นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:48 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: อริยทรัพย์
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 22 พ.ย. 2025 5:33 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
"มีน้อย ก็ให้มีความสุข
มีมาก ก็ให้มีความสุข
ไม่มี ก็ให้มีความสุข

ความสุขของคนเราอยู่ที่การรู้จักพอ

พอใจ ในการเสียสละ
พอใจ ในการรักษาศีล
พอใจ ในการทำการทำงาน"

หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม






ต้นไม้ที่มีรากหยั่งลึก เขาไม่ต้องพึ่งฝนจากฟ้า
มากก็ได้ เหมือนคนที่มีฐานใจที่หยั่งลึกก็ไม่พึ่ง
ทรัพย์สิน เงินทอง โชคลาภ เกียรติยศ
ชื่อเสียงจากภายนอก จากสังคม ไม่เหมือน
พืชล้มลุก มันก็ต้องอาศัยฝนจากฟ้า
แต่ถ้าคนที่หากว่าฐานใจไม่หยั่งลึก ก็ย่อม
โหยหาความสุขจากสิ่งเสพ ความสุขจากรูป
รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความสุขจากเงินทอง
ความสุขจากชื่อเสียงความสุขจากการยอมรับ
คำชื่นชมสรรเสริญ ถ้าหมดเมื่อไหร่ หรือไม่มี
ก็หงอยเลย คนที่หงอยเวลาไม่ค่อยมีทรัพย์สิน
เงินทองมาก ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ไม่ค่อยเป็น
ที่ยอมรับ อันนี้เพราะว่าเขาขาดฐานใจที่
หยั่งลึก เพราะถ้าหากว่าใจนี้มันหยั่งลึก
มันก็สามารถจะเข้าถึงความสุขภายใน
ไม่ต้องรอพึ่งพิงความสุขจากภายนอก …
...
ชีวิตมั่นคงเพราะฐานใจหยั่งลึก
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๖






บุพกรรมเกิดเป็นขอทาน...

“เมื่อครั้งยุคสมัย ศาสนาของพระพุทธเจ้า
กกุสันโธ ผู้ข้าฯ กับเมียเกิดเป็นคนทุกข์ ทุกข์ขอทานเขามากิน

ตื่นเช้า เมียไปทางหนึ่งผัวไปทางหนึ่ง
นัดหมายกันว่าตอนค่ำให้ไปพบกันอยู่ศาลาท่าน้ำ หรือไม่ก็ที่ใดที่หนึ่ง

ขอข้าว ขออาหาร ขอผ้านุ่งผ้าห่ม
ได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้กินอิ่มเป็นบางวัน บางวัน
ก็อดก็หิวไปตามเรื่อง ชีวิตนั้น...ดีที่ไม่มีลูก ทุกข์ไม่มีที่อยู่ไม่ได้กิน ตัวดำตัวผอมได้ผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็เก็บมา ขอด้ายขอเข็มเขามาเย็บติด
บางทีก็ได้เอาไม้กลัดเอา ชีวิตที่ทุกข์ ก็ทุกข์

วันงานนักขัตฤกษ์ เมียอยากได้เครื่องแต่งกาย ก็รวบรวมเงินที่ขอทานมาได้ พอได้ซื้อแป้งทาหน้าทาตัว เสื้อผ้าที่สะอาดก็เก็บไว้ห่อไว้รักษาติดตัวไว้ เพื่อเอาไว้นุ่งห่มวันงานรื่นเริงประจำปี
ความทุกข์มีถึงขนาดนั้น ความสนุกสนานใจนี้มันก็ชอบ...

รับจ้างเขาแบกของขึ้นจากเรือ
รับจ้างชำระที่สกปรกก็เอา งานดีกว่านี้ เขาก็ไม่จ้าง เพราะเขารังเกียจว่า ตัวเราวรรณะต่ำเป็นทุคตะ
แต่ก็ชอบไปวัดของพระพุทธเจ้าวันเว้นวันไป ไปอนุโมทนาสาธุการในการบวชของพระสงฆ์สามเณร ในการทำบุญให้ทานของเศรษฐี ของคนรวย

เราก็ได้แต่บอกเมียว่า ให้อนุโมทนาสาธุการ ยินดีกับเขา จะเอาอะไรให้ทาน ก็ไม่ได้
จะเข้าไปปฏิบัติพระสงฆ์ ก็เกรงกลัวเพิ่นจะไล่ออก แต่พระสงฆ์ผู้คนก็ไม่ไล่
ไปอนุโมทนาสาธุการแล้ว ก็ออกไปหาขอทาน ไปด้วยกันก็มี แยกกันไปก็มี เป็นบุพกรรมของตนแท้ ๆ หล่ะ เกิดได้ชีวิตเป็นทุคตะขอทาน

แต่นั่นกามก็ยังชอบใจอยู่ นอนกับเมียอยู่
ห่วงเมียกว่าอย่างอื่น เพราะเมียรูปงามสมส่วน แต่ผิวดำเท่านั้น...
พอมาถึงชีวิตนี้คนที่เคยเป็นเมียคนนั้น...
ไปพบปะอยู่เมืองเชียงใหม่ เขาได้เกิดเป็นเศรษฐีระดับสองของเมืองเชียงใหม่ พอเห็นกันก็ดึงดูดกันทันที ชอบอกพอใจกัน เขาก็มาบำรุงให้ข้าว ให้น้ำ ให้ผ้า ให้การดูแลเราทุกอย่าง มาปวารณาตัว ชอบมาพูดมาคุย มาทำบุญให้ทาน มาจำศีลอยู่ด้วยอยู่วัดเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่

พอเราออกไปอยู่อำเภอขานอกออกไป
ก็ไปทำบุญ ไปดูแลหลายอัน หลายอย่าง
ผู้ข้าฯ ก็ถามว่า...
“ระลึกได้อยู่ไหม ? พากันเกิดเมืองพาราณสี เป็นคนทุคตะขอทานกินนะชีวิตนั้น ”

“บ่ได้เจ้า บาปกรรมอะหยังได้ไปเกิดเป็นขอทาน ”

“ ไม่ให้ทาน ได้ร่ำรวยแล้วขี้เหนียวไม่แบ่งปัน ไม่ยินดีพอใจการแบ่งปัน มีแต่รายการเก็บ ”

หลายชีวิตอยู่ที่เป็นขอทาน เป็นคนทุคตะ
อยู่อำเภอแม่สอดก็ชีวิตหนึ่ง อยู่เมืองลพบุรี
ก็ชีวิตหนึ่ง อยู่บังคลาเทศ ก็ชีวิตหนึ่ง

หลายชีวิตเกิดตายนับไม่ได้ รวยก็รวยสุดขีด ทุกข์ยากก็สุดขีด เกิดตายในโลก กว่าจะหลุดกว่าจะพ้นได้ สัปปะลี้ เกิดตาย...”

ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม (วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐






เขาว่าโลกมันหวาน
แต่มีภัยข้างหน้าคือความชรา
ความแก่อยู่ข้างหน้า โลกมันเหมือนโรงละครโรงใหญ่ มีการร้องไห้ หัวเราะ ดีใจ เสียใจ ร้องไห้ตลอดเวลานะ เกิด แก่ เจ็บ ตายมันมา โลกไม่ใช่สุขแท้ มันสุขปลอมๆ

โอวาทธรรม
หลวงปู่อุดม ญาณรโต






"พระพุทธเจ้าท่านก็เทศนาว่า...
จิต อันใด ใจ อันนั้น
ใจ อันใด จิต อันนั้น
ท่านก็พูด แต่...ทำไม? ท่านพูดสองคำ
ทำไม? ถึงเรียกว่าจิต
ทำไม? ถึงเรียกว่าใจ
คือมีลักษณะอาการต่างกันอย่างนี้แหละ
จึงเรียกว่า...จิต จึงเรียกว่า...ใจ

ขอให้ใจอยู่เฉยๆ นิ่งเฉยๆ อันนั้นแหละ...
เป็นใจ ใจ คือ...ไม่ส่งไปหน้า ไม่ส่งไปหลัง
ไม่ส่งไปอดีต-อนาคต
ไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญ อยู่...เฉยๆ
คือผู้เป็นกลางๆ นั่นเอง

ลองพิจารณาดูว่า...
ความกลางๆนั้น เป็นอะไร ในขณะนี้
ก็เอาละเราสังเกตดู...อย่างนี้.ก็แล้วกัน
เรากลั้นลมหายใจ คำว่า ลมหายใจนั้น
ก็หมายความว่า...ใจ นั่นแหละ
ลมนั้น...มันอยู่กับใจ ใจ อยู่กับลม

เรากลั้นลมสักพักหนึ่ง ชั่วอึดใจเดียว
เท่านั้นแหละ! ไม่มี...อะไรหรอก หมดเรื่อง ลองๆ ดูซิ กลั้นลมหายใจอึดเดียว
มันเฉย ไม่มี...อะไรเลยนั่นแหละ ตัวใจ
คราวนี้...
ระบายลมออกไป มันก็วิ่งไปตาม
อันนั้นเรียกว่า...เป็นจิต

ใจนี้ ถ้าหากว่า...เราหัดชำระจิตปล่อยวาง อารมณ์ทั้งปวงหมด จนกระทั่งเข้าถึงใจบ่อยๆ มันจะสบาย โลภ โมโท สันสารพัดทุกสิ่ง...
กองกิเลสทั้งปวงหมด...หายหมด
ครั้นเข้าถึงใจแล้ว...หายเลยทีเดียว
แม้แต่การเจ็บการป่วยเข้า ก็ยังกลั้นลมหายใจ
ให้บรรเทาได้เหมือนกัน ไม่ใช่ ชำระกิเลสหรอก แต่กลั้นลมหายใจมันหาย มันบรรเทาทุกข์ได้เหมือนกัน ชั่วครู่หนึ่งขณะหนึ่ง ใช้ได้ อย่างนั้น...อันนี้ เพื่อทดลองทดสอบดูว่า...
ใจ จะเป็นอย่างไร ให้รู้เรื่องของมันเท่านั้นแหละ!

แต่แท้ที่จริง...มันยังมีการอบรมจิตมากมาย อบรมไปจนกระทั่ง จิต มันเชื่อง...
จนกระทั่ง จิต มันอยู่แน่วแน่เข้าถึงใจแล้ว
มันจึงจะ อยู่...นานตั้งเป็นชั่วโมง
หรือตั้งครึ่งวัน มันก็อยู่ได้กับความสงบอันนั้น
นี่แหละ! จงทำความสงบ
จงทำจิต กำหนดจิตอย่างว่า นี่แหละ!
ไม่ทันถึงใจ ก็เอา กำหนดเอาจิต นั่นเสียก่อน

ให้พิจารณากำหนดจิต
จิต อันหนึ่ง...
สติ อันหนึ่ง...
ใจ อันหนึ่ง...
จิต คือสติ...กำหนดจิต ให้มันเชื่องแล้ว มัน
จึงเข้าหาถึงใจ ถ้าหากมันยังไม่เข้าถึงใจ ก็
ให้กำหนดเอาที่จิต นั่นแหละ! ไปก่อน

จนกว่า...มันจะวาง... "

เทสโกวาท
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง.
อ.ศรีเชียงใหม่​ จ.หนองคาย







..การที่บุคคลเรานั้น จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งหญิงทั้งชายก็ดี มีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั้น ก็เป็นของยากกว่าจะได้มาเป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ที่บริบูรณ์ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของพวกเรานั้น เราก็ไม่รู้ว่าเราจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือว่าไปเกิดอยู่ที่ไหน หรือว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาแล้วบ้าง ล้มลุกคลุกคลานมาหลายภพหลายชาติ การที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น จะได้ความบริสุทธิ์และสมบูรณ์นั้นก็ยากเหลือเกิน เราก็จะเห็นบุคคลทั้งหลายที่อยู่ในโลกนี้ เกิดขึ้นมาแล้วบางคนก็ตาบอด บางคนก็หูหนวก ปากแหว่ง แขนขาดขาขาด ขาด้วน บางคนก็คอคดคอเอียงก็มี หรือบางคนก็ปากบิดปากเบี้ยว บ้างก็หลังแอ่นบ้างก็หลังค่อม บางคนก็ขาวบางคนก็ดำ บางคนก็บ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ เราล้มลุกคลุกคลานมาอย่างไร กว่าจะได้รูปร่างกายบริสุทธิ์บริบูรณ์ มานั้น เกิดขึ้นมาแล้วเป็นผู้ชายก็ดี ก็ยังมาเป็นกระเทยเป็นตุ๊ด ตามที่คำเขาว่า ก็ยังไม่บริสุทธิ์ ส่วนผู้หญิงนั้นก็เป็นทอมอยากเป็นผู้ชาย เราล้มลุกคลุกคลานมาด้วยอำนาจของกรรมต่างๆ ที่เราได้สร้างสมได้กระทำเอาไว้ จึงเรียกว่ากรรมเป็นของของตน ตนได้รับกรรมนั้นจึงได้มาเกิด..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..







เราควรจะเห็นแก่พระศาสนาส่วนรวม
เห็นแก่ธรรมถือธรรมเป็นใหญ่
ถ้าลัทธิที่ตนยึดถือ หรือทิฏฐิของตน
มีส่วนใดผิดพลาดไปจากหลักใหญ่
ของพระศาสนา ก็ควรยอมรับในส่วนนั้น
จะได้ปรับเข้าให้ถูกต้อง ซึ่งจะมีแต่ความดีงาม
และทำให้เกิดความสมบูรณ์
ไม่ควรจะสละพระศาสนาหรือลบล้างธรรม
เพื่อจะรักษาทิฏฐิหรือลัทธิของตน
พุทธศาสนิกชนทุกคนควรจะตระหนักถึง
ความสำคัญในการรักษาหลักการของ
พระพุทธศาสนา และเอาใจใส่รับผิดชอบ
ในการทำหน้าที่รักษาสืบต่อพระพุทธศาสนา อย่าเห็นแก่บุคคลมากกว่าเห็นแก่ธรรม
หรือยอมสลัดธรรมเพราะเห็นแก่บุคคล
...
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)






"..พุทโธ ธัมโม สังโฆ นั้น
เป็นเพียงวัตถุหรือเครื่องหมาย
ของพระ ไม่ใช่องค์พระจริงๆ

ส่วนพระจริงๆ นั้นคือ สติ
ถ้าเรามีสติอยู่เสมอ
ก็เท่ากับเราได้สร้างพระ
ไว้ในตัวของเรา

พระท่านก็จะช่วยให้เรา
มีความสุขกาย สุขใจ ตลอดเวลา.."

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร






หลวงปู่มั่นสายคุณธรรมศีลธรรมจริยธรรม ศีลสมาธิปัญญา สมาธิและปัญญาวิปัสสนาสอนทางวิปัสสนา สมาธิและวิปัสสนาสายหลวงปู่มั่น เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจึงบอกว่าสายหลวงปู่มั่นนี่ท่านเน้นเรื่องศีล สำรวมกายวาจาให้เรียบร้อยเป็นผู้มีศีล แล้วก็มีสมาธิทำจิตใจให้สงบให้จิตใจให้นิ่ง จากนั้นก็เดินทางวิปัสสนาปัญญา แยกแยะให้รู้แจ้งเห็นจริง อย่าให้จิตใจของเราลุ่มหลงมัวเมาในเรื่องกิเลสราคะโทสะโมหะโลภโกรธหลงในจิตใจ หลวงปู่มั่นที่ท่านสอน ท่านสอนสายอย่างนี้นะลูกหลานนะ ท่านไม่ได้สอนว่าเหรียญอย่างนี้อยู่ยงคงกระพันอย่างนี้ แขวนเข้าแล้วไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เป็นผู้มีอภินิหารร่ำรวยโชคดี โชคชะตาราศีอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ของเราไม่ได้สอนสายนั้น เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจึงแนะแนวว่าสายหลวงปู่มั่นเป็นสายแนวปฎิปทาอีกสายหนึ่ง ไม่ใช่สายอภินิหารไม่ใช่สายมูว่างั้นเถอะลูกหลานนะ

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๘







เคล็ดการปฏิบัติของ หลวงพ่อเทียน

รูปกายนี้ มันเคลื่อนมันไหวอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยหยุดนิ่ง ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ มันจะเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ ผมเลยเอามาทำเป็นจังหวะ ทำจังหวะ : ยกมือเข้า เอามือออก ยกมือไป เอามือมา ฯลฯ เพื่อเป็นการเรียกร้องให้มีสติมั่นคงอยู่กับรูปกาย อย่างนี้ ตลอดไปถึงจิตใจคิดนึก สองอันนี้เป็นเชือกผูกสติเอาไว้ เมื่อความคิดเข้ามา เราเห็น-รู้ กำมือ เหยียดมือ ยกไป ยกมา นี้ก็รู้ แต่ไม่ต้องเอาสติมาจ้องตัวนี้ อย่าเอาสติมาคุมตัวนี้ ให้เอาสติไปคุมตัวความคิด คำว่า "ไปคุม" คือ ให้คอยดูมัน ดูไกลๆ ดูสบายๆ อย่าไปดูใกล้ๆ มันจะเป็นการเพ่ง ไม่เป็นมัชฌิมา จึงว่า - ทำใจไว้เป็นกลางๆ พอมันคิดปุ๊บ - ทิ้งไปเลย

เพียงดูความคิดนี่แหละ เพียงความเคลื่อนไหวนี่แหละ มันเป็นเอง ความเป็นเองมันมีอยู่แล้ว พร้อมแล้วที่จะปรากฏในคนทุกคนได้
พุทธะ จึงแปลว่า ผู้รู้ รู้ธรรม เห็นธรรม เข้าใจธรรม รู้ธรรมก็คือรู้ตัวเรา กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด เข้าใจธรรม เมื่อรู้อันนี้แล้วก็เลยรู้บาป รู้บุญ บาปก็คือโง่นั่นเอง คือไม่รู้ คืออยู่ในถ้ำ มืดอยู่นั่นแหละ ถ้าเราออกจากถ้ำได้ เรามาอยู่ปากถ้ำ อยู่ข้างนอกถ้ำ เราก็สามารถมองเห็นอะไรได้ทุกอย่าง

พุทธศาสนาจริงๆ นั้นคือ ตัวสติ-ตัวสมาธิ-ตัวปัญญาที่ฝึกฝนทำดีแล้วนั่นแหละ ตัวพุทธศาสนามีในตัวคนทุกคน แล้วแต่บุคคลนั้นจะประพฤติปฏิบัติให้มันปรากฏขึ้นหรือเปล่า เป็นเรื่องของบุคคลนั้น
การรู้เฉยๆ นี้ยังไม่เห็นความคิด รู้เรื่องรูปนามนี่ยังไม่เห็นความคิด มันคิดจากไหนไม่รู้ มันคิดแล้วมันก็เข้าไปในความคิด รู้ไปเรื่อยๆ รู้แต่ดี ชั่วไม่รู้ อันนี้เป็นปัญหาที่ทุกคนควรจำเอาไว้
ความรู้สึกตัวเป็นรากเหง้าของบุญ ความไม่รู้เป็นรากเหง้าของบาป
การรู้สึกตัวนั้น เป็นไม้ขีดไฟ เทียนไขนั้นก็คือ มันคิดเรารู้ เราพยายามจุดสองอย่างนี้ จุดแล้วก็สว่างขึ้นมา ก็เดินหนีออกจากถ้ำ ไม่เข้าไปอยู่ในถ้ำ ถึงจะต้องเข้าไปอยู่ในถ้ำ ก็ต้องไม่ให้มันมืดต่อไป ต้องรู้สึกตัวทันที นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม

การรู้สึกตัวนี้ ให้รู้สึกลงไป เมื่อมันไหวขึ้นมาให้รู้สึกตามความเป็นจริงที่มันเคลื่อนไหวนั้น เมื่อมันหยุดก็ให้รู้สึกทันทีว่ามันหยุด อันนี้เรียกว่า สงบ สงบแบบรู้สึก
การรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของร่างกาย คือ การเจริญสติ สมาธิ คือ การตั้งใจ
ที่เราต้องการความสงบ หรือพุทธะ เราไม่ต้องไปทำอะไรให้มาก เพียงให้ดูต้นตอของชีวิต เมื่อมันคิดมาอย่าเข้าไปในความคิด ให้ตัดความคิดออกให้ทัน

ความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ เราหยุดการแสวงหา ต่อเมื่อเราไม่ต้องวิ่งหาบุคคลอื่นนั้นเรียกว่า ความสงบ
ความสงบมีอยู่แล้วโดยไม่ต้องทำขึ้น เป็นความสงบจาก โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นแก่เรา สติจะมาทันที เนื่องจาก สติ สมาธิ ปัญญา อยู่ที่นั่นแล้ว โทสะ โมหะ โลภะ จึงไม่มี ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติ ไม่ได้ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น บุคคลนั้นจะไม่มีมัน ทั้งๆ ที่มันมีอยู่ที่นั่นแล้ว

การแสวงหาพระพุทธเจ้าก็ตาม แสวงหาพระอรหันต์ก็ตาม แสวงหามรรคผลนิพพานก็ตาม อย่าไปแสวงหาที่ๆ มันไม่มี แสวงหาตัวเรานี่ ให้เราทำความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ นี่แหละ จะรู้จะเห็น
ให้ลืมตาทำ เคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ให้รู้ มันเป็นการไหลไปตามธรรมชาติของมัน ตาก็ไม่ต้องบังคับให้มันหลับ ให้มันกะพริบขึ้นลงได้ตามธรรมชาติ เหลือบซ้ายแลขวาก็ได้ มันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมกับธรรมชาติ และมันก็รู้กับธรรมชาติจริงๆ

หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้ เป็นหนทางที่ง่าย เหตุที่ยาก เพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง เราจึงมีแต่ความลังเล และสงสัย
การที่เราเคลื่อนไหว แปลว่าปลุกตัวเราให้ตื่น เมื่อมันคิดให้มันรู้ ความรู้มันจะไปดับโทสะ โมหะ โลภะ จะดับความยึดมั่นถือมั่น แล้วจิตใจเราก็เป็นปกติ เมื่อเป็นปกติแล้วสิ่งใดมาถูกเรา เราจะรู้สึกทั้งหมด เมื่อรู้สึกแล้วเหมือนสิ่งหนึ่งสิ่งใดขาดออกจากกัน-คนไม่มี นี่แหละที่ว่าพระพุทธเจ้าฆ่าคนให้ตาย มีแต่ชีวิตของพระล้วนๆ ชีวิตของพระไม่มีเกิด ไม่มีตาย

วิธีการยกมือขึ้น คว่ำมือลง เป็นวิธีเจริญสติ เป็นวิธีเจริญปัญญา เมื่อได้สัดได้ส่วนสมบูรณ์แล้ว มันจะเป็นเองไม่ยกเว้นใครๆ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เด็กๆ ก็ทำได้ ผู้ใหญ่ก็ทำได้ นุ่งผ้าสีอะไรก็ทำได้ ถือศาสนาลัทธิอะไรก็ทำได้ เรียกว่า ของจริง

วิปัสสนา คือ การเห็นแจ้งรู้จริง เห็นอะไร? ก็เห็นตัวเองนี่เอง กำลังนั่งอยู่ พูดอยู่ในขณะนี้ เห็นจิตใจมันนึกคิดอยู่เดี๋ยวนี้ อันนี้แหละเป็น "วิปัสสนา" จริงๆ
คำว่า "วิปัสสนา" นั้นเป็นเพียงชื่อเท่านั้นเอง แต่ตัวจริงของวิปัสสนานั้น ตามตัวหนังสือแปลว่า รู้แจ้ง-รู้จริง รู้แล้วต่างเก่าล่วงภาวะเดิม ว่าอย่างนั้น ถ้าหากรู้แจ้ง-รู้จริง เราจะไปเสียเวลาดูฤกษ์งามยามดีกันทำไม จะไปไหว้ผีไหว้เทวดากันทำไม ถ้าหากรู้แจ้งรู้จริงแล้วก็ไม่ต้องกลัวใครทั้งหมด

การที่เราเห็นความคิดนี่เอง เป็นต้นทางพระนิพพานแล้ว เมื่อมันคิดวูบขึ้นมา เราก็เห็นปั๊บ อันกระแสความคิดนี้มันไว ไวกว่าแสง ไวกว่าเสียง ไวกว่าไฟฟ้า ไวกว่าอะไรทั้งหมด เมื่อได้เห็นสมุฏฐานความเร็ว ความไวของความคิดแล้ว เรียกว่า อรรถบัญญัติ

การเห็นการรู้ความคิด เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน การรู้คือการเข้าไปในการคิดและความคิดก็คงดำเนินต่อไป เมื่อเราเห็นความคิด เราสามารถหลุดออกมาจากความคิดนั้นได้
เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตาม เราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป แล้วเราจะมาถึงจุดหนึ่ง ที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

การทำความรู้สึกตัวนั้น จึงมีอานิสงส์มาก ถ้าหากไม่รู้สึกตัวในขณะไหนเวลาใดแล้ว เรียกว่าคนหลงตน ลืมตัว หลงกายลืมใจ คล้ายๆ คือเราไม่มีชีวิตนี่เอง
ให้ดูใจ เมื่อคิดขึ้นมา เห็น รู้เข้ามา ทำความเคลื่อนไหว มันจะวาง วางใจ มันจะมาอยู่กับความรู้สึก เมื่อมาอยู่กับความรู้สึกแล้วปัญญามันจะเกิด คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะปัญญา
ตัวนึกคิดนี่แหละคือสมุทัย มรรคคือการเอาสติมาดูความคิด นี่คือข้อปฏิบัติ

ให้เห็นความคิด อย่าไปห้ามความคิด และอย่าไปยึดไปถือ ให้ปล่อยมันไป นี่คือการเห็นความคิด คิดแล้วให้ตัดปุ๊บเลย เหมือนการวิดน้ำออกไปจากก้นบ่อ ทำอย่างนี้นานๆ เข้า สติจะเต็มและสมบูรณ์ คิดปุ๊บเห็นปั๊บ อันนี้แหละคือระดับความคิด ที่เรียกว่า ปัญญา ซึ่งเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด
แท้จริงแล้วนั้น กิเลสมิได้มีอยู่จริง แล้วเราจะไปชนะมันได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ เราเพียงแต่ดูจิตใจโดยชัดเจน เผชิญหน้ากับความคิดโดยแจ่มชัด เมื่อเราเห็นใจอย่างชัดเจน โมหะก็จะไม่มีอยู่

หลักพุทธศาสนาจริงๆ สอนให้ละกิเลส คือความอยากนี้เอง แต่ตัวที่มันอยาก เรากลับไม่เห็น ไม่รู้ เราต้องดูจิตดูใจ ให้เข้าใจทันทีว่า เออ…กิเลสเกิดขึ้นแล้ว ต้องเห็นที่ตรงนี้
คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ นั้น สอนให้เราประพฤติปฏิบัติ เพื่อทำลายความหลงผิด ความหลงผิดเกิดขึ้นนั้น ท่านว่าเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเรามีความโกรธ ทุกข์เพราะเรามีความโลภ ทุกข์เพราะเรามีความหลง ถ้าเราไม่มีความโกรธ ความโลภ ความหลงแล้ว เราก็ไม่ต้องมีทุกข์ ทำการทำงานอะไรก็ต้องไม่มีทุกข์








"..ร่างกายเสื่อมก็ช่างจิตเราต้องไม่เสื่อมตาม.."
"..ร่างกายมีสภาพแต่จะต้องตกไปในกระแสของความเสื่อมถ่ายเดียว
แต่ส่วน "จิต" จะไม่ตกไปอย่างนั้น
จะต้องไหลไปสู่ความเจริญได้ตามกำลังของมัน
ถ้าใครมีกำลังแรงมากก็ไปได้ไกล

ถ้าใครไปติดอยู่ในเกิด เขาก็จะต้องเกิด
ใครไปติดอยู่ในแก่ เขาก็จะต้องแก่
ใครไปติดอยู่ในเจ็บ เขาก็จะต้องเจ็บ
ใครไปติดอยู่ในตาย เขาก็จะต้องตาย
ถ้าใครไม่ไปติดอยู่ในเกิด ไม่ติดอยู่ในแก่
ไม่ติดอยู่ในเจ็บ และไม่ติดอยู่ในตาย
เขาก็จะต้องไปอยู่ในที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย

เรียกว่า มองเห็นก้อน "อริยทรัพย์" แล้ว คือ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ
ผู้นั้นก็จะไม่ต้องกลัวจน ถึงร่างกายเราจะแก่ จิตของเราไม่แก่
มันจะเจ็บก็เจ็บไป ตายก็ตายไป แต่จิตของเราไม่เจ็บ จิตของเราไม่ตาย
พระอรหันต์นั้นใครจะตีให้หัวแตก แต่จิตของท่านก็อาจไม่เจ็บด้วย

"จิต" เมื่อมันสุมคลุกเคล้ากับโลก ก็จะต้องมีการกระทบ
เมื่อกระทบแล้วก็จะหวั่นกลอกกลิ้งไปกลิ้งมา
เหมือนก้อนหินกลมๆ ที่มันอยู่รวมกันมากๆ ก็จะกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างเดียวกัน
ดังนั้นใครจะดีจะชั่ว เราไม่เก็บมาคิดให้เกิดความชอบความชัง
ปล่อยไปให้หมด เป็นเรื่องของเขา

นิวรณ์ เป็นตัวโรค ๕ ตัว ซึ่งเกาะกินจิตใจคนให้ผอมและหิวกระหาย
ถ้าใครมี "สมาธิ" เข้าไปถึงจิตก็จะฆ่าตัวโรคทั้ง ๕ นี้ให้พินาศไปได้
ผู้นั้นก็จะต้องอิ่มกาย อิ่มใจ เป็นผู้ไม่หิว ไม่อยาก ไม่ยาก ไม่จน
ไม่ต้องไปขอความดีจากคนอื่น

ผลที่ได้ คือ
๑) ทำให้ตัวเองเป็นผู้เจริญด้วย "อริยทรัพย์"
๒) ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ก็จะต้องพอพระทัยมาก
เหมือนพ่อแม่ที่มีลูกเป็นคนร่ำรวย ตั้งเนื้อตั้งตัวได้เอง
ท่านก็หมดความเป็นห่วงใย นอนตาหลับได้

สรุปแล้ว
"โลกียทรัพย์" เป็นเครื่องบำรุงกาย
"อริยทรัพย์" เป็นเครื่องบำรุงกำลังใจ

จึงขอให้พากันน้อมนำธรรมะข้อนี้ไปปฏิบัติ
เพื่อฝึกตน ขัดเกลากาย วาจา ใจของตน
ให้เป็นความดีงาม บริสุทธิ์ เพื่อจะได้ถึงซึ่งอริยทรัพย์
อันเป็นทางนำมาแห่งความสุขเป็นอย่างยอด คือ พระนิพพาน.."

ธมฺมธโรวาท
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔ )


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO