นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:51 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความเมตตา
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 15 พ.ย. 2025 10:37 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
เวลาที่เราสวดมนต์ภาวนาทุกครั้งนั้น ภายในรัศมี ๑ หลา จะมีเทวดาท่านคอยคุ้มครองไม่ให้เราได้รับอันตราย และถ้าเราได้ยินเสียง ก๊อกๆ แก๊กๆ ก็อย่าได้ตกใจ ไม่ใช่ภูติผีที่ไหน นั่นเป็นสัญญาณว่า ท่านมาคุ้มครองแล้ว ให้เราภาวนา ทำความดีต่อไป

หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง






"..เราเกิดมามีศีลห้าพร้อม ตัวศีลห้าได้มาพร้อมตั้งแต่เราเกิดมา มีขาทั้งสอง แขน ทั้งสอง ศีรษะอันหนึ่ง นี่แหละตัวศีลห้า อย่าเอาห้าไปทำโทษห้า โทษห้านั้นคือปาณานั้นก็โทษ อทินนานั้นก็โทษ กาเมนั้นก็โทษ มุสานั้นก็โทษ สุรานั้นก็โทษ แน่ะเป็นโทษทั้งหมด ที่เรายุ่งทุกวันนี้ก็เพราะห้าอย่างนี้ กลัวคนมาฆ่า กลัวคนขโมย กลัวคนผิดในกาม กลัวคนมุสาฉ้อโกงหลอกลวง กลัวคนมึนเมาสุราสาโท กัญชายาฝิ่น นี่เป็นโทษ ถ้าเราละเว้นอันนี้แล้ว ท่านว่า สีเลน สุคตึ ยนฺติ มีความสุข ก็เพราะศีล สีเสน โภคสมฺปทา มีโภคสมบัติ ก็เพราะศีล นี่แหละ ให้พากันพึงเข้าใจ ให้ละเว้นโทษทั้งหลายห้าอย่างนี้.."

อาจาโรวาท
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)






” ฉันมองดูแต่ไม่มีผู้เห็น ฉันฟังอยู่ไม่มีผู้ได้ยิน ฉันดมอยู่แต่ไม่มีผู้ได้กลิ่น ฉันกินอยู่แต่ไม่มีผู้ได้รส ฉันถูกต้องแต่ไม่มีผู้ได้สัมผัส ฉันคิดอยู่แต่ไม่มีผู้คิด ฉันทำงานทุกอย่างแต่ไม่มีผู้ทำ ฉันพูดอยู่แต่ไม่มีผู้พูด ฉันเดินอยู่แต่ไม่มีผู้เดิน ธรรมสภาวะนี้ใครได้สัมผัสรู้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไปดังเส้นผมบังภูเขา ถ้าหมดความอยากก็หมดความทุกข์ มีสติคุมจิต รู้เห็นถูกต้องตรงตามธรรม ทุกขณะตื่น ”

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน





"..เมื่อเราทราบอยู่แก่ใจว่า ธรรมเป็นธรรม และเป็นเครื่องนำความเจริญมาสู่ตน และทราบอยู่ว่าโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณเผาอยู่ในดวงใจ เหมือนไฟลุกโพลงอยู่ด้วยเชื้อ คอยแต่จะสังหารทำลายสิ่งต่าง ๆ ให้ย่อยยับดับสูญลงไปทุกเวลานาทีเช่นนี้ จึงควรเร่งบำเพ็ญตนให้พ้นภัยไปเฉพาะหน้า ซึ่งยังควรแก่วิสัยพอจะทำได้ หากกาลอันควรผ่านไปแล้วจะเสียใจภายหลัง เพราะโลกนี้คือโลกอนิจฺจํ และตั้งอยู่บนร่างกายและจิตใจของคนและสัตว์ไม่เลือกหน้า.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)





เราจะอยู่ดีสบายไม่ตายไม่ได้ บางคนนั้น
ก่อนที่ยังไม่หลับไม่นอนก็อยู่สบายดี
เป็นพระเป็นเณรก็ไม่มีเรื่องอะไร
เป็นญาติเป็นโยมก็ไม่มีเรื่องอะไร แต่พอ
เข้าไปนอนหลับ เท่านั้นแหละ บางคนก็
เกิดเป็นลม แก้ไขจนหายก็มี ไม่หายตายไป
ก็มี บางคนไม่มีเรื่องอะไร เงียบหายไป
ตื่นเช้าไปดู ปรากฏว่าตายไปตั้งแต่เมื่อไร
ก็ไม่รู้ ตัวแข็งไปหมดแล้ว ร่างกายแข็งกระด้าง
ไม่รู้มันตายไปตั้งแต่เมื่อไร ตายแบบนี้มัน
มีอยู่ทั่วไป แต่ว่าคนเราไม่เอามาภาวนา
ไม่เห็น จิตมันก็ประมาท

เห็นสัตว์ตายก็ไม่สะดุ้งกลัวบาป เห็นคนตาย
ก็ไม่สะดุ้งกลัวบาป เพราะสติ สมาธิ ปัญญา
มันไม่เกิดไม่มีขึ้น หรือว่าจิตใจภายในมันมืด
มันดำ มองไม่เห็นซึ่งความตายนั้น จิตมันก็
ประมาทต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด จึงจำเป็นต้องเอา
มานึก มาเจริญในใจทุกๆ คน ไม่ใช่ว่าเพ่งให้
คนสอน ให้คนอื่นนึก อย่างนี้ก็ไม่ได้ เมื่อเรา
ยังนึกได้ เจริญได้ซึ่งความตาย เอามาสอนใจ
ของตัวเองนั้นแหละ ให้เกิดความรู้สึกสำนึกตัว
ในการที่จะแก้ไขในสิ่งที่ไม่ดีให้มันดีขึ้น
สิ่งใดยังไม่รู้ ไม่เข้าใจในธรรมปฏิบัติก็จะได้
เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้นมาในใจ ...
...
พระอาจารย์สิม พุทฺธาจาโร
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง
อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่






#เมตตาจิตพิชิตกิเลสของหลวงปู่ขาว

"เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ท่านปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งหลวงปู่ขาวเคยเล่าว่าเดิมทีนั้นตัวท่านเป็นคนโทสะจริต มีอะไรนิดหน่อยก็โกรธ ในครั้งนั้นท่านนั่งสมาธิภาวนาแต่ว่าจิตไม่สงบดังปรารถนา"

"... ขณะที่นั่งภาวนาอยู่ข้างล่าง ท่านก็ไม่สบายใจ นึกบ่นว่าทำอย่างไรๆ ทำไมจิตมันจึงแข็งอยู่อย่างนั้น ทำสมาธิก็ไม่ลง ทำอย่างไรๆ ก็ไม่ลง ทำอย่างไรๆ มันก็ไม่สงบ ท่านรำคาญเต็มที
จึงโกรธว่าตัวเองขึ้นมาว่า “นี่มันผีนรกวิ่งขึ้นมาจากอเวจีนี่นา จิตมันถึงได้แข็งกระด้างอย่างนี้ ไฟเผามันอย่างนี้ น่าจะกลับให้มันลงไปอเวจีอีก อย่าให้มันขึ้นมา ให้อเวจีมันเผา”…”

ท่านดุว่าตนเองแล้วจึงจำวัด ต่อมาเมื่อไปปฏิบัติท่านพระอาจารย์ใหญ่ในตอนเช้า
หลวงปู่มั่นจึงตักเตือนว่า

“…เอ๊ะ! ท่านขาว ท่านทำไมทำอย่างนี้ ท่านก็เป็นผู้ประเสริฐ เป็นมนุษย์ประเสริฐอยู่แล้ว มาด่าตัวเองเฮ็ดหยัง (ทำไม) ให้ลงนรกอเวจีอย่างไร ไม่ถูกนี่ ท่านมาประจานตน ว่าตนอย่างนี้ไม่ได้
ท่านก็ทำความเพียรอย่างดีแล้ว จะไปว่ามันทำไม ถ้าว่าหนักๆ เข้า ท่านอาจฆ่าตัวตายได้นะ
และถ้าเผลอไปฆ่าตัวตายเข้าแล้วชาตินี้ ต่อไปนับชาติไม่ได้นะ ที่จะต้องวกวนกลับไปฆ่าตัวตายอีก
ฆ่าตัวตายนี่ถ้าท่านเริ่มขึ้นชาติหนึ่งแล้ว ก็จะต้องต่ออีก ๕๐๐ ชาติ
แล้วก็ไปเที่ยวเอาภพเอาชาติผูกเวรผูกกรรมกัน ฆ่าตัวตายอยู่อย่างนั้น
อย่าไปทำอีกนะท่าน ไม่ถูก ตัวเองบริสุทธิ์อยู่ ทำไมถึงไปทำตน ไปด่าตนอย่างนี้…”

แม้ว่าจะถูกท่านพระอาจารย์ใหญ่ปราม และตัวท่านก็กลัวแต่ยังคงนึกโกรธตนอยู่ไม่คลาย

“...ขึ้นไปอยู่ดอยมูเซอกับพวกมูเซอ เสือก็มีตัวใหญ่ๆ ลายพาดกลอน
เดินอยู่กลางคืนก็นึกบอก “เจ้านี่มันเลวจริง ๆ มันเป็นหยัง
มันหยาบแท้ มันแข็งแท้ ให้เสือมาคาบมึงไปกินซะ…”

“...ด่าตัวเอง นึกว่าตัวเอง โกรธที่จิตไม่ลง ให้เสือมาเอาไปกินซะ
นึกว่าฆ่ามันได้แล้ว จิตมันจะได้กล้า มันจะได้เกรง อ่อนน้อมยอมต่อเรา...”

ด่าตนเองแล้วก็ไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ แต่จิตก็ไม่ลง ท่านจึงจำวัด
พอหลับไปก็ปรากฏนิมิตเห็นโยมมารดามานั่งอยู่ข้าง ๆ
และพวกมูเซอมาจากไร่ หอบผักใส่ตะกร้าแบกขึ้นหลังมา

“…โยมมารดาท่านบ่นขึ้นว่า “ขาว..ขาว นี่ ทำอย่างไรถึงเป็นหนอ”
พวกมูเซอก็พูดว่า “ไม่ยาก ๆ เอาของอ่อนให้กินเด้อ
อย่าไปกินของแข็ง ถ้ากินของแข็งไม่เป็น กินของอ่อนล่ะเป็น”
แม่ท่านก็เลยบอกว่า “ไม่เข้าใจ เป็นอย่างไร ของอ่อน ของแข็ง”
แม่ท่านก็เอิ้น (เรียก) ถามขึ้นว่า “ของอ่อนมีอะไรไหม”
“ของอ่อนก็อย่างสาหร่ายไงล่ะ” แม่ท่านก็บอกว่า “ขาว..ขาว กินของอ่อนเด้อ...”

เมื่อท่านตื่นขึ้นจึงไปนั่งสมาธิ เริ่มต้นพิจารณา

“...พิจารณาของแข็งก่อน อะไรหนอที่มูเซอว่าเป็นของแข็ง เรามีอะไรที่เขาว่าเรากินของแข็ง
พิจารณาไปๆ มาๆ ผู้รู้ก็ตอบขึ้นว่า “ที่ว่าของแข็งคือความโกรธ ความมักโกรธ นั่นแหละของแข็งล่ะ”
แล้วอ่อนล่ะ ที่บอกว่าให้เอาของอ่อนมากิน อะไรคือของอ่อน ?
พิจารณาไปๆ มาๆ ก็รู้ขึ้นว่า ของอ่อนก็ต้องเอาเมตตา...”

เมื่อได้คำตอบแล้ว ท่านจึงแผ่เมตตาทั่วสารทิศแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง
ทั้งญาติพี่น้อง มิตรสหาย ไม่เว้นแม้แต่ศัตรู แผ่ไปโดยไม่มีประมาณ

“... ความโกรธที่เคยสิงอยู่ในดวงจิตนั้นก็ค่อยๆ อ่อนลง...
อ่อนลงแทบจะไม่นึกโกรธอะไรเลย มีแต่ความเมตตาสงสารสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วโลก
ให้นึกเห็นใจเขา เขาจะทำอะไรที่ผิดไปบ้าง เขาก็ไม่ตั้งใจ
หากเขาตั้งใจ ก็เห็นใจว่าเขาเป็นอย่างนั้น เขาถึงได้ทำอย่างนั้น
เป็นความลำบากของเขาเอง ที่เขาไม่ดี ไม่ได้เกี่ยวอะไร ให้นึกสงสารเขา
เมื่อแผ่เมตตาไปๆ ความโกรธนั้นก็ค่อยๆ อ่อนลง จิตก็ไม่ค่อยแข็ง จิตอ่อนแล้ว
จิตอ่อนควรแก่การงานแล้ว นึกจะทำอะไรก็ได้ เป็นจิตที่ดี เป็นจิตที่ควรชม ควรแก่การงาน
จะพิจารณาอะไรก็ได้ จิตอ่อนหมายถึงว่าจิตเบา จิตว่าง ...”
----------------------------------
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู (พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 32 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO