป็นตัวอย่าง มันเอาดินขึ้นมาทีละนิด เราฟันไม้นี่มีสะเก็ดตกออกมามากกว่าดินปลวกตั้งเยอะ จึงฟันไปเรื่อยๆ จนขอนไม้ที่ขวางทางคนเดินผ่านไปมาก็ลำบาก วันหนึ่งมันจะขาด วันหนึ่งมันจะขาด ก็ตั้งใจไว้อย่างนั้น เหมือนเราทำความดีนะแหละ ตั้งใจจะพ้นทุกข์เมื่อเห็นโทษเห็นภัย มันก็เป็นไปเอง ไม่ต้องไปพูดถึงนิพพานมันล่ะ ไม่ใช่อยู่เฉยๆ
นี่ก็เหมือนกัน จะขาดเมื่อไรไม่เกี่ยว ฉันจะทำของฉันไปเรื่อยๆ กิเลสก็เหมือนขอนไม้ขวางทาง ฟันไปเรื่อยๆ หาวิธีอุบายคิดค้น มันก็จะมีทางพ้นทุกข์ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทำไปเรื่อยๆ คนอยู่เฉยๆ จะให้มันมี มันรู้ มันเห็นได้ เป็นไปไม่ได้นะ.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ
วัดป่าประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี
(พ.ศ.๒๔๓๑–๒๕๑๒)






“ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน” ความจริงอันนี้ก็ใช่แล้ว
ให้พากันเร่งความเพียร อย่าไปนอนใจนะ ทำเอา
ทำใครทำมันอยู่อย่างนั้น สมบัติใครสมบัติมัน
ผู้ใดขี้เกียจขี้คร้านก็เท่านั้นแหละ
มีแต่กิเลสนะที่มันเหยียบหัวอยู่นั่น
อะไรก็ต้องให้ถูกใจตัวเองหมด
ผู้อื่นก็ต้องให้ถูกใจตัวเองหมด
แต่หัวใจตัวเองก็ยังไม่ถูก
.
หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
คัดจากหนังสือ “ ๙๐ ปี เศรษฐีธรรม”






คำพูดสมมุติบัญญัติในโลกทั้งหมด... ไม่ใช่จิต
เราหลงทางไปเข้าใจว่า
นั้นเป็นนั้น นั้นเป็นนี้ ต่าง ๆ นานา
หลงทางคือ ความโง่ !
เราต้องไม่โง่.... ก็คือ.... ดูที่จิต
จิตมีความฉลาดเพราะไม่ได้ไปยึดมั่นโลก
คำพูดคำสรรเสริญคำนินทาทั้งหมด.... ไม่มีในจิต

#หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล





ให้รักษาศีลนะ
ทางต่ำมีแต่คนแย่งกันไป
ส่วนทางสูงไม่มีใครอยากจะไปเลย
ผิดศีลข้อหนึ่ง ก็ไปนรก
ผิดศีลข้อสองก็ไปเป็นเปรต
ผิดศีลข้อสามก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ส่วนข้อสี่กับข้อห้า นี้เป็นวิกลจริตเป็นไปหมดเลย
สิ่งไหนที่จะไปทางต่ำพระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้แล้ว”
.
---
จากนี้ไปโลกมนุษย์จะไม่น่าอยู่เเล้ว จะมีแต่คนพาล
คนเกเร จิตใจโหดเหี้ยม คนบาปหยาบหนามาเกิด
เราๆจะอยู่ร่วมกับเขาไม่ได้หรอก ให้พากันรีบเร่งปฏิบัติ หากเเม้นชาตินี้เรายังไม่พ้นทุกข์ ก็ให้ได้ไปบำเพ็ญภาวนารออยู่ชั้นพรหมโน่น เพื่อรอลงมาเกิดในโลกมนุษย์ยุคของพระศรีอริยเมตไตย ในยุคนั้นจะมีแต่คนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้มาเกิด ทุกคนจะมีอายุยืนเป็นหมื่นปี มีความสุข หน้าตาสวยงาม ไม่มีโรคภัย ไม่มีความยากจน และทุกคนได้บำเพ็ญภาวนา ปฏิบัติธรรม หลังจากนั้นจะได้เข้าสู่นิพพานถ้วนหน้าทุกคน

หลวงปู่อว้าน เขมโก
วัดป่านาคนิมิตต์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO