นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:47 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บำเพ็ญเพียร
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 24 พ.ย. 2025 4:52 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
"..พวกเราทั้งหลายจึงเป็นผู้ที่มีโชคมีบุญมากเพราะเมื่อมองไปที่สัตว์ทั้งหลายแล้ว จะเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็นต้น เป็นสัตว์ที่อาภัพมาก เพราะไม่มีโอกาสที่จะเรียนธรรม ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติธรรม ไม่มีโอกาสที่จะรู้ธรรม ฉะนั้นก็หมดโอกาสที่จะพ้นทุกข์ จึงเรียกว่าเป็นสัตว์ที่อาภัพ เป็นสัตว์ที่ต้องเสวยกรรมอยู่ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่ควรทำตัวให้เป็นมนุษย์ที่อาภัพ คือไม่มีข้อประพฤติ ไม่มีข้อปฏิบัติ อย่าให้เป็นคนอาภัพ คือ คนหมดหวังจากมรรค ผลนิพพาน หมดหวังจากคุณงามความดี อย่าไปคิดว่าเราหมดหวังเสียแล้ว ถ้าคิดอย่างนั้น จะเป็นคนอาภัพเหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย คือไม่อยู่ในข่ายของพระพุทธเจ้า ฉะนั้น เมื่อมนุษย์เป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีเช่นนี้แล้ว จึงควรที่จะปรับปรุงความรู้ ความเข้าใจ ความเห็นของตนให้อยู่ในธรรม จะได้รู้ธรรม เห็นธรรม ในชาติกำเนิดที่เป็นมนุษย์นี้ ให้สมกับที่เกิดมาเป็นสัตว์ที่ควรตรัสรู้ธรรมได้.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕)







เราสร้างดวง อย่าให้ดวงสร้างเรา
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส อินฺทปญฺโญ)
...
เราดี ดีกว่าดวงดี
เพราะดีนั้นมีที่เรา ดีกว่าที่ดวง

ทำดีนั่นแหละเราหน่วง เอาดีทั้งปวง
มาทำให้ดวง มันดี

ดวงชั่วไม่ได้เลยนี่ ถ้าเราขยันมี
ความดีทำไว้ เป็นทุน

อยู่ดี ตายดี เพราะบุญ ทำไว้เจือจุน
ตลอดชีวิตติดมา

ดวงดีมีอยู่อัตรา ก็เพราะเหตุว่า
เราทำดีเป็น เห็นมั้ย

เหตุนั้น เราท่านใดใคร ทำดีเสมอไป
ดวงดีจักมีสมบูรณ์ ฯ







ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อก็รังเกียจและโกรธเขา
ไปด่าว่านินทาเขาเอาความชั่วของเขาไปไว้ในใจตัวเอง
นั่นก็เป็นคนโง่กว่าเขา ทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือนกัน

การที่เราไปโกรธเกลียดเขานั้นมันก็คือผีที่สิงอยูในใจเรา
เขากินเนื้อเป็นบาปเราโกรธเขา เราก็เป็นผีเป็นบาปอีกเหมือนกัน
มันยังเป็นสัตว์อยู่ทั้งสองฝ่าย ยังไม่เป็นธรรมะ
อาตมาจึงว่าเหมือนกบกับคางคก”

“แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ

วันหนึ่งมีคนมาถามหลวงพ่อชาเกี่ยวกับเรื่องการกินเจ
กับการกินอาหารเนื้ออาหารปลาต่างกันอย่างไร
อย่างไหนถูก อย่างไหนผิด

เพราะปัจจุบันมีสำนักปฏิบัติที่ถือข้อวัตรปฏิบัติ
ต่างกันมากมายหลายแห่ง

บางแห่งถือว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเป็นกรรมร่วม
เพราะเท่ากับเป็นการยุให้เขาฆ่าสัตว์
ที่นั้นจะต้องถือมังสวิรัติเว้นการฉันเนื้อฉันปลาอย่างเด็ดขาด

บางแห่งว่าการกินเจเป็นข้อวัตรของเทวทัตที่เคร่งครัดเกินไป
จนพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต
เขาจึงสงสัยว่าอย่างไรจะถูกอย่างไรจะผิด
ในระหว่างข้อวัตรปฏิบัติทั้งสองแบบนี้

ท่านตอบว่า ..

“เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ
โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมันดีกว่ากัน

ความจริงแล้ว
" พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร ไม่ได้เป็นอะไร
ในจิตของท่านไม่มีอะไรเป็นอะไรอีกแล้ว "

การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่า
เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอให้คงอยู่ได้
ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร
ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง

ให้รู้จักประมาณในการบริโภค
ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา
นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันอะไร
ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรแล้ว

ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา
คนกินเนื้อ ก็อย่าเห็นแก่ปากปากท้อง
อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยจนเกินไป อย่าถึงกับฆ่าเขากิน

ส่วนคนกินเจก็ให้เชื่อมั่นในข้อวัตรของตัวเอง
เห็นคนอื่นกินเนื้ออย่าไปโกรธเขา รักษาตัวเราไว้
อย่าให้ติดอยูในการกระทำภายนอก

พระเณรในวัดนี้ของอาตมาก็เหมือนกัน
องค์ไหนจะถือข้อวัตรฉันเจก็ถือไป
องค์ไหนจะฉันธรรมดาตามมีตามได้ก็ถือไป
แต่อย่าทะเลาะกัน อย่ามองกันในเง่ร้าย
อาตมาสอนอย่างนี้ท่านก็อยู่ไปด้วยกันได้ ไม่เห็นมีอะไร

ให้เข้าใจว่า ...

" ธรรมะที่แท้นั้น เราจะเข้าถึงได้ด้วยปัญญา
ทางปฏิบัติที่ถูกก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ..."

ถ้าเราสำรวมอินทรีย์ ...
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ดีแล้ว จิตก็จะสงบ
และปัญญาความรู้เท่าทันสภาพของสังขารทั้งหลาย
ก็จะเกิดขึ้น จิตใจก็เบื่อหน่ายจากสิ่งที่น่ารักน่าใคร่ทั้งหลาย
วิมุตตก็เกิดขึ้นเท่านั้น” ...

หลวงพ่อชา สุภัทโท






"อันใดจะเกิดขึ้นซึ่งปัญญา จงพากันแสวงหา คือ
สุตมยปัญญา สดับฟังสิ่งที่ควรฟัง
จินตามยปัญญา เมื่อฟังแล้วไตร่ตรองเสียก่อน อย่าพึ่งปฏิเสธหรือเชื่อทีเดียว
ภาวนามยปัญญา ได้เห็นได้ฟังพิสูจน์แล้วทำตาม นี้เป็นปัญญาปรมัตถบารมี ได้แก่ตัววิปัสสนาญาณ คือ รู้ว่า สิ่งใดเป็นทุกข์ควรแก้ก็แก้ สิ่งใดไม่ควรแก้ก็ไม่แก้"

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร






#คำสอนของพระอาจารย์หลวงพ่อ

วสี แปลว่า ความชำนาญ
ความชำนาญนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการบำเพ็ญจิต
…….เหมือนกันกับผู้ที่เขียนหนังสือเกิดความชำนาญ เขาย่อมจะต้องเขียนได้อย่างสบาย
แม้จะหลับตาเขียนก็ได้ เพราะความชำนาญ
และเขาก็ได้ประโยชน์จากการเขียนนั้น อย่างรวดเร็ว
……..ผู้ที่บำเพ็ญจิตก็เช่นเดียวกัน ต้องแสวงหาความชำนาญให้เกิดขึ้น
หรือเรียกว่าแสวงหาวสี การที่เราตั้งจิตนั้น
เมื่อเราตั้งได้อย่างนี้ เราทำอย่างนี้ ก็เป็นอันว่าถูกต้อง เพราะความถูกนั้นอยู่ที่จิตเราตั้งได้
เมื่อจิตตั้งได้ “ความตั้งของจิตนั้น ถือว่า สติ”

#หลวงพ่อวิริยังค์_สิรินฺธโร
#ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม







ผัวของใคร เมียของใคร ลูกของใคร หลานของใคร ใครก็รัก ใครก็สงวน ไม่อยากให้ใครมาแตะต้อง

ถ้าหากว่าเราเป็นคนเก่งจริงๆ แล้ว เราเป็นนักล่าผู้หญิง ล่าผู้ชาย ล่ากามกิเลสจริงๆ แล้ว เราก็เปิดประตูบ้านของเราเอาไว้
เอา ใครอยากเข้ามา จะมาสักกี่ทวีปก็มา บ้านของเราเปิดโล่งไว้หมดแล้ว ใครต้องการคนไหนหญิงใด ชายใดเอาได้เลย นั่นจึงเรียกว่าเป็นนักกีฬา

เราก็เหมือนกัน เราไปบ้านไหนเราก็จะทำแบบนั้น ใครจะมาบ้านเราก็ให้ทำแบบนี้ แต่มันทำอย่างนั้นไม่ได้

เมื่อทำแบบนั้นไม่ได้เป็นเพราะอะไร ก็เพราะรัก เพราะความสงวน เพราะเรื่องโลกจะแตกนั่นเอง

เมื่อรู้แล้วว่าโลกจะแตก เราก็พยายามต่างคนต่างรักษาโลกไม่ให้แตกแล้ว ต่างคนต่างรักษา รักสงวนของตัว
ผัวมีผัวเดียวคนเดียวเท่านั้นพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมีสี่ ห้า หก เจ็ด ผัวเจ็ดเมียแหละ

ศีลธรรมของพระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนไว้เน้นหนักลงในนี้ว่า

"อัปปิจฉตา" แปลว่าความมักน้อย

ความมักน้อยคืออะไร คือมีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น ไม่ต้องมีมากมายก่ายกอง นอกนั้นเป็นเปรตเป็นผี เข้ามาเป็นกาฝากทำลายครอบครัวเหย้าเรือนของเราให้แตกสลายไปหมด
อย่างน้อยทะเลาะกันวันยังค่ำคืนยันรุ่ง
ผัวกับเมียเจอกันไม่ได้มีแต่การทะเลาะกัน ก็เพราะสิ่งเหล่านี้เกินนั่นเอง เกินความพอดี

"อัปปิจฉตา" ผัวเดียวเมียเดียว มีความจงรักภักดี มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ฝากเป็นฝากตายต่อกัน ด้วยอำนาจของศีลของธรรมนี้
โลกไหนจะเย็นยิ่งกว่าโลกมนุษย์เราผู้มีศีลมีธรรมอย่างนี้เล่า

เอา มหาเศรษฐี มีเมีย 20 คน 30 คน มาแข่งก็ล้มระนาวไปเลยสู้ไม่ได้ สู้คนผู้มีผัวเดียวเมียเดียวไม่ได้ จะมีเงินกี่บาทกี่สตางค์ก็ตาม มีเท่าไหร่ก็อยู่ก็กินด้วยกันไม่รั่วไหลแตกซึมไปที่อื่น นั่นเย็นที่สุด

ผัวไปนอกบ้าน เมียไปนอกบ้าน ทำงานนอกบ้าน ในบ้าน ไปใกล้ไปไกล ไปเถอะ ไปที่ไหนไป
ความฝากเนื้อฝากตัว ฝากเป็นฝากตาย ความซื่อสัตย์สุจริตมีต่อกันแล้ว ไปไหน ไปได้หมด
ผลของการของงานที่ได้มามากน้อยเอามาเฉลี่ยเผื่อแผ่กันในครอบครัวเหย้าเรือนเป็นสุขนอนก็เย็นใจสบายใจไม่ระแคะระคาย

นี่แหละอำนาจแห่งศีลธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้
"อัปปิจฉตา" ให้เป็นผู้มักน้อย คือมีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน







“ถ้าแกมาไม่ได้ ข้าจะไปหาแกเอง”

น้าสุคนธ์ ศิษย์อาวุโสท่านหนึ่งของหลวงปู่ดู่ เล่าให้ลุงสิทธิ์ฟังถึงความเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อท่านและครอบครัว รวมทั้งสานุศิษย์ผู้ใฝ่ปฏิบัติภาวนา

วันหนึ่งน้าสุคนธ์ได้กราบเรียนหลวงปู่ถึงความจำเป็นในการทำมาหากินและความที่ไม่สามารถจะไปกราบหลวงปู่ได้บ่อยครั้งอย่างที่ต้องการ พร้อมกับยืนยันกับหลวงปู่ว่าจะยังคงปฏิบัติกรรมฐานทุกๆ วัน จะไม่ทิ้งการปฏิบัติ

หลวงปู่ได้กล่าวให้กำลังใจแก่น้าสุคนธ์ว่า “ไม่เป็นไร ถ้าแกมาไม่ได้ ข้าจะเป็นฝ่ายไปหาแกเอง” โดยหลวงปู่นัดแนะพบกันตอน ๒ ทุ่ม

สมัยนั้น เวลา ๒ ทุ่ม เป็นเวลาที่เหมาะสม เพราะโดยมากคนเลิกงานกลับถึงบ้านในราว ๖ โมงเย็น มีเวลาอาบน้ำ ทานอาหาร พอ ๑-๒ ทุ่ม ก็พร้อมเข้าห้องพระ

ส่วนหลวงปู่ ท่านจะทำกิจส่วนตัวคือสวดมนต์ภาวนาตั้งแต่ ๖ โมงเย็นจนถึง ๒ ทุ่ม จากนั้นจึงเป็นเวลาส่งกระแสจิตไปช่วยเหลือการปฏิบัติกรรมฐานของสานุศิษย์ยังที่ต่างๆ

ความเมตตาของหลวงปู่ เป็นที่ซาบซึ้งใจของสานุศิษย์ทั้งหลาย อีกทั้งเป็นแรงบันดาลให้พากันขยันปฏิบัติ อย่างน้อยก็ตอนสองทุ่ม พร้อมด้วยความสำรวมระวังจิต เพราะคิดอยู่เสมอว่าหลวงปู่มาคุมการปฏิบัติถึงห้องพระที่บ้านของตน (โดยมีเสียงจิ้งจกเป็นสัญญาณบอกอย่างหนึ่ง)

“พอ”

#หลวงปู่ดู่พรหมปัญโญ








คบคนเช่นใดก็เป็นเช่นคนนั้นแล ถ้าพ่อแม่ดี ลูกหลานก็ดีนำ ถ้าพ่อแม่เลวพ่อแม่เฮ็ดบ่ดีลูกหลานก็บ่ดี ลูกก็บ่ดี เพราะเดินตามพ่อแม่ การคบหมู่คบเพื่อนคือกัน ต้องระเวียงระวังคือกัน ถ้าคบเพื่อนที่ดี แนะนำไปในทางที่ดี ชักชวนไปในทางที่ดี อันนั้นแปลว่ากัลยาณมิตร ถ้าแนะนำไปในทางที่ชั่วเรียกว่าปาปมิตร คบคนใดก็เป็นเช่นคนนั้นแล คบขี้เหล้าก็เป็นขี้เหล้า คบขี้พงขี้ไพ่ก็เป็นขี้พงขี้ไพ่ คบคนโกงก็เป็นคนขี้โกงคือเขา คบนักเลงหัวไม้ก็เป็นนักเลงหัวไม้ เพราะฉะนั้นการจะคบไผต้องดูซะก่อนว่าการคบค้าสมาคมกับผู้กับคน ถ้าคบคนเลวก็เป็นคนเลวได้ ถ้าคบคนดีก็เป็นคนดีได้

หลวงปู่ขาวเพิ่นว่า ในครั้งพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นสมัยนั้น เฮาก็ได้เกิดอยู่ เฮาเกิดขึ้นมาแล้วเฮาก็ไปเป็นหมู่ของลูกศิษย์เทวทัต โกกาลิก มันออกไปในทางสุดโต่งเฮาเลยตกนรก หลวงปู่ขาวว่าเด้นี่ มันเข้าฝ่ายทางเทวทัตเด้ เลยตกนรกซะก่อน มาชาตินี้เฮามาเกิดในศาสนาพระพุทธเจ้า มาบำเพ็ญคุณงามความดี เฮาจึงได้สำเร็จมรรคสำเร็จผลสมความมุ่งมาดปรารถนา

นี่ล่ะคบคนเลวก็ไปในทางที่เลวไปในทางที่ชั่วตกต่ำได้ ให้สังเกตเบิ่งเด้อ บ่ว่าสิเป็นโยมผู้หญิง โยมผู้ชายล่ะ บ่ว่าผู้ใด ๆ ให้สังเกตเบิ่งบัดนี้ ถ้าคบคนชั่วไปทางชั่ว ถ้าคบคนดีก็ไปในทางที่ดี คบคนใดเป็นเช่นคนนั้นแล

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “คบคนจั่งได๋ เป็นคนจั่งซั่น”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๕







"...ใจเป็นผู้รับความดีและความชั่วทั้งหลาย
ไม่นอกจากใจไป ร่างกายนี้ไม่รับอะไรทั้งนั้น
บาปก็ไม่รับ บุญก็ไม่รับ สวรรค์ก็ไม่ไป
นิพพานก็ไม่ไป จะกระจายลงจากความผสม
แห่งธาตุที่เราเรียกว่าร่างกายนี้ ไปเป็นดิน
เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟตามธาตุเดิมของเขา
เท่านั้น

แต่ใจที่ครองร่างนี้อยู่ไม่ได้เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟ
แต่เป็นใจซึ่งพร้อมที่จะรับความดีความชั่ว
บาปบุญอยู่เสมอ ในขณะที่เจ้าของทำลงไป

จึงขอให้ระมัดระวังใจที่เป็นตัวคึกตัวคะนอง พาสร้างนั้นสร้างนี้ก่อนั้นก่อนี้ ส่วนมากมักจะสร้างความไม่ดีใส่ตัวเอง ทั้งๆ ที่เราว่าเรารักเรา แต่การขวนขวายมาสู่เราที่ว่ารักๆ นั้นกลายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ด้วยการสร้างบาปสร้างกรรมนั้นแล จึงต้องให้พากันระมัดระวัง..."

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕








ทำไมบางครั้งถึงแผ่เมตตาไม่ออก?

#ถาม
คนที่ทำผิดทำไม่ดีคนอื่นก็เห็นโดยมากแล้วก็เห็นว่าผิด ทำไมดิฉันคิดจะแผ่เมตตาให้เขารู้ตัวแล้วกลับใจทำดีใหม่เสีย แต่ก็แผ่ไม่ออกสักที มันเพราะเหตุใด

#ตอบ
มันเป็นเพราะความยึดถืออันนั้นมันยังไม่หมด คือถือว่าคนคนนั้นทำความผิดไม่ดี ยิ่งคนอื่นก็เห็นว่าเขาผิดด้วยก็เป็นหลักฐานมั่นเข้าไปอีก ถึงเราจะไม่โกรธเขาแต่ความยึดถือนั้นมันยังฝังแน่นอยู่ภายในใจ มันจึงแผ่เมตตาไม่ออก ถ้าจะให้ออกแล้วมันต้องทิ้งความยึดถือทั้งหมด มีแต่ความเอ็นดูสงสารเขา คิดว่าเขาทำผิดเพราะความหลงไม่รู้เท่าถึงการณ์ คิดว่าเขาเป็นเด็กคนหนึ่งแต่เป็นเด็กขี้ดื้อ หรือถือว่าเป็นบุญกรรมของสัตว์เขาสร้างของเขามาอย่างนั้น เขาจึงต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อบุญกรรมเขาทำมาแล้ว เขาจะต้องได้รับผลกรรมนั้นๆ ต่อไป

บุญกรรมใครทำอย่างไรแล้ว ตนเองย่อมได้รับผลกรรมนั้นๆ ใครจะมาเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นย่อมไม่ได้เด็ดขาด แล้วเป็นเครื่องเตือนไม่ให้เราทำความชั่วต่อไป หรือบางทีจิตนั้นมันอาจจะสงบเกินไป แล้วคิดจะแผ่เมตตามันก็เลยแผ่ไม่ออกก็เป็นได้ ต้องพิจารณาให้ดี จิตมันจะอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งในสองลักษณะนี้ก็ได้ ถึงอย่างไรอย่าได้ปรารภคนอื่น ให้ปรารภเราดีกว่า เพราะคนอื่นหมื่นคนแสนคนไม่สามารถจะทำให้เราดีและชั่วได้ มีแต่เราคนเดียวนั้นแหละทำเอาเอง

- หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี -
หนังสือปุจฉาวิสัชนาในประเทศ






#การเดินจงกรมมีอานิสงส์มาก#
หลวงปู่บอกว่า... ที่ว่ามีอานิสงส์มากนั้น
เราเห็นด้วยตนเอง คือ เมื่อครั้งหนึ่งกําลังเดินจงกรมอยู่ ก็แลเห็นรุกขเทวดาหรือภูมิเจ้าที่ อันสิงสถิตอยู่ในบริเวณนั้น มายืนประนมมือถือธูปหอมใหญ่
ส่งกลิ่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณนั้นเลยทีเดียว
แต่กลิ่นธูปนั้นหอมไม่เหมือนรูปของเมืองมนุษย์เลย มันหอมเย็นๆ อย่างไม่เคยได้กลิ่นนี้มาก่อน
ทําให้เกิดความสดชื่นเบิกบานใจยิ่งนัก

ผู้ถือธูปกําลังยืนประนมมือนมัสการพระธุดงคกรรมฐานผู้มีความเพียรอยู่ อย่างนอบน้อมเป็นยิ่งนัก

บรรดาลูกศิษย์ได้เรียนถามหลวงปู่ว่า...“ เขามายืนประนมมืออยู่อย่างนั้นเพื่อจุดประสงค์อันใด? ”

หลวงปู่ตอบว่า...“ เขามารอคอยอนุโมทนาส่วนบุญกับเรา ในบางแห่งนั้น เมื่อเรานอนมากๆ
เขาก็จะมาเรียกให้ลุกขึ้นนั่งภาวนาสมาธิ
หรือบางรายร้ายกว่านั้น เขาจะมาจับขาพระที่นอนมากให้ลุกขึ้นเดินจงกรม แล้วเขาก็รอคอยอนุโมทนาสาธุการในส่วนบุญส่วนกุศลนั้น

#สําหรับอานิสงส์ของการภาวนาเดินจงกรมนี้ ได้แก่

ช่วยการเดินทางไกล ไฟธาตุย่อยอาหารดี
มีพลานามัย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิถอนได้ยาก เทวดาฟ้าดินทั้งหลาย อนุโมทนาสาธุการด้วยอย่างทั่วถึง

เพราะฉะนั้น หลวงปู่จึงชอบการเดินจงกรมมาก
แม้ท่านจะถึงช่วงวัยชราเดินจงกรมที่พื้นดินข้างล่างไม่ได้ ก็จะเดินจับราวกุฏิด้านบน เดินอยู่มิได้ขาด
จนกระทั่งชรามากจนถึงขนาดจับชาวกุฏิเดินไม่ได้ ก็ยังให้พระภิกษุสามเณรช่วยพยุงให้ท่านเดิน
มิได้ขาดเลยจนถึงวันท่านมรณภาพ

การเดินจงกรมจึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทําให้หลวงปู่มีอายุยืนยาวมาก

หลวงปู่เล่าว่า...พระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต
เคยบอกว่า... พระอาจารย์บุญ ปญฺญาวุฑฺโฒ (พระกรรมวาจาจารย์ของหลวงปู่หลุย และหลวงปู่ขาวท่านไม่ค่อยเดินจงกรม อายุจะไม่ยืนดอก
ก็เป็นจริง อย่างท่านว่า...
คือพระอาจารย์บุญท่านมีอายุเพียง ๔๔ ปี
ท่านก็มรณภาพแล้ว น่าเสียดายอย่างยิ่งเลยทีเดียว

หลวงปู่ว่า...พระอาจารย์บุญท่านจะนอนเอานิพพาน แล้วท่านก็ได้ จริงๆ เพราะท่านมีความสุขุมคัมภีรภาพมากเวลาท่านมรณภาพ

หลวงปู่บอกว่า... ที่ท่านเองชอบเดินจงกรมมาก
อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะว่า..ถ้าท่านนอนภาวนาพุทโธ แล้ว ภาวนาได้ไม่เท่าไรก็จะหลับเสียก่อน
เพราะสิ่งไม่ดีหรือความชั่วนี้เราทําเพียงนิดเดียว
มันก็ไหลไปเลย ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
ไม่ต้องเสียค่าครูมาสอนให้มันเปลืองเงินเปลืองทอง

#แต่ถ้าทําความดี มันต้องยากลําบากเป็นธรรมดา.

หลวงปู่ขาว อนาลโย

#พระพุทธเจ้าตรัสว่า_ภิกษุทั้งหลาย
#อานิสงส์ในการเดินจงกรม 5 ประการนี้
5 ประการอะไรบ้าง คือ ภิกษุผู้เดินจงกรม

1, ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการเดินทางไกล
2, ย่อมเป็นผู้อดทนต่อการบำเพ็ญเพียร
3, ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย
4, อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยวแล้ว ย่อมย่อยได้ดี
5, สมาธิที่ได้เพราะการเดินจงกรม ย่อมตั้งอยู่ได้นาน

#ภิกษุทั้งหลาย_เหล่านี้แล
#คืออานิสงส์ในการเดินจงกรม 5 ประการ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO