|
"พวกเราก็เตรียมตัวเตรียมใจตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ให้เร่งพยายามเริ่มบำเพ็ญกัน เร่งรัดเข้า พยายามอย่าให้จิตพะวงหน้า พะวงหลัง เราต้องพิจารณาอยู่ในปัจจุบันเหตุ คำว่าปัจจุบันเหตุคือประสบการณ์ที่เราประสบแล้วเกิดความรู้สึกยังไง เราต้องรีบพยายามแก้ไขปรับปรุงในปัจจุบัน ในเมื่อเหตุนั้นมันผ่านพ้นไปแล้ว มันมีความรู้สึกยังไงบ้างต่อเหตุการณ์อันนั้น พวกเราก็พยายามแก้ไข ทำให้ใจของเราเข้าใจว่าอันนี้คืออะไร อันเนี้ย ให้เราพิจารณาให้มันได้ความตามความเป็นจริงเสีย"
หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
“ต้องให้คนในโลกทุกคนพูดทุกคำ ให้ถูกใจเราหมด แล้วจึงจะสบาย อย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะสบาย ได้เมื่อไร มีไหมใครจะพูดถูกใจเราทุกคน มีไหมนี่ ... แล้วเราจะเอาสบายได้เมื่อไร เราต้องอาศัยธรรมะ นี่ถูกก็ช่าง ไม่ถูกก็ช่างเถอะ เราอย่าไปหมายมั่นมัน จับดูแล้วก็วางเสีย เมื่อใจมันสบายแล้ว ก็ยิ้มอยู่อย่างนั้นแหละ” ... หลวงปู่ชา สุภทฺโท
"ท่านผู้มีความเพียร ฝึกอยู่จนเป็นนิสัย ของตนเอง เห็นตามความจริงของสังขาร แล้ว ว่า... •มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น •มีความแปรปรวนในท่ามกลาง •มีความแตกสลายไป ในที่สุด
พอจิต ว่าง... จะมีแต่ความสว่างไสว มันก็มีแต่ความสุข ไม่มี...อะไรจะเปรียบ เอาอะไรที่เป็นแก่นสาร ? ไม่มี...อะไรที่จะเป็นแก่นสารแล้ว จิต มันก็ไม่มีตน มีตัว เมื่อมันว่าง...จากตนตัวแล้ว ก็เป็น...จิตที่บริสุทธิ์ ผุดผ่อง
ให้ตั้งใจ ทำความเพียร อย่าไปนอนใจว่า... อายุเราจะยืนไปอีกเท่านั้น เท่านี้ ไม่มี...รู้กาลโน้น กาลนี้ เวลาใด
ไม่มี...เวลา มันต้องเป็นไปตามกรรม สุดแต่กรรมจะพาไป."
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
”ไม่มีร่างกายจิตก็ยังทำงานได้“
เวลาตายไปแล้วถ้าดวงจิต มีความโลภเป็นตัวเด่นตัวนำ ก็เป็นเปรตไป ไม่สามารถทำความดีได้ ตอนนั้นมีแต่ความหิว อยากจะได้อยากจะกินอย่างเดียว ถ้าจิตมีความสงบสุขก็เป็นเทพไป มีรูปทิพย์เสียงทิพย์ให้สัมผัส เหมือนตอนที่นอนหลับฝันดี ตอนนั้นจิตก็เป็นเทพ เวลานอนหลับฝันร้ายจิตก็เป็นเปรตเป็นนรก ตอนนั้นไม่ได้ใช้ร่างกาย ไม่มีร่างกายจิตก็ยังทำงานได้ ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือ ไว้เสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะชนิดหยาบ ซึ่งมีอยู่ ๒ ภพคือมนุษย์และเดรัจฉาน ส่วนภพอื่นจะเสพของทิพย์ที่ดีและไม่ดี พวกเปรตเสพของทิพย์ที่ไม่ดี คือความหิวความกระหาย พวกนรกเสพความร้อน ความเกลียด ความชัง ความอาฆาตพยาบาท พวกอสุรกายก็เสพความหวาดกลัว
พวกเทพเสพรูปทิพย์เสียงทิพย์ พวกพรหมเสพความสงบ ถ้าได้ฌานจิตจะเป็นพรหม ส่วนพระอริยเจ้ามีปัญญามีวิปัสสนามีไตรลักษณ์ จะเสพความสงบแบบปัญญาอบรมสมาธิ ตัดกิเลสทำจิตให้สงบได้ด้วยปัญญา ละสักกายทิฐิได้ ละความสงสัยวิจิกิจฉา ละสีลัพพตปรามาส ความหลงติดในพิธีกรรมต่างๆ ที่คิดว่าทำให้พ้นจากเคราะห์กรรมหรือเจริญก้าวหน้าได้ เช่นพิธีบวงสรวงเทพเจ้า บูชาราหู เป็นสีลัพพตปรามาส ไม่รู้ว่าความเจริญความเสื่อมอยู่ที่กรรม คือการกระทำ ทำดีก็เจริญ ทำชั่วก็เสื่อม ส่วนที่กำลังเสื่อมหรือเจริญอยู่ในขณะนี้ เป็นวิบากกรรม คือผลของการกระทำความดีความชั่ว ที่ได้ทำมาในอดีต จึงไม่ต้องไปบวงสรวง ไม่ต้องไปหาหมอดู ไม่ต้องไปเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนนามสกุล ให้เสียเวลาไปเปล่าๆ.
จุลธรรมนำใจ ๑๖ กัณฑ์ที่ ๓๙๓ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
หลวงพ่อมีแต่ว่าให้แยกแยะนะลูกหลานเน้อ พวกเราท่านทั้งหลายอย่าไปหน้าเดียว พอได้ยินเข้ามาแล้วได้ยินแล้วก็ไปทางเดียวฟังหูซ้ายแล้วก็หูขวาฟังไว้อีก คล้ายๆว่าไม่ใช่ว่ามันจะไปทางเดียว ถ้ามันผิดเราก็จึงค่อยมาผิดไป อันนี้ปุปปับมาผิดหรือถูกก็ไปตามเขาไปเลย มันดูๆ แล้วมันจะทำลักษณะคล้ายๆ ว่าเป็นทางเดียวเกินไป ถ้าว่าคล้ายๆ กับว่าขาดปัญญา ขาดความยั้งความคิดขาดปัญญา เชื่อเขาโดยศรัทธา ศรัทธาคำนี้ทำให้เสียหายได้ ศรัทธาคำนี้ถ้าเชื่อผิดมันก็ผิดไปเลยทีนี้ เชื่อถูกมันก็ถูก แต่ถ้าหากว่าเชื่อลงไปแล้วต้องใช้ปัญญากลั่นกรอง การเป็นอย่างนี้มันผิดหรือมันถูก มันมีเหตุผลมากน้อยยังไงแค่ไหน มันทำไมจึงเป็นอย่างนี้ นี่แหละรู้จักแยกแยะต้องใช้ปัญญาแยกแยะ อันนั้นคือผู้ที่จะมีหูแจ้งตาสว่างต่อไปภายภาคหน้า
ถ้าหากว่าผู้เข้าพูดให้ฟังแล้วก็เชื่อๆ แล้วก็เชื่อไปเลยอันนั้นแปลว่าหลับหูหลับตาทำให้คนเสียหายได้ คนที่มีความเชื่ออย่างเดียวทำให้เสียหายได้ หูหนวกตาบอดได้ ลุ่มหลงมัวเมางมงายได้ แต่ถ้าหากว่าผู้ที่ใช้ปัญญานะ พอได้ยินได้ฟังมาแล้วเชื่ออยู่ แต่ก็ไม่โยนทิ้งไม่เชื่อทั้งหมดต้องแยกแยะดูในหลักของพุทธศาสนาเป็นยังไง ปรัชญาของชาวโลกเขาเป็นยังไง พระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าท่านสอนยังไงในเรื่องนี้ ถ้าหากว่าเรามาแยกแยะ เอาเปรียบเทียบหลายๆ อย่าง จากนั้นเราก็จึงเออใช่มันไปตามแนวแถวของพุทธะ ไปตามแนวแถวปรัชญาไม่ขัดกันไปทางโลก เราจะเชื่อจึงค่อยเชื่อ
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๘
อุบายการแก้นิวรณ์
การที่จะเอาชนะนิวรณ์ทั้งหลายไม่ใช่ว่ามันจะเอาชนะง่ายๆ ความง่วงหงาวหาวนอน หงุดหงิดกระวนกระวาย ออกร้อนออกร้น แม้แต่นั่งอยู่ก็มีอะไรมาไต่ตามเนื้อตามตัว เหมือนกับว่าไต่ไปทั่วตัวอย่างนี้ ทำให้จิตไม่ได้รับความสงบอย่างนี้จากนิวรณ์ได้ แล้วก็ความง่วงหงาวหาวนอนอันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ
เมื่อนั่งสมาธิไปก็มีแต่จะหลับอย่างเดียวอย่างนี้ อันนี้กว่าเราจะแก้ได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร แก้แล้วแก้อีกๆ การที่จะแก้ได้เราจะต้องฝ่าฝืน ฝ่าฝืนในสิ่งที่มันเกิดขึ้นจนชำนิชำนาญ การที่เราจะแก้จนชำนิชำนาญ ในการแก้นิวรณ์จากการง่วงหงาวหาวนอนนี้ เช่น เราเคยนอนเวลาสามทุ่มสี่ทุ่มอย่างนี้ เวลาเรากลับถึงบ้านแล้ว แล้วแต่ใครจะนอนดึกหรือนอนแต่หัววัน จนเกิดความเคยชินของแต่ละคนๆในแต่ละวัน
เวลามาปฏิบัตินั้นเราต้องปฏิบัติให้มันมากขึ้นไปกว่านั้น ให้ไปถึงเที่ยงคืนอย่างนี้ มันยังเหลือเวลาอีกตั้งสองชั่วโมงอย่างนี้ มันจะทรมานมากน้อยเพียงใด นี้แหละการที่เราจะมาแก้ไขปัญหาที่มันเกิดขึ้นมาต่อหน้าต่อตาของเรา
ในขณะที่เรากำลังเร่งปฏิบัติธรรมอยากให้มันได้มากขึ้น ถ้าเรายังจะมาเอาเวลาเดิมอยู่เวลาที่เหลืออยู่นั้นเป็นเวลาที่สำคัญ เป็นเวลาที่จะเข้าไปถึงความสงบเป็นเวลาจากสี่ทุ่มไปถึงเที่ยงคืนหรือจากเที่ยงคืนไปถึงตีสี่ย่างนี้ เป็นเวลาที่ได้รับความสงบเป็นจุดที่สำคัญ เราต้องหาวิธีปฏิบัติไปถึงจุดนั้นให้ได้
แล้วถ้าเราไม่มีความพยายามไม่มีความหมั่นเพียร เราก็ไม่สามารถที่จะผ่านไปถึงจุดนั้นได้ เมือไม่ถึงจุดนั้นได้ ความเคยชินที่เคยหลับมันก็จะหลับ แทนที่จิตใจจะเบิกบานแจ่มใสต่อไปถึงเที่ยงคืนหรือไปถึงตี1 ตี2 ตี3 ตี4 หรือไปจนถึงสว่างอย่างนี้ เราก็ไม่มีโอกาสที่จะไปรู้ถึงจุดความสงบ จุดวิเวกได้ส่วนนั้น
เพราะฉะนั้นการฝึกตรงนี้หลวงปู่ครูบาอาจารย์ท่านก็เหมือนอย่างพวกเรา ไม่ได้ต่างกันถึงเวลานอนก็อยากนอนทีนี้ แต่ก็ยากปฏิบัติให้มันมากขึ้น ท่านก็มีนโยบายเวลาที่ท่านปฏิบัติธรรมให้มันผ่านพ้นไป นั่นถ้าถึงเวลาที่เคยนอนท่านจะไม่นอนท่านจะลุกไปเดินจงกรมอยู่ในจงกรมเสียก่อน เดินไปจนถึงเที่ยงคืนถึงจะมานั่ง
ถ้ามันเกิดความง่วงเพราะเราไม่เคย ถ้ามันผ่านไปหลายวันหลายคืนที่กล่าวมา เราก็อาจจะง่วงมากขึ้น แต่การง่วงมากขึ้นนี้เป็นการดีนะไม่ใช่ไม่ดี เจ็บปวดทรมานมากๆก็เป็นการดี
ทำไมถึงว่ามันดี?
ในขณะนั้นนะเราจะได้เตรียมสติเตรียมความอดทนให้เต็มที่นะ การรวมจิตของเราก็จะรวมเต็มที่จดจ่อเต็มที่ ถ้าเราไม่จดจ่อดูจิตของเราเต็มที่ มันก็จะเผลอตัวหลับโดยสนิท
นี้แหละ...เพราะฉะนั้นเมื่อเราเผลอตัวเมื่อไหร่ นั่นละคือเราเผลอสติมันก็จะดับวับเข้าไปเลย โน้นแหละ...นอนอิ่มเต็มที่เมื่อไหร่มันถึงจะตื่นตัวขึ้นมา ถ้าตื่นตัวขึ้นมาแล้ว ถ้าเกิดนั่งกันอยู่เยอะๆอย่างนี้คนอื่นเขาลุกกันหมดแล้ว พระก็หยุดเทศน์แล้ว ลงธรรมาสน์ไปแล้ว เรายังหัวตั้วพื้นอยู่เลย ลุกขึ้นมา... เอ้าเพื่อนไปไหนหมด?
เพราะฉะนั้นเรากลัวมันจะขายหน้า เราต้องเข้มแข็งรวมสติให้มันหนักแน่น บางทีมันหวิวๆเข้าไปเหมือนมันจะหลับให้ได้เลย พอมันหวิวๆจิตของเราก็จดจ่อเข้าไปเรื่อยๆดูมันจะหลับเมื่อไหร่ ถ้าสติของเราดูมันนะ มันไม่กล้าหลับหรอก เพราะว่าจิตของเรามันดูอยู่ตลอดเวลา
ดูอารมณ์จิตให้รู้เมื่อมันจะหลับยังไง ค่อยดูมันจะหลับทำไมมันง่วงเหลือเกินเราก็จ้องดูอยู่ตลอดเวลา มันไม่กล้าหลับ จิตของเราแหลมคมเข้าไปเรื่อยๆเรื่อยๆ ตัวที่จะดิ่งเข้าไปมันก็จะดิ่งเข้าไปเรื่อยๆ มันก็จะหลับให้ได้ ตัวสติของเราก็รู้เข้าไปเรื่อยๆ ตามเข้าไปเรื่อยๆ ผลสุดท้าย...มันวาง!!
มันวางกาย วางธาตุ วางขันธ์ทั้งหมด อยู่ปกติของจิตเมือมันรู้ทันต่อกัน เมื่อมันรู้ทันต่อกันแล้วจิตตัวรู้ ตัวมารมันก็จะหลบ เมื่อมารมันไม่มีที่ปลีกตัวไปเพราะจิตมันตามรู้อยู่ตลอดเวลา ผลสุดท้ายก็ไม่กล้าหลบ เมื่อไม่กล้าหลบมันก็หยุดที่ตรงนั้น เมื่อหยุดที่ตรงนั้น จุดนั้นนะอาจจะเป็นจุดที่เล็กที่สุด ตรงนั้นนะจิตมันจะเล็กที่สุด
นั่นละคือการรวมจิต จิตของคนเรามันไม่ได้ใหญ่โตอะไร จิตรวมเข้าไปเล็กๆนิดเดียวแหลมคมเหมือนอย่างปลายเข็ม นี่ละความแหลมคมจะเกิดความสงบ หรือดวงสว่างเกิดขึ้นตรงที่มันแหลมคม ตรงที่แหลมคมนั่นนะก็เกิดดวงสว่าง พอเกิดดวงสว่างแล้วนี่ จุดเล็กๆนั่นละจะจุดประกายให้เราเกิดดวงสว่างเกิดขึ้น เมื่อดวงสว่างเกิดขึ้นความสว่างดวงสว่างนี้ก็เปรียบเทียบอยู่ในห้องนี้ก็มีหลอดไฟหลอดเดียว
สมมุติว่าหลอดสว่างหลอดเดียวมันแขวนอยู่นี้ ตรงใยข้างในของดวงสว่างนั่นนะ เป็นใยเล็กๆนิดเดียวแต่ทำไมถึงส่องแสงสว่างไปทั่วห้องเลยนี้แหละลักษณะสิ่งที่สว่างออกไปทั่วห้องนี่ ถ้าเราตรวจดูมันก็มองเห็นมีอะไรอยู่มุมไหน ทิศใดทางใดรอบๆก็จะเห็นหมด
แม้แต่มดที่มันไต่อยู่ก็ยังมองเห็น นี่ละตัวรู้ตัวเห็นเกิดขึ้นจากแสงสว่างเกิดขึ้นในขณะที่จิตของเราเป็นประกายแสงขึ้นมามันเป็นกระแสจิตสว่างขึ้นมา
เมื่อเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาอย่างนั้น ตอนนั่นนะกำลังสนุกกำลังตามดูอยู่ เมื่อเรากำลังตามดูอยู่ กำลังสนุกมันก็ไม่สนุกไปเรื่อยๆผลสุดท้ายจนถึงสว่าง ไม่รู้ว่ามันสว่างเร็วเหลือเกิน
ถ้าจิตของเรามันไม่อย่างนั้น มีแต่เจ็บมีแต่ปวดมีแต่เมื่อย มันไม่ได้สว่างมันก็เหมือนกับว่าเวลาที่นานเหลือกัน อดทนแล้วอดทนอีก กลั้นแล้วกลั้นอีกปวดแล้วปวดอีก สารพัดอย่างที่มันมารุมเร้าจิตใจของเราให้ออกจากสมาธิให้ได้ ยิ่งเราอดไปเท่าไหร่ทนไปเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนกับเวลามันยาวนานขึ้น เมื่อไหร่มันจะจบชั่วโมงเนี้ย ชั่วโมงหนึ่งนี้มันจะยาวนานมี่สุด
แต่ถ้าจิตของเราได้รับดวงสว่างขึ้นมาแล้วนะ มันมีความสงบนี้จิตมันจะเพลิดเพลินไปตามความสงบหรือสว่าง เมือมันเพลิดเพลินไปแล้วนี่ เวลาที่มันเพลิดเพลินนี้มันหมดง่าย แต่ดูนาฬิกาแล้วมันไปหลายชั่วโมงแล้วอย่างนี้ นี่แหละลักษณะของจิตที่ได้รับความสว่าง มันเกิดปิติ มีความอิ่ม มีความเบิกบาน
ถอดจากเทปพระธรรมเทศนา หลวงปู่ไม อินทสิริ วัดป่าภูเขาหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
ถอดเทป/เรียบเรียง : นรินทร์ ศรีสุทธิ์
ไม่เห็นแก่ตัว ทำให้ผู้อื่นสบายใจ
“จงมองไปที่ ‘ความเห็นแก่ตัว’ ว่าเป็นต้นเหตุ ให้ทำบาปทำกรรม ทำกรรม หรือไม่ดีทุกอย่าง ทุกประการ ตั้งหน้าควบคุมความเห็นแก่ตัวเถิด มันจะถูกต้องทุกๆ ประการขึ้นมา จะรักษาศีลกี่ข้อ ก็เอาความไม่เห็นแก่ตัว เป็นรากฐาน กำหนดอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัว แล้วมันก็ไม่ทำอะไรให้เลวทรามเดือดร้อน
และก็ถืออีกข้อหนึ่งเพิ่มมาคือ ’ทำให้ผู้อื่นสบายใจ’ อธิษฐานจิตไว้ว่า … เราจะทำให้ผู้อื่นสบายใจ วันหนึ่งอย่าง น้อยครั้งหนึ่งเสมอ” ... ... พุทธทาสภิกขุ
#บุญนี้แหละที่จะเป็นที่พึ่ง
ฝากเป็นฝากตายได้อย่างมั่นคงแท้จริง ตราบใดก็ตามถ้าถ้าจิตใจดวงนี้มีบุญมีเครื่องยึดเหนี่ยวแล้ว แม้สภาพภายนอกจะมีความอุดมสมบูรณ์หรือมีความขาดเขินก็ตาม แต่จิตใจดวงนี้ก็มีแต่ความเบิกบานความผ่องใสตลอดไป
เปรียบประดุจเหมือนเราอยู่กลางท้องทะเล ตราบใดก็ตามที่เรายังไม่ถึงฝั่งให้ยึดเรือไว้ให้มั่น อย่าทิ้งเรือ เมื่อเรายึดเรือไว้มั่นแล้ว แม้นอยู่ท่ามกลางของคลื่นลมเราก็มีความปลอดภัยจากคลื่นลมในท้องทะเลจนกระทั่งถึงฝั่ง เราก็ไม่จำเป็นก็ต้องแบกเรือขึ้นไปบนฝั่งอีกต่อไป เราก็ขึ้นฝั่งได้อย่างอิสระ ได้อย่างสะดวกสบาย แต่ถ้าเราอยู่กลางท้องทะเลเราไม่สนใจใส่ใจในเรือ ทิ้งเรือ กว่าจะจมน้ำตายมันดิ้นรนทุราย มันทุกข์ทรมานขนาดไหน
ชีวิตการเวียนว่ายตายเกิดของเราอยู่ในวัฏฏะก็ไม่แตกต่างจากการอยู่ในท้องทะเล เรายึดบุญไว้เปรียบประดุจดั่งเรือ เมื่อเรามีบุญเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวแม้เราจะอยู่ในท่ามกลางของคลื่นลม คือวัฏฎะ การเทียวตายเทียวเกิด แต่การเทียวตายเทียวเกิด เทียวเกิดเทียวตายของเราก็มีความปลอดภัย มีภพชาติที่ดีคติที่งามตลอดไป
โอวาทธรรม #หลวงพ่อสุธรรม_สุธัมโม วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
"..ใครได้ความเกิดมา ก็คือคนนั้นจะได้ความตาย ความเกิดก็คือความตาย ความตายก็คือความเกิด สิ่งที่เกิดกับสิ่งที่ตายก็อันเดียวกัน ต้นไม้ที่เกิดกับต้นไม้ที่ตายก็อันเดียวกัน คนที่เกิดกับคนที่ตายก็คนคนเดียวกัน
ในเมื่อคนเกิดมา เกิดมาตาย แล้วตรงไหนจะเป็นคน ตรงไหนจะเป็นตัวตนของเรา ยังไม่ทันตายก็ไม่ใช่อยู่แล้ว เพราะมันเสื่อม มันเสียไปทุกวัน คำว่าตาย ๆ เป็นการเสียครั้งสุดท้าย เสียจนหมดตัว แสวงหามา แสวงหามาตั้งแต่เกิด คืนทีเดียวหมด คืนเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟไป จึงว่าไม่มีใครได้อะไรไป สิ่งที่ได้ก็คือความตาย.."
โอวาทธรรมคำสอน พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่แบน ธนากโร) วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๗๑-๒๕๖๓)
"...ศีลนี่เป็นหลักพุทธศาสนา เราดูซี ศีล คืออะไร ศีลคือความงามในเบื้องต้น งาม ในท่ามกลาง และงามในที่สุด
งามเบื้องต้นคืออะไรเล่า เป็นผู้มีศีล อะไร เป็นศีลเล่า ท่านบอกว่าสำรวมกายวาจาใจ ให้เรียบร้อย ดูซีกายเราเรียบร้อย วาจาเรา เรียบร้อย ใจเราเรียบร้อย
ไม่ได้ทำโทษน้อย โทษใหญ่ ทั้งทางกาย ทางใจแล้ว นี่จึงเรียกว่าเป็นผู้มีศีล
ศีล แปลว่า ความปกติกายปกติใจ เดี๋ยวนี้ ใจเราปกติหรือยังไม่ปกติ มันเป็นอย่างไร ถ้าใจมันปกติ มันก็ไม่พิกลพิการ มันไม่ทะ เยอทะยาน เรื่องเป็นเช่นนี้ กายของเรา มันก็ไม่พิกลพิการ ให้พิจารณาดูซี ทำจิต ให้เป็นปกติ เหมือนกับก้อนหิน ลมพัดมา จากทิศทั้งสี่ก็ไม่หวั่นไหว
นี่เราก็ทำใจเรา เหมือนก้อนหิน ใครจะว่า อย่างไรก็ตาม ดีชั่ว ไม่เป็นเหมือนเขาว่า เมื่อเราไม่ดีแล้ว เขาจะว่าดี มันก็ไม่ดีดังกับ เขาว่า เมื่อเราดีแล้ว เขาว่าไม่ดี มันก็ไม่ เป็นเหมือนเขาว่า เราก็ดูซี ให้เห็นซี นี่แหละ จิตของเรา เป็นศีลเราก็รู้จัก..."
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
"นั่งสมาธิ "
"..การทำสมาธิทำให้จิตแก่กล้า แล้วมันทำให้ร่างกายสมบูรณ์สุขภาพดีได้เหมือนกัน ถึงแม้เราไม่ต้องการว่าจะสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่ว่ามันเป็นของมันเอง
กาย เป็นของรองรับซึ่งทุกข์ทั้งหลาย อยากอยู่นานๆ อยากได้อายุยืนนาน ก็อยากทุกข์น่ะซี อายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี อายุนานเท่าใดมันก็ทุกข์นานเท่านั้น คนปรารถนาทุกข์เหลือเกิน เหตุนั้นเรามาทำภาวนาสมาธิดีกว่า ฝึกอบรมสมาธิให้สุขภาพจิตมันดียิ่งขึ้นไป ส่วนร่างกายเราไม่อาลัยอาวรณ์มันหรอก นั่งลงไปมันจะเจ็บปวดร้าวด้วยประการต่างๆ ไม่ต้องอาลัยกังวลเกี่ยวข้องกับมน ขอให้จิตอยู่นิ่งก็แล้วกัน เมื่อจิตสงบแล้วกายมันก็อยู่นิ่งของมันเอง จิตวางกายแล้ว ไม่ปรากฏเลยว่า นั่นนอนหรือเป็นอะไรต่างๆ มันไม่ปรากฏ มันปรากฏเพียงจิตอันเดียว นั่นแหละจิตทิ้งกายแล้ว ทีนี้มันค่อยสบายเป็นสุข
การทำสมาธิมีอานิสงส์มากมายหลวงหลาย ทำสมาธิให้เป็นเสียก่อนแล้วจึงจะค่อยรู้เรื่อง หากไม่ทำเองใครจะพูดอย่างไร เท่าใดมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก ต้องเห็นประจักษ์ด้วยตนเองเสียก่อนจึงจะรู้จะเข้าใจ เช่นว่าเราไม่เคยนั่งเลย นั่งทีแรกมันก็ต้องเจ็บต้องปวดอะไรต่างๆ ครั้งฝึดหัดนั่งสมาธิจนเห็นความสุขสงบ หรือจากการยืนหรือเดินก็ตาม เมื่อจิตปล่อยวางกายหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ความสงบอย่างยิ่งแล้ว จะชอบอกชอบใจอยากทำ ทีแรกมันต้องบังคับฝืน ครั้นภาวนาเป็นสมาธิแล้ว ทีนี้ไม่ต้องบังคับหรอก มันอยากทำ มันขยันเอง
การทำสมาธิต้องฝึกหัดจิตตัวนี้แหละ ไม่ต้องทำอย่างอื่นฝึกฝนอบรมจิตอันเดียวนี้ แต่ไหนแต่ไรมาจิตไม่เคยฝึกฝนอบรมจิตนี้หากเราไม่ฝึกฝนอบรมก็ไม่มีวันเป็นสมาธิได้สักที แล้วไม่มีใครทำให้ได้ด้วย ไม่เหมือนสิ่งอื่น วัตถุอื่น เช่นทำเรือกสวนไร่นาทำการงานต่างๆ คนอื่นทำให้ได้ แต่ทำสมาธิคนอื่นทำให้ไม่ได้ ตนเองทำจึงค่อยได้ แล้วเห็นด้วยตนเองคนอื่นไม่เห็น
เหตุนั้นจึงว่า การทำสมาธินั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย ที่ว่ายากคือจิตใจของเรานั่นอยากให้เป็นสมาธิ ทำอย่างไรจึงจะเป็นสมาธิ ก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนด้วยประการต่างๆ ก็เลยไม่เป็นซ้ำ นั่นแหละเรียกว่ามันยาก ที่ว่าง่ายนั้นก็คือ มันไม่ต้องการอะไร ไม่อยากอะไร ปล่อยวางเฉยๆ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ เรื่องราวต่างๆ มันก็อยู่ตามเรื่องของมัน เอาแต่จิตของเรา เมื่อจิตมันวางอารมณ์ต่างๆ แล้ว มันสงบนิ่งก็เป็นสมาธิ ไม่ได้นึกได้คิดว่าจะเป็น แต่ว่ามันเป็นเอง นั่นแหละที่ว่าง่ายก็ง่าย
เหตุนั้นการทำสมาธิคือ หาอุบายที่จะจับจิตให้ได้ จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุงแต่ง สารพัดทุกอย่างนั่นแหละ มันไม่อยู่กับที่ เมื่อมันไม่อยู่นิ่งก็เดือดร้อน ดิ้นรนกระสับกระส่าย ของเหล่านั้นล้วนแต่จิตทั้งนั้น มันส่งส่ายไปในที่ทั้งปวงหมด ถ้าเราเห็นโทษ ก็ปล่อยวางอันที่มันวุ่นวายอยู่นั่นทุกสิ้งทุกอย่าง ไม่เอาแล้ว ปล่อยไปตามเรื่องของมัน เมื่อปล่อยวางหมดแล้ว มันจะมีอะไรอีก ? มันก็ยังเหลือแต่จิตเท่านั้น มันก็สงบอยู่ในที่เดียวนั่น มีแต่ความนิ่ง อันนั้นคือ ความรู้ หรือ ธาตุรู้ ก็เรียกหรือจะเรียก ผู้รู้ ก็ได้ นั่นได้ชื่อว่าถึงตัวของเราแล้ว รักษาตัวได้แล้ว ตัวของเราอยู่กับตัวแล้ว นั่นแหละจึงเห็น “ตัวแท้” คือธาตุรู้นั่นเอง เมื่อเข้าถึงตรงนั้นแล้ว ทีนี้ใครจะทำอะไร ใครจะคิด ใครจะพูดอะไร ก็ไม่กระทบกระเทือนแล้ว ใครจะดีชั่ว หรือถูกผิดก็ไม่กระทบกระเทือน ไม่ว่าอะไรหรอก เข้าถึงตรงนั้นแล้วมันไม่มองดูใครทั้งนั้น เอาเฉพาะแต่ตัวของมันเอง
หัดให้มันได้อย่างนี้บ่อยๆ ได้ชื่อว่าทำจิตของเราให้มันแก่กล้า ทำจิตของเราให้เป็นคนแก่คนเฒ่า มันจะหมดเรื่องแล้วคราวนี้ ไม่มีกังวลเกี่ยวข้องอะไรทั้งปวง มันอยู่สงบเฉย ทำถึงสมาธิแล้วมันหมดเอง เข้าของเงินทองสมบัติพัสถานอะไรทั้งปวงหมดไม่มีในที่นั้นเลย ยังอยู่แต่ ผู้รู้ ผู้เดียว ไม่คิดไม่นึก ที่สุดของพุทธศาสนาอยู่ตรงนั้นแหละ อย่าไปหาที่อื่นเลย ไปเห็นตรงนั้นแล้วมันหมดที่ไป
จึงว่าการไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง อันนั้นแหละเป็นที่สุดของโลก การปรุงการแต่งนั่นเป็นเรื่องของโลก การคิดการนึกก็เป็นเรื่องของโลก ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่ง แต่ว่ารู้ตัวอยู่เฉยๆ อันนั้นมันก็เหนือโลก เรียกว่า โลกุตระ ทำได้อย่างนั้นแล้วจะเอาอย่างไรนอกเหนือจากนั้นอีก
เอาละ ทำภาวนากัน.." . --- โอวาทธรรม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จะ.หนองคาย วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๗
|