|
"..ดีชั่วมิได้เกิดขึ้นมาเอง แต่อาศัยการทำบ่อยก็ชินไปเอง เมื่อชินแล้วก็กลายเป็นนิสัย ถ้าเป็นฝ่ายชั่วก็แก้ไขยาก คอยแต่จะไหลลงไปตามนิสัยที่เคยทำอยู่เสมอ ถ้าเป็นฝ่ายดีก็นับวันคล่องแคล่วแกล้วกล้าขึ้นเป็นลำดับ ถ้าลงได้เป็นนิสัยแล้ว ไม่ว่าทางชั่วทางดีย่อมมีทางระบายออกได้ทางไตรทวาร ไม่ยากเย็นอะไร ที่คนชั่วทำชั่วได้ง่ายและติดใจไม่ยอมลดละแก้ไขก็ดี คนดีทำดีได้ง่ายและติดใจกลายเป็นคนรักศีลรักธรรมไปตลอดชีวิตก็ดี ก็เพราะหลักนิสัยเป็นสำคัญ ลำพังการฝืนทำทั้งที่นิสัยไม่อำนวยมาก่อน ย่อมลดละปล่อยวางได้ง่าย จนกว่าจะปรากฏผลเป็นน้ำเชื่อมที่มีรสดื่มด่ำแก่ใจแล้วนั่นแล จึงจะเกิดความพอใจในงานนั้น ๆ ทั้งชั่วและดี ไม่ยอมปล่อยวางอย่างง่ายดาย ฉะนั้น หลักนิสัยจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในตัวบุคคลและสัตว์ การทำอะไรจนกลายเป็นนิสัยแล้วเป็นสิ่งแก้ไขได้ยาก จึงไม่ควรทำแบบสุ่มเดา โดยมิได้ใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่นมั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
“ได้ของที่ไม่ชอบก็ทุกข์ เพราะไม่อยากได้ ไม่ได้ของที่ชอบ อยากได้ก็ทุกข์ แต่ถ้าดูเฉยๆ แบบยินดีตามมีตามเกิด ได้อะไรมาก็ไม่ทุกข์” พระราชวัชรสังวรมุนี (พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต) วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี
''..เมื่อบุคคลยังไม่รู้จักตัวเอง ธรรมะไม่เข้าถึงใจ ใจไม่เข้าถึงธรรมะ จะทำความชั่วอะไรก็กลัว กลัวคนอื่นจะเห็น กลัวพ่อแม่จะเห็น กลัวครูบาอาจารย์จะเห็น กลัวคนอื่นจะรู้ คือคนยังไม่เห็นธรรมก็ต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อไปในสถานที่ใดๆ ที่ว่างจากผู้คน ว่างจากพ่อแม่ว่างจากครูบาอาจารย์ เห็นว่าไม่มีเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีใครอยู่ในที่นั้น ก็พยายามทำความชั่วอยู่ที่ตรงนั้น ด้วยความประมาท เพราะความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง การกระทำเช่นนั้นเขาก็คิดว่าเขาทำถูกแล้ว พ้นภัยแล้ว เพราะว่าไม่มีใครเห็นเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นเขาอย่างนี้ ก็กระทำอย่างสนิทใจเลย แต่คนคนนั้นในทางธรรมถือว่าเป็นคนโง่ที่สุด คือเป็นคนดูถูกตัวเองที่สุด ความเป็นจริงนั้นเมื่อจิตมันเป็นธรรมะ เมื่อธรรมะเป็นจิต มันจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกันเลย จะไปทำผิดอะไรที่ตรงไหนเป็นต้น ก็ต้องมีคนเห็น คนอื่นไม่เห็นเราก็เห็นคนอื่นไม่รู้เราก็รู้ ดังนั้นถึงจะไปอยู่ตรงไหนก็เป็นอยู่อย่างนั้น จึงเป็นธรรมะ ไม่กล้าทำ เพราะใจมันเป็นธรรมะแล้ว พระอริยสาวกทุกๆ องค์เมื่อใจเป็นธรรมะแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้นทุกๆ องค์ ที่ลับไม่มี ที่แจ้งไม่มี อะไรๆ มันก็ไม่มี รู้แต่ว่าท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่แล้ว.."
โอวาทธรรมคำสอน พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบจ.อุบลราชธานี (พ.ศ.๒๔๖๑–๒๕๓๕)
“คนไม่มีโรคทางกายนับว่าประเสริฐ แต่คนไม่มีโรคทางใจ คือ กิเลส ประเสริฐกว่า”
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
เพียรเฝ้าดูใจเรื่อยๆ จะรู้จักใจตนได้
ฉะนั้น ให้ตั้งใจ ทำความดีของตน สะสมสมบัติของตนไป อย่าเข้าใจว่า กายนี้เป็นของเรา กายนี้เป็นแต่ที่รวมกัน ของธาตุขันธ์ อายตนะ มีกายจึงมีปฏิกูล มีอสุภะ เป็นของพาทุกข์ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มิใช่ตัวตนของเรา เป็นแค่ที่อาศัยให้ใจ ส่งกระแสซาบซ่านเพื่อให้มีชีวิตอยู่ เราฝึกหัดภาวนาอยู่นี้ จัดไม่อยู่ก็ให้บริกรรม กำหนดรู้ตัวให้ชัดเจน ภาวนาไม่เป็นผล ๑. อย่าอยาก ๒. อย่าโกรธให้ตัวเอง ๓. อย่าน้อยใจ ๔. อย่าด่วนรำคาญใจ ๕. อย่าอาลัยสงสัย ให้วางใจเป็นกลาง รักษาความรู้ตัวอยู่ตลอด จะเกิดอะไร อย่างใดก็ช่างมัน หน้าที่เราตั้งใจ อยู่เสมอ กำหนดใจไว้ให้อยู่ให้ได้ พากเพียร ตั้งใจใหม่ บริกรรมผูกไว้ ใจของเรามัน เป็นของยาก รักษาความรู้สึกอยู่เสมอ กายนั่งอยู่ ใจรู้ตัวอยู่ ตั้งใจของตน ... ... โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม (วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
ต่อจากนี้ไป มนุษย์จะอยู่ยากแล้วนะ มันกินต้นไม้ได้ มันก็กิน คนมันกินได้ มันก็กิน ภาวนาอย่างน้อย ๆ เอาให้ได้เป็นเทวดานะ ให้มันผ่านช่วงนี้ไปก่อน แล้วค่อยมาเกิด... . --- คำสอน หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ วัดป่าอาจารย์ตื้อ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
ไม่เป็นผู้ขอ
ผ้าสบงที่เราใช้ไปสองปีแล้วจนจะขาดหมด จะนั่งแต่ละครั้งต้องถลกผ้าขึ้นมานิดหนึ่ง เสียก่อน เพราะผ้าที่เก่าจนขาดมันจะติดตัว ไม่ลื่นเหมือนผ้าใหม่ ตอนนั้นอยู่บ้านป่าตาว กำลังกวาดลานวัด เหงื่อออก เผลอนั่งลงเลย ไม่ได้ถลกผ้าขึ้น ขาดแควกตรงก้นพอดี ต้องเอาผ้าขาวม้ามาเปลี่ยน แต่หาผ้ามาปะ สบงไม่ได้ ต้องเอาผ้าเช็ดเท้าไปซักให้สะอาด แล้วเอามาปะข้างใน
เลยมานั่งคิดว่า เอ ! ... พระพุทธเจ้านี้ทำไม ทำให้คนต้องทนทุกข์จังเลย ขอคนก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ นึกท้อใจ เพราะจีวรก็ขาด สบงก็ขาด มานั่งภาวนาก็ตั้งใจได้ใหม่ คิดว่า เอาเถอะ จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ถอยละ ไม่มีผ้า ก็ไม่ต้องนุ่ง จะเปลือยมันเลยทีนี้ ใจมันฮึด ถึงขนาดนั้นทีเดียว คิดว่าทำให้ถึงที่สุดแล้ว ดูซิมันจะเป็นยังไง จากนั้นมาก็นุ่งผ้าปะหน้า ปะหลังมาเรื่อย ไปถึงไหนก็นุ่งมัน อย่างนั้นแหละ
ปีนั้นเป็นปีที่มีเดือนแปด ๒ หน ไปกราบ อาจารย์กินรีอีกครั้ง ไปอยู่กับท่านก็ไม่เหมือน คนอื่น เพราะธรรมเนียมของท่านไม่เหมือน ใคร ท่านก็มองๆ อยู่ เราก็ไม่ขอ ถ้ามันขาดอีก ก็หาผ้ามาปะเข้าไปอีก ท่านก็ไม่ได้เอ่ยปาก ให้อยู่ด้วย เราก็ไม่ได้ขออยู่เหมือนกัน แต่ก็ อยู่กับท่านน่ะแหละ ปฏิบัติไปทำไป ต่างคน ต่างไม่พูด ใครจะเก่งกว่ากันว่างั้นเถอะ
จวนเข้าพรรษาท่านคงไปบอกญาติของท่าน ว่า มีพระมารูปหนึ่ง จีวรขาดหมดแล้ว ให้ตัด ผ้าไตรไปถวายด้วยเถอะ เพราะมีคนเอาผ้า มาถวายเป็นผ้าทอเอง หนาทีเดียว ย้อมแก่น ขนุน ก็เอาด้ายจูงผีน่ะแหละมาเย็บ เย็บด้วย มือทั้งผืนเลย พวกโยมชีเขาช่วยกันเย็บให้ ดีใจที่สุด ใช้อยู่ ๔-๕ ปีก็ไม่ขาด ใช้ครั้งแรก ก็ดูกระปุกกระปุย เพราะผ้าใหม่มันกระด้าง ยังไม่กระชับตัว เวลาเดินเสียงดังสวบสาบ ยิ่งใส่สังฆาฏิ ๒ ชั้นเข้าไปยิ่งดูอ้วนใหญ่ แต่เราก็ไม่เคยบ่น ใส่ไปได้สักปีสองปีน่ะแหละ ผ้าจึงอ่อนตัวลง ก็ได้อาศัยผ้าผืนนั้นมาเรื่อย ยังนึกถึงบุญคุณของท่านอยู่เสมอ เพราะท่าน ให้มาโดยที่เราไม่ได้ขอ เป็นบุญมาก ตั้งแต่ได้ ผ้าผืนนั้นมาก็รู้สึกสบายกายสบายใจ
มองดูการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่อดีตมา ถึงปัจจุบัน จนถึงอนาคต ทำให้นึกได้ว่า กรรมใดทำไปแล้วไม่ผิด ไม่ทำให้เดือดร้อน มีแต่ความสบายใจ กรรมนั้นดี มีความเห็นอยู่ อย่างนั้น เห็นจริงตามนั้น ก็รู้สึกว่าชักเข้าท่า เลยเร่งการภาวนาเป็นการใหญ่ ไม่หยุดเลย ผ้าผืนนั้นนะ ใส่ขึ้นภูเจอเสือเหลืองผมว่ามัน ไม่กล้ากัดแน่ พอมันโฮกมาเจอ ก็จะงัก จังงังไปเลย ... พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี อุปลมณี หน้า ๓๔-๓๖
"..เพราะไม่มีที่พึ่งทางจิตใจหรือไม่รู้ที่พึ่งอันเกษมอันอุดม จึงกลัวการตายแต่ไม่กลัวการเกิดเมื่อเป็นเช่นนี้จึงคว้าโน้นคว้านี่เป็นที่พึ่ง บางคนกลัวตายคว้าเอาสิ่งอื่นมาเป็นที่พึ่งที่เคารพนับถือด้วยความงมงายนอกจากนี้ยังมีการทรงเจ้าเข้าผี สะเดาะเคราะห์ สะเดาะนาม สืบชะตาราศี ตัดกรรมตัดเวร โดยวิธีการต่าง ๆ ที่พึ่งอันอุดมมั่นคงนั้นคือการภาวนา น้อมรำลึกนึกเอาพระคุณอันวิเศษของพระพุทธเจ้า พร้อมพระธรรม และพระอริยสงฆ์มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจ จึงจะเป็นการถูกต้อง.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓–๒๔๙๒)
"...อย่าพากันประมาท ให้รู้สึกตัวว่า พวกเรากำลังถูกขับไล่ออกจากโลก อยู่ทุกวันๆ คือ ความแก่มันก็กำเริบ ความเจ็บมันก็คำราม ความตายมัน ก็เข้ามาถาม อย่ามัวไปคลุกคลีตีโมง อยู่กับพวกกองกิเลส จงคลุกคลีอยู่ กับพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ จนจิตใจเป็นสัมมาสมาธิ เราจะได้ไม่ หวาดหวั่นต่อภัยของโลก..."
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
#พึงระลึกรู้อยู่เสมอว่า
ต้นเหตุของความทุกข์ คือการประกอบกรรมชั่ว ต้นเหตุของความสุข คือการประกอบกรรมดี การที่คิดว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว จัดเป็นความคิดอย่างมิจฉาทิฐิ ด้วยเหตุที่ยังไม่มีปัญญาสอดส่องรู้ถึงกฎแห่งกรรม อันเป็นกฎแห่งธรรมะ
ท่านทั้งหลายควรเริ่มต้นแก้ไขปัญหาชีวิตของตนเองด้วยการทำความเห็นให้ถูกต้อง แล้วไม่ประมาทในการศึกษาอบรมเพิ่มพูนคุณธรรม เพื่อความเจริญก้าวหน้าสืบไป..
โอวาทธรรม #สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร) #สมเด็จพระสังฆราช_สกลมหาสังฆปริณายก
#อานิสงส์ของการรักษาศีล5
#ของ_พระอาจารย์มั่น_ภูริทัตตเถระ คำว่า ศีล ได้แก่สภาพเช่นไร ศีลอย่างแท้จริงเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษามีสภาพปกติไม่คะนองทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นที่เกลียด นอกจากความปกติงดงามทางกาย วาจา ใจ ของผู้มีศีลว่าเป็นศีล เป็นธรรม
เราควรรักษาศีล 5
1. สิ่งที่มีชีวิต เป็นสิ่งที่มีคุณค่า จึงไม่ควรเบียดเบียน ข่มเหง และทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป 2. สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวน ไม่ควรทำลาย ฉกลัก ปล้น จี้ เป็นต้นอันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกัน 3. ลูก หลาน สามี ภรรยา ใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อม ล่วงเกิน เป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนัก และเป็นบาปไม่มีประมาณ 4. มุสา การโกหกพกลม เป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีดี แม้เดรัจฉานก็ไม่พอใจคำหลอกลวง จึงไม่ควรโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย 5. สุรา ยาเสพติด เป็นของมึนเมาและให้โทษ ดื่มเข้าไปย่อมทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนบ้าได้ ลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัว อย่างมนุษย์จึงไม่ควรดื่มสุรา เครื่องทำลายสุขภาพทางร่างกายและใจอย่างยิ่ง เป็นการทำลายตัวเอง และผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน
#อานิสงส์ของการรักษาศีล 5
1. ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน 2. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย 3. ระหว่างลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกรายต่างครองกันอยู่ด้วยความเป็นสุข 4. พูดอะไร มีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ด้วยศีล 5. เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าคนบอหาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลกให้ มีแต่ความอบอุ่นไม่เป็นระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
ศีล นั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตไม่มี ก็ไม่เรียกว่าตน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอคนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไรยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญยิ่งไม่มี
กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้จากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล
ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีล ย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ สมบูรณ์ ไม่อด ไม่อยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญา
ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย
โอวาทธรรม #พระอาจารย์มั่น_ภูริทัตตเถระ
''..เมื่อบุคคลยังไม่รู้จักตัวเอง ธรรมะไม่เข้าถึงใจ ใจไม่เข้าถึงธรรมะ จะทำความชั่วอะไรก็กลัว กลัวคนอื่นจะเห็น กลัวพ่อแม่จะเห็น กลัวครูบาอาจารย์จะเห็น กลัวคนอื่นจะรู้ คือคนยังไม่เห็นธรรมก็ต้องเป็นอย่างนั้น เมื่อไปในสถานที่ใดๆ ที่ว่างจากผู้คน ว่างจากพ่อแม่ว่างจากครูบาอาจารย์ เห็นว่าไม่มีเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีใครอยู่ในที่นั้น ก็พยายามทำความชั่วอยู่ที่ตรงนั้น ด้วยความประมาท เพราะความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง การกระทำเช่นนั้นเขาก็คิดว่าเขาทำถูกแล้ว พ้นภัยแล้ว เพราะว่าไม่มีใครเห็นเขา ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นเขาอย่างนี้ ก็กระทำอย่างสนิทใจเลย แต่คนคนนั้นในทางธรรมถือว่าเป็นคนโง่ที่สุด คือเป็นคนดูถูกตัวเองที่สุด ความเป็นจริงนั้นเมื่อจิตมันเป็นธรรมะ เมื่อธรรมะเป็นจิต มันจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกันเลย จะไปทำผิดอะไรที่ตรงไหนเป็นต้น ก็ต้องมีคนเห็น คนอื่นไม่เห็นเราก็เห็นคนอื่นไม่รู้เราก็รู้ ดังนั้นถึงจะไปอยู่ตรงไหนก็เป็นอยู่อย่างนั้น จึงเป็นธรรมะ ไม่กล้าทำ เพราะใจมันเป็นธรรมะแล้ว พระอริยสาวกทุกๆ องค์เมื่อใจเป็นธรรมะแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้นทุกๆ องค์ ที่ลับไม่มี ที่แจ้งไม่มี อะไรๆ มันก็ไม่มี รู้แต่ว่าท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่แล้ว.."
โอวาทธรรมคำสอน พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบจ.อุบลราชธานี (พ.ศ.๒๔๖๑–๒๕๓๕)
คิดเร็ว … ระวัง อย่ารำคาญคนคิดช้า พูดคล่อง … ระวัง อย่าหงุดหงิด คนที่พูดตะกุกตะกัก ทำอะไรเก่ง … ระวัง อย่าดูหมิ่น คนที่ทำอะไรไม่เก่ง ถือศีล … ระวัง อย่าดูแคลนคนทุศีล จิตสงบ … ระวัง อย่าปรามาสคนฟุ้งซ่าน
จะดีได้ ดีจริง ดีนาน ก็เพราะรู้จักดี รู้จักป้องกันความดีของตน ไม่ให้กิเลสเกิดเป็นเงาตามตัวของมัน ... พระอาจารย์ชยสาโร
#บุญเป็นของคนทำ
ถาม: การอุทิศบุญกุศลไปให้คุณพ่อที่สียไปแล้ว จะรู้ได้ยังไงว่าท่านได้รับแล้ว เพราะท่านเสียไปหลายๆ สิบปีค่ะ
พระอาจารย์: ความจริงก็คงจะไม่รู้หรอก เพราะเราไม่มีญาณหยั่งทราบเหมือนพระพุทธเจ้า แต่เราทำเผื่อไว้ เผื่อท่านจะมารอรับ ส่วนบุญก็ ท่านก็จะได้รับไป แต่ถ้าไม่ได้มารอรับส่วนบุญ บุญนี้ก็กลับมาเป็นของเราเหมือนเดิม ของคนทำ อยู่กับคนทำต่อไป คนทำก็ได้บุญมากกว่าคนรับ เพียงแต่บางทีต้องใช้อุบายให้ไปคิดถึงคนตาย จะได้ทำบุญ งั้นปกติแล้วจะไม่ชอบทำบุญ ก็เลยต้องให้มีคนตายมาเป็นตัวกระตุ้นให้เราได้ทำบุญ เพราะบุญที่เราแบ่งให้คนตายนี้เสี้ยวเดียว ๑ เปอร์เซ็นต์อะไรทำนองนี้ ส่วนบุญอีก ๙๙ เปอร์เซ็นต์นี้อยู่กับเรา
โอวาทธรรม #พระอาจารย์สุชาติ_อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
วันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๔
#ชีวิตหลังความตาย_ไม่มีการต่อรองได้
หากบุญมากก็ไปสวรรค์ ในชั้นที่เหมาะกับแรงกุศลของตนเท่านั้น จะขอความเป็นทิพย์แห่งสวรรค์ที่มาก หรือน้อยกว่านั้นไม่ได้
หากแรงบาปมาก ก็ต้องไปนรกขุมต่างๆ ตามแรงกรรมของตน ซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์กับร้อนเท่านั้น จะขอต่อรองพักยกความทุกข์ร้อนทรมาน เพียงช้างกระพือหู งูแลบลิ้น ไม่ได้เลย ต้องก้มหน้ารับกรรมไป
ต่อรองได้แต่ในชีวิตจริงในโลกมนุษย์ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น ที่ทุกคนมีสิทธิ์จะเลือกทำดี หรือชั่ว บุญ หรือบาป ฉะนั้น ขอทุกคนจะเร่งทาน เร่งศีล เร่งภาวนาของตนแต่บัดนี้เสีย จะได้ออกไปจากการซัดเหวี่ยงของสังสารวัฏนี้ได้
โอวาทธรรม #หลวงปู่ฝั้น_อาจาโร
"..การฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทรมานฝึกหัดพระองค์จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พุทฺโธ ผู้รู้ก่อนแล้วจึงเป็น ภควา ผู้ทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ สตฺถา จึงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้มีอุปนิสัยบารมีควรแก่การทรมานในภายหลัง จึงทรงพระคุณปรากฏว่า กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต ชื่อเสียงเกียรติศัพท์อันดีงามของพระองค์ย่อมฟุ้งเฟื่องไปในจตุรทิศจนตราบเท่าทุกวันนี้ แม้พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วก็เช่นเดียวกัน ปรากฏว่าท่านฝึกฝนทรมานตนได้ดีแล้ว จึงช่วยพระบรมศาสดาจำแนกแจกธรรม สั่งสอนประชุมชนในภายหลัง ท่านจึงมีเกียรติคุณปรากฏเช่นเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าบุคคลใดไม่ทรมานตนให้ดีก่อนแล้ว และทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอนไซร้ ก็จักเป็นผู้มีโทษ ปรากฏว่า ปาปโกสทฺโท คือเป็นผู้มีชื่อเสียงชั่วฟุ้งไปในจตุรทิศ เพราะโทษที่ไม่ทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์สาวกเจ้าในก่อนทั้งหลาย.."
มุตโตทัยโอวาทธรรม พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
ท่านพิจารณาในทำนองนี้ถึง ๓ เดือน โดยการเข้า ๆ ออก ๆ ทางสมาธิภาวนา พิจารณาไปเท่าไร ก็ยิ่งรู้ยิ่งเห็นสิ่งที่จะมาปรากฏจนไม่มีทางสิ้นสุด แต่ผลดีปรากฏจากการพิจารณา ไม่ค่อยมีพอเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องและแน่ใจ
เมื่อออกจากสมาธิประเภทนี้แล้ว ขณะกระทบกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่ว ๆ ไปก็เกิดความหวั่นไหว คือทำให้ดีใจ เสียใจ รักชอบ และเกลียดชังไปตามเรื่องของอารมณ์นั้น ๆ หาความเที่ยงตรงคงตัวอยู่มิได้
จึงเป็นเหตุให้ท่านสำนึกในความเพียรและสมาธิที่เคยบำเพ็ญมาว่า คงไม่ใช่ทางแน่ ถ้าใช่ ทำไมถึงไม่มีความสงบเย็นใจและดำรงตนอยู่ด้วยความสม่ำเสมอ แต่ทำไมกลับกลายเป็นใจที่วอกแวกคลอนแคลนไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ไม่มีประมาณ ซึ่งไม่ผิดอะไรกับคนที่เขามิได้ฝึกหัดภาวนาเลย ชะรอยจะเป็นความรู้ความเห็นที่ส่งออกนอก ซึ่งผิดหลักของการภาวนาไปกระมัง? จึงไม่เกิดผลแก่ใจให้ได้รับความสงบสุขเท่าที่ควร
ท่านจึงทำความเข้าใจเสียใหม่ โดยย้อนจิตเข้ามาอยู่ในวงแห่งกาย ไม่ส่งใจไปนอก พิจารณาอยู่เฉพาะกาย ตามเบื้องบน เบื้องล่าง ด้านขวาง สถานกลาง โดยรอบ ด้วยความมีสติตามรักษา โดยการเดินจงกรมไป-มา มากกว่าอิริยาบถอื่น ๆ แม้เวลานั่งทำสมาธิภาวนาเพื่อพักผ่อนให้หายเมื่อยบ้างเป็นบางกาล ก็ไม่ยอมให้จิตรวมสงบลงดังที่เคยเป็นมา แต่ให้จิตพิจารณาและท่องเที่ยวอยู่ตามร่างกายส่วนต่าง ๆ เท่านั้น ถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับก็ให้หลับด้วยพิจารณากายเป็นอารมณ์
พยายามพิจารณาตามวิธีนี้อยู่หลายวัน จึงตั้งท่านั่งขัดสมาธิ พิจารณาร่างกายเพื่อให้ใจสงบด้วยอุบายนี้ อันเป็นเชิงทดลองดูว่าจิตจะสงบแบบไหนกันอีกแน่
ความที่จิตไม่ได้พักสงบตัวเลยเป็นเวลาหลายวัน พร้อมกับได้รับอุบายวิธีที่ถูกต้องเข้ากล่อมเกลา จิตจึงรวมสงบลงได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายผิดปกติ
ขณะที่จิตรวมสงบตัวลงไป ปรากฏว่าร่างกายได้แตกออกเป็นสองภาค และรู้ขึ้นมาในขณะนั้นว่า “นี้เป็นวิธีที่ถูกต้องแน่นอนแล้วไม่สงสัย” เพราะขณะที่จิตรวมลงไปมีสติประจำตัวอยู่กับที่ ไม่เหลวไหลและเที่ยวเร่ร่อนไปในที่ต่าง ๆ ดังที่เคยเป็นมา
และนี้คืออุบายที่แน่ใจว่าเป็นความถูกต้องในขั้นแรกของการปฏิบัติ
ในวาระต่อไป ก็ถืออุบายนี้เป็นเครื่องดำเนินไม่ลดละ จนสามารถทำความสงบใจได้ตามต้องการ และมีความชำนิชำนาญขึ้นไปตามกำลังแห่งความเพียร ไม่ลดหย่อนอ่อนกำลัง
นับว่าได้หลักฐานทางจิตใจที่มั่นคงด้วยสมาธิ ไม่หวั่นไหวคลอนแคลนอย่างง่ายดาย ไม่เหมือนคราวบำเพ็ญตามนิมิตในขั้นเริ่มแรก ซึ่งทำให้เสียเวลาไปเปล่าตั้ง ๓ เดือน
โทษแห่งความไม่มีครูอาจารย์ผู้ฉลาดคอยให้อุบายสั่งสอน ย่อมมีทางเป็นไปต่าง ๆ ดังที่เคยพบเห็นมาแล้วนั้นแล อย่างน้อยก็ทำให้ล่าช้า มากกว่านั้นก็ทำให้ผิดทาง และมีทางเสียไปได้อย่างไม่มีปัญหา
คัดลอกจากหนังสือ ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี
มหาปุญโญวาท ตั้งใจจนใจตั้งในศีลให้ดี
นี่เริ่มต้นตั้งใจทำความดี ตั้งใจจนใจตั้ง สมบัติใด ๆในโลกมิอาจตามได้ ทรัพย์ใดๆ มีแต่จะกองทิ้งไว้ ตลอดแม้รูปกายอันนี้ ไม่ได้ประโยชน์อะไรหนา คิดอ่านพิจารณา หาช่องทางให้บุญเกิด ไม่ให้เนิ่นช้า ใช้ปัญญา ให้ดี จึงชื่อว่ามาฟังเทศน์ มาสมาทานศีล มาทำบุญให้ทาน มาไหว้พระ กราบไหว้ มาฝึกหัดในนิสัยปัจจัย จึงให้รู้จักหนทาง ของตน รู้ตนดี รู้ตนชั่ว รู้ธรรมะเกิดในใจ ธรรมคุ้มครองผู้ตั้งใจในธรรม เพราะเป็น ความดีของตน สมกับว่า ปุญฺญานิ ปรโลก สฺสมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินนฺติ - ผู้สะสมบุญ บุญย่อมรักษาใจให้ตั้งอยู่ได้ เป็นผู้บริสุทธิ์ อยู่ได้ ใจตั้งได้นั้น ทรัพย์ใดๆเกิด ของทิพย์ ใดๆเกิด วิชชาใดๆ เกิด การเกิดมาของเรา ชีวิตนี้จึงได้รับผลอันดี จงตั้งใจของตน ตลอดไป ตั้งใจในศีลของตน เพราะ ศีล ย่อมให้ถึงสุคติ ศีลย่อมให้ถึงโภคทรัพย์ ศีลย่อมให้ถึงความหลุดพ้น มรรคผลนิพพาน ... หลวงปู่จาม มหาปุญโญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
"ชีวิตหลังความตาย ไม่มีการต่อรองได้" หากบุญมากก็ไปสวรรค์ ในชั้นที่เหมาะกับแรงกุศลของตนเท่านั้น จะขอความเป็นทิพย์แห่งสวรรค์ที่มาก หรือน้อยกว่านั้นไม่ได้
หากแรงบาปมาก ก็ต้องไปนรกขุมต่างๆ ตามแรงกรรมของตน ซึ่งเต็มไปด้วยทุกข์กับร้อนเท่านั้น จะขอต่อรองพักยกความทุกข์ร้อนทรมาน เพียงช้างกระพือหู งูแลบลิ้น ไม่ได้เลย ต้องก้มหน้ารับกรรมไป
ต่อรองได้แต่ในชีวิตจริงในโลกมนุษย์ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น ที่ทุกคนมีสิทธิ์จะเลือกทำดี หรือชั่ว บุญ หรือบาป ฉะนั้น ขอทุกคนจะเร่งทาน เร่งศีล เร่งภาวนาของตนแต่บัดนี้เสีย จะได้ออกไปจากการซัดเหวี่ยงของสังสารวัฏนี้ได้
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
“ได้ของที่ไม่ชอบก็ทุกข์ เพราะไม่อยากได้ ไม่ได้ของที่ชอบ อยากได้ก็ทุกข์ แต่ถ้าดูเฉยๆ แบบยินดีตามมีตามเกิด ได้อะไรมาก็ไม่ทุกข์”
พระราชวัชรสังวรมุนี (พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต) วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี
.
|