นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:47 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: หมั่นทำแต่ความดี
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 17 พ.ย. 2025 4:47 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
“ผู้ให้อภัยง่าย ก็คือ ไม่โกรธง่ายนั่นเอง
ดังนั้น ผู้ที่ปรารถนาจะฝึกจิตให้ไม่โกรธง่าย
จึงควรต้องฝึกตนให้เป็นผู้มีเหตุผล
เคารพเหตุผล นั่นคือให้คิดหาเหตุผล
เพื่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจผู้ที่ตนอยาก
จะโกรธ เมื่อเห็นอกเห็นใจด้วยเหตุผลแล้ว
จะได้ไม่โกรธ จะได้อภัยให้ในความผิดพลาด
หรือบกพร่องของเขา กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ให้คิดหาเหตุผลเพื่อให้เกิดเมตตาในผู้ที่ตน
อยากจะโกรธนั่นเอง” ...
...
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร






"..อนัตตา ถ้าหากตายไปในวันนี้ พรุ่งนี้ สิ่งต่างๆที่เคยมีและผ่านเข้ามาตะเกียกตะกายดิ้นรนไข่วคว้า ทุกอย่างก็จะเป็นเพียงแค่สิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของเรา.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต





ลมพายุแรงให้เข้าไปหลบ
พายุสงบลงค่อยออกมา
เหมือนจิตใจเจอสิ่งใดมากระทบ
" ให้ระงับด้วยปัญญา "

#โอวาทธรรม
#หลวงปู่เจ้าคุณศิลา_สิริจันโท







"... ชีวิตไม่ติดสมมุติ เงินทองก็แค่ประสากระดาษ
ว่าแล้วหลวงปู่แหวนก็เอาแบงก์ ๕๐๐ มามวนบุหรี่สูบซะเลย

"หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน" เคยเล่าถึงบทเรียนเกี่ยวกับการไม่ติดในสมมุติของ "หลวงปู่แหวน สุจิณโณ" ไว้ว่า.. พูดถึงเรื่องเงินก็ระลึกถึงหลวงปู่แหวน..!!

บทเวลาท่านจะทำ ท่านก็รู้และปฏิบัติตามสมมุติอยู่ตลอดมา ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร ฝ่ายสมมุติเคารพว่าไม่ให้จับเงินทอง ท่านก็ไม่จับเหมือนพระทั้งหลาย
แต่บทเวลาจะพลิกล็อกนะ.. อยู่ ๆ ท่านก็ไปเอาธนบัตรใบละห้าร้อยมามวนบุหรี่มวนใหญ่ๆ เข้าใจไหมล่ะ?
หลวงปู่แหวนท่านสูบบุหรี่มวนใหญ่​
บทเวลาท่านจะพลิกล็อกก็เอาธนบัตรใบละห้าร้อยมามวนบุหรี่สูบปุ๊บ ๆ พวกพระเณรก็ตกตะลึงกัน

... เอ๊ยหลวงปู่! นี่มันธนบัตรใบละห้าร้อย เอามามวนบุหรี่สูบทำไม..?

ท่านก็ว่า..หือ..!!

ท่านทำท่าเหมือนไม่รู้นะ แล้วก็ตอบว่า
ประสากระดาษ
ประสากระดาษ เท่านั้นแหละ..!!ว่าแล้วท่านก็สูบเฉย สูบเสร็จก็ทิ้ง
จากนั้น​ ท่านก็ไม่เคยทำอีกนะ ทำทีเดียวพอให้โลกได้รู้บ้าง เพราะจิตของท่านบริสุทธิ์หมดแล้วนะ..

ท่านแสดงออกมาทางกิริยาแย็บเดียว จากนั้นท่านก็ไม่เคยทำอีก ท่านทำให้เป็นข้อคิดเฉย ๆ ไม่ใช่ท่านดื้อด้าน แต่ท่านทำให้เป็นข้อคิด

ถ้าเรายึดตามกิริยาสมมุติ พระเราก็เป็นสมมุติ รักษาสิกขาบทตามสภาพสมมุติ
เพราะฉะนั้น ท่านจึงรักษาธรรมวินัยเช่นเดียวกันหมด แต่จิตใจของท่านผ่านพ้นไปหมดแล้ว"
.
"... ท่านดูผมเวลาสูบบุหรี่ ผมไม่ได้กลืนควันเข้าไป ผมสูบเอาควันเข้าไปในปากมาก ๆ แล้วพ่นควันออกไป เมื่อพ่นควันออกไปแล้วก็ดูควันบุหรี่ ขณะที่ควันบุหรี่ออกจากปากมันจะม้วนตัวลอยสูงขึ้นไป

ขณะที่ม้วนตัวสูงขึ้นไป อันนี้แสดงถึงความทุกข์
ขณะที่ควันบุหรี่จางหายไป อันนี้แสดงถึงความไม่เที่ยง
เมื่อควันบุหรี่หายไปหมด แสดงถึงอนัตตา

... ผู้มีปัญญาเมื่อสูบบุหรี่จะพิจารณาตามที่เห็นจากควันบุหรี่ ท่านคอยดูควันบุหรี่ที่ผมจะพ่นให้ดู ดูให้เป็นปัจจุบัน
ดูควันบุหรี่ที่ออกมาจากปากผมและหายไปในที่สุด ควันบุหรี่จะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ..."

ที่มาของบทความ: คัดมาจากหนังสือ
"ญาณสัมปันนธรรมานุสรณ์"
หลวงตามหาบัว​ ญาณสัมปันโน​
วัดป่าบ้านตาด​ จ.อุดรธานี
--------------------------------
#หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ​
วัดดอยแม่ปั๋ง​ อำเภอพร้าว​ จังหวัดเชียงใหม่
(พ.ศ.๒๔๓๐-๒๕๒๘)






มุตโตทัย ลิขิตธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
บันทึกโดย พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร ณ วัดป่าบ้านนามน กิ่ง อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร พ.ศ. ๒๔๘๖

๑. การปฏิบัติ เป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าธรรมของพระตถาคต เมื่อเข้าไปประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแล้ว ย่อมกลายเป็นของปลอม (สัทธรรมปฏิรูป) แต่ถ้าเข้าไปประดิษฐานในจิตสันดานของพระอริยเจ้าแล้วไซร้ ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้จริง และเป็นของไม่ลบเลือนด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อยังเพียรแต่เรียนพระปริยัติถ่ายเดียว จึงยังใช้การไม่ได้ดี ต่อเมื่อมาฝึกหัดปฏิบัติจิตใจกำจัดเหล่า กะปอมก่า คือ อุปกิเลส แล้วนั่นแหละ จึงจะยังประโยชน์ให้สำเร็จเต็มที่ และทำให้พระสัทธรรมบริสุทธิ์ ไม่วิปลาสคลาดเคลื่อนจากหลักเดิมด้วย

๒. การฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา
สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทรมานฝึกหัดพระองค์จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พุทฺโธ ผู้รู้ก่อนแล้วจึงเป็น ภควา ผู้ทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ สตฺถา จึงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้มีอุปนิสัยบารมีควรแก่การทรมานในภายหลัง จึงทรงพระคุณปรากฏว่า กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต ชื่อเสียงเกียรติศัพท์อันดีงามของพระองค์ย่อมฟุ้งเฟื่องไปในจตุรทิศจนตราบเท่าทุกวันนี้ แม้พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วก็เช่นเดียวกัน ปรากฏว่าท่านฝึกฝนทรมานตนได้ดีแล้ว จึงช่วยพระบรมศาสดาจำแนกแจกธรรม สั่งสอนประชุมชนในภายหลัง ท่านจึงมีเกียรติคุณปรากฏเช่นเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าบุคคลใดไม่ทรมานตนให้ดีก่อนแล้ว และทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอนไซร้ ก็จักเป็นผู้มีโทษ ปรากฏว่า ปาปโกสทฺโท คือเป็นผู้มีชื่อเสียงชั่วฟุ้งไปในจตุรทิศ เพราะโทษที่ไม่ทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเจ้าในก่อนทั้งหลาย

๓. มูลมรดกอันเป็นต้นทุนทำการฝึกฝนตน
เหตุใดหนอ ปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดี จึงต้องตั้ง นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็นสิ่งสำคัญ จึงยกขึ้นพิจารณา ได้ความว่า น คือธาตุน้ำ โม คือ ธาตุดิน พร้อมกับบาทพระคาถา ปรากฏขึ้นมาว่า มาตาเปติกสมุภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกัน จึงเป็นตัวตนขึ้นมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา โม เป็นธาตุของ บิดา ฉะนั้นเมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ถือปฏิสนธิในธาตุ นโม นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว กลละ ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น อัมพุชะ คือเป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น ฆนะ คือเป็นแท่ง และ เปสี คือชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็นปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ พ คือลม ธ คือไฟ นั้นเป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลังเพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละก็ต้องทิ้งเปล่าหรือสูญเปล่า ลมและไฟก็ไม่มี คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาปสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นเดิม

ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย น มารดา โม บิดา เป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาด้วยการให้ข้าวสุกและขนมกุมมาส เป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดาว่า บุพพาจารย์ เป็นผู้สอนก่อนใครๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ทำให้กล่าวคือรูปกายนี้แล เป็นมรดกดั้งเดิมทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของภายนอกก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลยเพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น.

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






" สิ่งที่มองไม่เห็น ใช่ว่าจะไม่มี หมั่นทำแต่ความดีไว้ เทพเทวาจะคุ้มครองป้องภัยปกปักรักษา เราเอง "

#โอวาทธรรม
#หลวงปู่มหาศิลา_สิริจันโท





เมื่อวานนี้ เราเรียกเมื่อวานนี้ว่า วันนี้
พรุ่งนี้ เราจะเรียกพรุ่งนี้ว่า วันนี้
ในชีวิตที่เป็นจริงของเรามีแต่วันนี้เท่านั้น
ถ้าเราอยู่ถึง ๑๐๐ ปี ก็หมายความว่า
เราผ่านได้ประมาณ ๓๖,๕๒๕ วันนี้แล้ว
และทุกวินาทีในวันนี้ทั้งหลายของเรา
ตั้งแต่เราพูดได้ จนถึงวันที่เราพูดไม่ได้อีกแล้ว
เราเรียกชื่อมันโดยเฉพาะว่า เดี๋ยวนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อชีวิตคือวันนี้ และวันนี้
คือเดี๋ยวนี้ คำถามที่สำคัญยิ่งที่เราควร
ถามตัวเองอยู่บ่อยๆ คือ เดี๋ยวนี้ ...
เรากำลังทำอะไรอยู่ เพื่ออะไร
...
พระอาจารย์ชยสาโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO