นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:51 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความเป็นจริง
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 26 พ.ย. 2025 5:55 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
“ภาวนาแล้วมีฤทธิ์”

ถาม: ท่านอาจารย์คะ พอเวลาภาวนาไปใจบางครั้งมันมีฤทธิ์เกิดขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งที่เรามีฤทธิ์อย่างนี้เกิดขึ้น ใจเราชอบที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไปดูมันให้รู้ ใจหนึ่งกล้า แต่ใจหนึ่งก็ไม่กล้า ใจหนึ่งจะกลับเข้ามาสู่ภายใน เพื่อพิจารณาถอดถอนอะไรบางอย่าง ที่มันอยู่ในใจเรา ใจหนึ่งก็ยังไม่อยากจะทำตรงนั้นค่ะ เราควรจะแก้อย่างไรตรงนี้ จะไปดูให้มันรู้ไปเลย หรือว่ากลับเข้ามาภายใน เพื่อถอดถอนอะไรที่มันอยู่ภายในใจ

ตอบ: ถ้ายังไม่มีความชำนาญในการทำจิตให้สงบ ก็ควรมุ่งทำให้ชำนาญก่อน เวลามีอะไรปรากฏขึ้นมาก็อย่าไปสนใจ หันกลับมาหาพุทโธๆ หันกลับมาหาลมหายใจ สิ่งที่ปรากฎก็จะหายไปเอง ถ้าตามมันไปก็แสดงว่าเราขาดสติแล้ว ไม่ได้อยู่กับพุทโธๆ ไม่ได้อยู่กับอารมณ์ที่เป็นเครื่องผูกจิต จิตก็จะตามไป หรือตามไปเพราะอยากจะรู้ อยากจะลอง หรือชอบเรื่องเหล่านี้ ในอดีตเคยชอบมาก่อน ของพวกนี้ไม่ใช่อยู่ๆจะปรากฏขึ้นมา ต้องเคยปรากฏขึ้นมาแล้ว เคยมีความผูกพันกันอยู่ ก็ต้องตัดสินใจว่าจะเอาอะไร ถ้าไปยุ่งกับมันก็จะเสียเวลา เหมือนกับนั่งรถมาที่นี่แต่ไปแวะแถวบางแสน แถวพัทยา ก็มาไม่ถึงสักที ถ้าถึงก็อาจจะสายเกินไปก็ได้ ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว มาไม่ทัน กิจกรรมต่างๆเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว เราไปสนุกเพลิดเพลินแถวพัทยา แถวบางแสน การภาวนาก็เป็นแบบนั้น เวลาที่ไปข้องเกี่ยวกับนิมิตต่างๆก็จะเป็นแบบนั้น นิมิตไม่ได้เป็นฐานแห่งการเจริญปัญญาเพื่อการหลุดพ้น สิ่งที่จะทำให้มีปัญญาเพื่อทำให้จิตหลุดพ้น ก็คือความสงบ ความนิ่งของจิต เป็นอุเบกขา เป็นเอกกัคคตารมณ์ เป็นผลของสมถภาวนา คุณแม่แก้วถูกหลวงตาขนาบก็เพราะเรื่องนี้ คุณแม่แก้วชอบดูนิมิตต่างๆ แต่หลวงตาห้ามไม่ให้ไปยุ่ง จนหลวงตาต้องขู่ว่าถ้าไม่เชื่อก็ไม่ต้องเป็นอาจารย์เป็นลูกศิษย์กัน ต้องแยกทางกัน ต้องขู่ขนาดนั้นถึงจะยอม.

#ภาวนธรรม
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
กัณฑ์ที่ 253
29 ตุลาคม 2549






"ควรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน เพราะหากมนุษย์ไม่ช่วยสงเคราะห์มนุษย์ด้วยกัน แล้วใครจะช่วย"

- หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน





"ต้นทางสายบุญทั้งหลายนั้นเกิดจากจิตที่เป็นกุศล
คำว่าจิตเป็นกุศลคือจิตมีปัญญาในการทำความดี
บุญทุกอย่างนั้นเริ่มต้นจากเจตนาที่ดีก่อน
เปรียบดั่งสาครไหลลงทะเลหลวง
บุญกุศลทั้งหลายที่กระทำมานั้นสุดท้ายปลายทาง
จะไหลลงไปรวมกันที่มหาสมุทรทะเลหลวง นิพพานธาตุ"

--- คำสอน หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย






..พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักทั้งหลาย ประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รักทั้งหลาย มันเป็นทุกข์ พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนอย่างนี้ ก็เหมือนเราจากกันไป คือ ล่วงลับดับจากกันไป เราเรียกว่าประสบในสิ่งไม่เป็นที่รักทั้งหลายทำให้เกิดทุกข์ ถ้าหากเราพลัดพรากจากของรักของชอบใจของพวกเราไปก็ทำให้เกิดทุกข์อีก นี่..พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนอย่างนี้..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..







หลวงพ่อเองก็มาคิดอีกเหมือนกันนะลูกหลานนะ ศรัทธาญาติโยมลูกหลานบางท่านบางคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นลูกศิษย์ลูกหาเก่าแก่ขององค์หลวงตานี่นะ ที่เข้ากับองค์หลวงตาได้แล้วพอมาเห็นพระลูกพระหลานอย่างพ่อก็ดี หลวงพ่อสุธรรมก็ดี พระครูบาอาจารย์ลูกหลานของหลวงตา เอ้ไม่เหมือนหลวงตา หลวงตาที่ท่านปฏิบัติท่านพูดอะไรเป็นอย่างโง้นอย่างงี้ อย่างงี้อย่างงั้น แต่ตามที่จริงมันก็ใช่ ยอมรับทีเดียวล่ะลูกหลานนะ หลวงพ่อก็เลยมาเปรียบเทียบว่าพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายจะให้เหมือนพระพุทธเจ้ามันไม่เหมือนหรอก ไม่เหมือนมันต่างกันเลยล่ะ ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าต้องเหนือกว่า อากัปกิริยาทุกอย่างน่าเคารพน่านับถือ
น่าเลื่อมใส เหนือกว่า

แต่พระสาวกทั้งหลายที่เป็นพระสาวกก็ต้องหย่อนลงมาอีก ลูกศิษย์ลูกหาของพระสาวกเหล่านั้นก็หย่อนลงมาอีกมันแหลมเหมือนหางตะกวดลักษณะอย่างงั้นลูกหลานนะ มันจะให้ใหญ่ไปข้างหน้าเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลวงพ่อเองก็ยอมรับเหมือนกันที่เป็นครูบาอาจารย์ หลวงพ่อก็เหมือนกับพวกเราท่านทั้งหลาย เห็นครูบาอาจารย์แล้วก็จะไปปรามาสองค์อื่นก็ไม่ได้ องค์อื่นก็คือองค์อื่นเราก็ต้องยอมรับ รุ่นพี่ของเรา ครูบาอาจารย์ของเรา ที่เรารักเคารพนับถือองค์นี้ล่ะ องค์อื่นไม่เหมือนเราจะไปปรามาสท่านก็ไม่ได้ เพราะอากัปกิริยาของท่าน กิริยาของท่านมันไม่เหมือนกันจะทำยังไง แต่ถึงยังไงก็เถอะถ้าหากว่าเราเคารพนับถือในองค์หลวงตามหาบัว หรือครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัว เราก็ปฏิบัติตามท่าน ถ้าเราไม่นับถือเลื่อมใสองค์อื่นก็เถอะนะ

เราออกไปแล้วเราไม่นับถือองค์อื่น เราไหว้ไม่ลง เรากราบไม่ลงครูบาอาจารย์องค์อื่น เราจะนับถือองค์หลวงตาองค์เดียว เราก็ปฏิบัติตามแนวที่หลวงตาประพฤติปฏิบัติ หลวงตาสอนยังไง เราปฏิบัติอย่างงั้น อันนั้นล่ะเป็นผู้เลิศประเสริฐนะ เราไม่ได้ว่ากันอันนั้นเลิศประเสริฐ ตามแนวแถวที่ได้ศึกษามาแล้วอย่างถี่ถ้วนๆ ถี่ แต่ถ้าหากว่าไม่นับถือหลวงตาแล้ว องค์อื่นก็อย่างงั้นๆ ล่ะ ตัวเองก็ทำเกเรไปทีนี้ สิ่งที่มันชั่วก็ทำไปเลย สิ่งที่มันชั่วทำไปสะเปะสะปะไป ก็เลยเสียคนไปเลยทั้งที่ศึกษากับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นกฏเป็นเกณฑ์มาแล้ว แต่ตัวเองกลับมาออกมาจากครูบาอาจารย์แล้วทำให้เสียหาย อันนั้นไม่ถูกน่าเสียดายอย่างมากเลย ถ้าเป็นลักษณะอย่างงั้นนะ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๘





"..จิตเรานี่เองผู้ก่อกรรมก่อเวร.." "..พระพุทธเจ้าแสดงไว้ ทางไปนรก ทางไปสวรรค์ ทางไปพรหมโลก ทางไปพระนิพพาน พระองค์ก็บอกไว้แล้ว "ให้วางกายให้เป็นสุจริต วาจาให้บริสุทธิ์ ใจให้บริสุทธิ์" นี้ทางไปสวรรค์ ทางมามนุษย์ ทางไปพระนิพพานให้บริสุทธิ์อย่างนี้

ทางไปนรกนั่น "เรียกว่าทุจริตนั้น ทางกาย ทางวาจา ทางใจ" อันนี้ทางไปนรก เราจะเว้นเสีย ไม่ไปละ รู้จักแล้ว เราจะไปแต่ทางที่ราบรื่น ทางสบาย การเดินก็ทางกาย วาจา ใจ เท่านั้นและ

ผู้ที่จะเที่ยวเอาภพ เอาชาติ นับกัปป์ นับกัลป์ไม่ได้ ตั้งแต่โลกเป็นโลกมา "คือดวงจิตของเรานี่เอง"

"ดวงจิตของเรานี่เองเป็นผู้ก่อกรรมก่อเวรแล้วก่อเล่า ไม่เบื่อสักที ก็แม่นดวงจิตของเรานี่แหละ.."

อนาลโยวาท
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)







จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆกรณี ย่อมไม่ได้

ก็แต่ว่าเมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใด
ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็กำหนดรู้
ว่าจิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่า ความคิด
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เราเขา ไม่ยึดถือวิจารณ์
ความคิดเหล่านั้น ทำความเห็นให้เป็นปกติ
ไม่ยึดถือความเห็นใดๆทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหล
ตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์ ...

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล






"ลักษณะบุคคลที่มีความสงบ 16 อย่าง "
1. เป็นผู้ไม่ฉุนเฉียว
2. เป็นผู้ไม่หวาดหวั่น
3. เป็นผู้ไม่โอ้อวด
4. เป็นผู้ไม่ก่อความรำคาญ
5. เป็นผู้พูดด้วยปัญญา
6. เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
7. เป็นผู้มีวาจาอันสำรวมแล้ว
8. เป็นผู้วางตัวเป็นกลาง
9. เป็นผู้มีสติทุกเมื่อ
10. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าเสมอกับเขา
11. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าวิเศษกว่าเขา
12. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าต่ำกว่าเขา
13. เป็นผู้ไม่มีโทษอันทำให้มืดมัวดุจฝ้า
14. เป็นผู้ไม่ยึดถือสิ่งใดๆ ในโลกว่าเป็นของตน
15. เป็นผู้ไม่เศร้าโศกเพราะสัตว์และสังขารที่เสื่อมไป
16. เป็นผู้ไม่ถึงอคติในธรรมทั้งหลาย

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต






บุญภายในได้แก่ การดัดตัวของเราเองให้เป็นบุญกุศล ตัวเราเปรียบเหมือนต้นไม้ในป่า เช่น ต้นตะโก ถ้าเรานำมาใส่กระถางดัดแปลงกิ่งก้านให้สวยงามก็จะมีราคาสูงขึ้น

คนที่ไม่ดัดกาย วาจา ใจของตัวเองก็เรียกว่า เป็นคนที่มีราคาต่ำ เราควรดัดมือดัดแขนให้รู้จักไหว้กราบพระ
ดัดเท้าให้รู้จักเดินไปวัด
ดัดหูให้รู้จักฟังธรรม ฟังคำที่เป็นคุณเป็นประโยชน์
ดัดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราให้สิ่งที่ไหลเข้าไปล้วนแต่เป็นบุญเป็นกุศล จมูกก็อย่าหายใจเปล่า ให้หายใจเอา “พุทโธ” เข้าออกเหมือนกับน้ำที่ไหลเข้าไปในร่างกาย ใจของเราก็จะเย็นสบายเป็นสุข ปากก็หมั่นสวดมนต์ภาวนา อย่าด่าแช่งเสียดสีหรือพูดเท็จต่อใคร

โอวาทธรรม
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร





“#มันเห็นความเป็นจริงเท่านั้นแหละ
มันก็หยุดหมดทุกอย่าง
ดีก็หยุด ร้ายก็หยุด
ท่านว่ามันเป็นความจริง
เห็น..เกิดมาก็มีความแก่ ก็มีความเจ็บ
ก็มีความตายเป็นธรรมดา

ไม่เป็นห่วงอะไรแล้ว
#เราเองก็ไม่มีห่วง #เฉย ๆ อยู่
#ยิ่งใจสงบ ยิ่งสบาย”

พระราชมงคลวชิรโกศล
(#หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ)
วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO