|
#โอวาทธรรมพระสุปฏิปันโน หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ
" เราทั้งหลายเกิดมาแล้ว จนถึงปัจจุบัน ขณะนี้... เรามีความดีอะไรบ้างในชีวิต ความดี... มีอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออก ถ้าหากเราตั้งจิตตั้งใจ..ทำความดี.. เราก็ได้ทุกลมหายใจเข้า-ออก "
หลวงปู่คำแปลง ปุณฺณชิ เสาร์ที่ ๘ พ.ย.๖๘ ณ ปราสาทจตุรมุข วัดสังฆทาน จ. นนทบุรี
"..แม้จะเปลี่ยนภพกำเนิดไปสักเท่าไร ก็เท่ากับเปลี่ยนเครื่องมือสังหารตนอยู่นั่นเอง จึงไม่ควรยินดีในการเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ อันเป็นลักษณะนักโทษย้ายที่อยู่หลับนอนในเรือนจำซึ่งไม่มีอะไรดีขึ้นเลย การเกิดตายนักปราชญ์ท่านถือเป็นภัยโดยจริงใจ เหมือนย้ายที่ที่ถูกไฟไหม้ แม้จะย้ายที่อยู่ไปไหนก็ไม่พ้นจากการระวังภัยอยู่นั่นเอง.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
"..กรรมอยู่กับตัวและตัวทำกรรมอยู่ทุกขณะ ผลก็เกิดอยู่ทุกเวลา ยังสงสัยหรือไม่เชื่อกรรมว่ามีและให้ผลแล้วก็สุดหนทาง ถ้ากรรมวิ่งตามคนเหมือนสุนัขวิ่งตามเจ้าของเขาก็เรียกว่าสุนัขเท่านั้นเอง ไม่เรียกว่ากรรม นี่กรรมไม่ใช่สุนัข แต่คือการกระทำดีชั่วทางกายวาจาใจต่างหาก ผลจริงคือความสุขทุกข์ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก กระทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักกรรม รู้แต่กระทำคือหาอยู่หากิน ที่ทางศาสนาเรียกว่ากรรมของสัตว์ของบุคคล และผลกรรมของสัตว์ของบุคคล.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) อ้างอิงหนังสือชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจกรรม ... พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจในกรรมนั้น ไม่ได้สอนให้คนกลัวกรรม เป็นทาสกรรม หรืออยู่ใต้อำนาจกรรม แต่สอนให้รู้จักกรรม ให้ควบคุมกรรมของตน ในปัจจุบัน คนมีอำนาจเหนือกรรม อาจควบคุม กรรมของตนได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าจะต้อง ควบคุมจิตเจตนาของตนได้ด้วย โดยตั้งมั่น แน่วแน่อยู่ในธรรม เช่น เมตตา สติ ปัญญา เป็นต้น อันเป็นส่วนจิต และศีล อันหมายถึง ตั้งเจตนาเว้นการที่ควรเว้น ทำการที่ควรทำ ให้ขอบเขตอันควร ทางพระพุทธศาสนา สอนให้ทุกๆ คนพิจารณาหลักกรรมเนืองๆ เพื่อเป็นผู้ไม่ประมาท พยายามละกรรมชั่ว ประกอบแต่กรรมดี การที่ยังปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้ ก็เพราะยัง ประมาท มิได้พิจารณาในหลักกรรม และไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อในผลของกรรม ต่อเมื่อเป็นผู้ไม่ประมาท และมีศรัทธาเชื่อ ดังกล่าว จึงจะละกรรมชั่วทำกรรมดีได้ ตามสมควร ... ... สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
โอวาทสุดท้ายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ก่อนที่ท่านจะเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านกล่าวว่า "..พวกญาติโยมพากันมามาก มาดูพระเฒ่าป่วย ดูหน้าตาสิ เป็นอย่างนี้ละญาติโยมเอ๋ย ไม่ว่าพระไม่ว่าคน พระก็มาจากคน มีเนื้อมีหนังเหมือนกัน คนก็เจ็บป่วยได้ พระก็เจ็บป่วยได้ สุดท้ายก็คือ ตาย ได้มาเห็นอย่างนี้แล้ว ก็จงพากันนำไปพิจารณา เกิดมาแล้ว ก็แก่ เจ็บ ตาย
แต่ก่อนจะตาย ทานยังไม่มีก็ให้มีเสีย ศีลยังไม่เคยรักษาก็รักษาเสีย ภาวนายังไม่เคยเจริญ ก็เจริญให้พอเสีย จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ด้วยความไม่ประมาท นั้นละจึงจะสมกับที่ได้เกิดมาเป็นคน เท่านี้ละ พูดมากก็เหนื่อย"
นี้คือ โอวาทที่ท่านฯ ให้ไว้แก่ชาวพรรณานิคมตั้งแต่นั้นจนวาระสุดท้ายท่านไม่ได้พูดอีกเลย ..." ภายหลังญาติโยมทางวัดป่าสุทธาวาสได้จัดรถมารับองค์ท่านและมรณภาพที่วัดป่าสุทธาวาสในคืนวันนั้นเองภาพประกอบวาดโดย เอ ท่องถิ่นธรรม จากหนังสือ "บูรพาจารย์" พิมพ์ปี ๒๕๔๕
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
บุญนั่นเฮดบ่ยากดอก บ่ได้ไซ่เงินจักบาท กะเฮดบุญได้ ไซ่แค่ใจ ไซ่แค่จิต สิอยู่ท่าได่กะเฮดบุญได้ ยืนกะได้ นั่งกะได้ ยางกะได้ นอนกะได้ ว่าตะจิตเป็นสมาธิ ล้างถ้วย ล้างจานอยู่ ขับรถอยู่ กะได่เฮดแล้วบุญ บ่ยากจักเม็ด
#คำสอนหลวงปู่ศิลา.
พิจารณาให้ดี... สิ่งใดในชีวิตที่เรารู้ว่าผิด แต่ใจยังพอใจที่จะทำ นั่นแหละคือเหตุแห่งทุกข์
โอวาทธรรมจาก #หลวงปู่มั่น
เมื่อก่อนจะเห็นว่าเราไปเสพอารมณ์ข้างนอกแล้วมีความสุขจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส คือสุขจากกามคุณ ๕ เป็นความสุขที่ต้องอาศัยคนอื่น สิ่งอื่นนอกตัว ซึ่งเป็นความสุขที่ไม่จีรังยั่งยืน และทำให้รู้ว่าเราตกอยู่ใต้อำนาจของธรรมชาติบางสิ่งบางอย่าง และเป็นทาสรับใช้เขามาตลอด และเราจะเอาชนะได้อย่างไร แต่ก็เกิดความสับสน วกวน เพราะแนวการปฏิบัติธรรมที่มีการสอนกันอยู่ก็มีมากมายหลากหลายวิธี ทั้งสมถะ และวิปัสสนา ทำให้เราไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไร เลือกแนวทางไหนดีและถูกต้องที่สุด เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
การปฏิบัติธรรมนั้น จำเป็นต้องรู้จักโครงสร้างใหญ่ของพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจธรรม ๔ ประการ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก่อนที่เราจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดตามที่ต้องการ ทำไมเราต้องศึกษาพระธรรมและต้องทำกรรมฐานด้วย เพราะมีคนเป็นจำนวนมากไม่ได้สนใจ หรือไม่ได้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้เลย เป็นเพราะคนเราที่เกิดมาในโลกนี้ที่มองเห็นว่าโลกเป็นทุกข์จริงๆมีน้อย นอกจากคนที่ได้สร้างสมบุญบารมีมาก่อนเท่านั้น เพราะโลกนี้ไม่ได้มีทุกข์อย่างเดียว ความสุขก็มี ทำให้ไม่เห็นทุกข์ เขาถูกความสุขจากกามคุณ ๕ ประกบไว้ ถ้าเปรียบกามคุณ ๕ ในโลกนี้ ก็เหมือนกับดอกไม้มีสีสันสวยสดงดงามวิจิตรตระการตา ในเกสรดอกไม้ก็มีน้ำหวานมีกลิ่นหอม แมลงภู่และผึ้งต่างโบยบินมาชื่นชมเชยชม ดูดกินน้ำหวานของดอกไม้เหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลินเจริญใจ จิตเราก็เปรียบเหมือนกับผึ้งหรือแมลงภู่หลงเพลิดเพลินชื่นชมเชยชมอยู่ในกามคุณ ๕ ยากที่จะถอนตนออกจากอารมณ์ของโลกได้ เพราะเป็นความเคยชินที่เคยสั่งสมมายาวนาน ความสุขทางโลกนี้เองทำให้คนจมอยู่ตรงนั้น มีคนจำนวนน้อยที่คิดจะออกจากความสุขแบบโลกๆ ที่มัดเขาไว้อย่างหนาแน่น
การที่จิตยินดีอยู่ในกามคุณ ๕ นี้เอง ทำให้ต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆเหล่านั้น มาสนองความต้องการของตน และเนื่องจากความสุขในกามคุณ ๕ นั้นก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่เที่ยง ทำให้มีความทุกข์ตามมามากมาย ทั้งๆที่รู้ แต่ก็อดที่ตามใจกิเลสไม่ได้ และแท้จริงแล้วความสุขจากกามคุณ ๕ นั้น เป็นความสุขเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มีความทุกข์มากกว่า ดังท่านพระมหากัสสปเถระกล่าวว่า ความสุขทางโลกนั้น เมื่อเทียบกับความสุขทางธรรมแล้ว มีไม่ถึง ๑ ส่วนเสี้ยวที่ ๑๖ ส่วน
หลวงพ่อจรัญ ทักขญาโณ
นิพพานัง ปะระมัง สุขัง" นิพพาน มีความสุขอย่างยิ่ง คือ มีความสุข ความทุกข์ไม่มี มีความสุข ตลอดนิรันดร์กาล
เมื่อเป็นเช่นนั้น เราท่าน ผู้ที่เป็น พุทธศาสนิกชน จึงมี ความปรารถนา ที่จะถึงซึ่ง พระนิพพาน ด้วยกัน”
ธรรมะรุ่งอรุณ เล่ม ๓ หน้า ๓๙
สมเด็จพระญาณวชิโรดม พุทธาคมวิศิษฐ์ จิตตานุภาพ พัฒนดิลก สาธกธรรมวิจิตร วิเทศศาสนกิจไพศาล วิปัสสนาญาณธุราทร ธรรมยุตติกคณิสสรบวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
สถิต ณ วัดธรรมมงคลเถาบุญนนทวิหาร กรุงเทพมหานคร
#เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม #หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร
ฟุ้งซ่านหนอ รำคาญหนอ หงุดหงิดหนอกำหนดไปตามความรู้สึก แรกๆมันอาจจะไม่ตอบสนอง เพราะเรามีความอยาก คืออยากให้หายคิดอยากให้หายฟุ้งอยากให้หายหงุดหงิด อยากให้หายจากความรำคาญ
แต่พอกำหนดซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อยๆความอยากหรือความปรารถนาอันนั้น มันเกิดแล้วมันดับไปพอสติมันเกิดแล้วสตินี้เป็นธรรมฝ่ายดีงาม เป็นฝ่ายกุศลไม่เกิดร่วมกับพวกอกุศลเพราะฉะนั้นเมื่อสติ มีความฟุ้งซ่าน ความหงุดหงิดรำคาญใจเป็นที่ตั้งของสติ เรากำหนดเรื่อยๆจนกระทั่งสามารถกั้นกระแสของนิวรณ์กั้นกระแสของกิเลสเอาไว้ แล้วสติก็มีกำลังก็สกัดเอาไว้ได้ ก็เป็นเหตุให้ปัญญาหรือสัมปชัญญะ รู้ทั่วรู้ชัดว่ามันเกิดได้มันดับได้ มันไม่ได้กั้นเอาไว้อย่างเดียว
ตัวมันเองก็ไม่เที่ยงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ มันก็ไม่ใช่อัตตาด้วย มันเป็นอนัตตา มันก็เหมือนธรรมอื่นๆ มันเกิดแล้วมันก็ดับไปนี่แหละ เกิดในจิตก็ดับในจิตเป็นธรรมภายใน มันอยู่ในจิตเป็นกิเลสระดับกลาง เป็นอกุศล
โอวาทธรรม หลวงพ่อสมศักดิ์ โสรโท พระครูภาวนาวราลังการ วิ. ท่านเจ้าอาวาสวัดภัททันตะอาสภาราม บ้านบึง จังหวัดชลบุรี ถอดความโดย คุณอัญญาเรศณ์ อิศเรนศวร์
"..การปฏิบัติธรรม เป็นการทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนเรื่องกาย วาจา จิต มิได้สอนเรื่องอื่น ทรงสอนให้ปฎิบัติฝึกหัดจิตใจ ให้เอาจิตพิจารณากาย เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หัดสติให้มากในการค้นคว้า เรียกว่า ธัมมวิจยะ พิจารณาให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์ จิตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง การประกอบความพากเพียรทำจิตให้ยิ่ง เป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร (พ.ศ. ๒๔๑๓-๒๔๙๒)
#สมาธิตามธรรมชาติ
ความเข้าใจของนักสมาธิในปัจจุบันนี้ ประเภทหนึ่ง พอเราบริกรรมภาวนาก็ดี หรือกำหนดอะไรก็ดี แล้วก็ข่มจิตบังคับจิตให้มันหยุดนิ่ง อาศัยการฝึกจนชำนิชำนาญ เราจะให้หยุดเมื่อไรมันก็หยุดได้ แต่มันไม่ใช่สมาธิ
สมาธิที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง เช่น เราบริกรรมภาวนา สัมมาอรหัง ยุบหนอ-พองหนอ พุทโธ ก็ตาม เราไม่ได้บังคับจิต หน้าที่ของเราท่องบริกรรมภาวนาอย่างเดียว จิตจะสงบเป็นเรื่องของจิต ไม่สงบเป็นเรื่องของจิต ธรรมชาติของจิต เมื่อจิตมีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จิตจะเกิดพลังขึ้น เมื่อจิตรู้อยู่กับคำบริกรรมภาวนา เราไม่ต้องบังคับ ถึงจังหวะ เขาจะสงบของเขาเอง
อันนี้เรียกว่าสมาธิตามธรรมชาติ
ทีนี้พอจิตสงบพั๊บลงไปนิดหน่อย พอรู้สึกสบายๆ "สงบหนอ" จิตก็ถอนจากสมาธิ พอเผลอๆ ไป มีปีตินิดหน่อย "ปีติหนอ" จิตจะถอนจากสมาธิ พอมีความสุข "สุขหนอ" จิตก็ถอนจากสมาธิ เสร็จแล้วมันก็ไม่เข้าไปถึงสมาธิตามหลักธรรมชาติสักที เพราะฉะนั้นเราจึงแก้ปัญหาเรื่องสมาธิไม่ตก
แต่จะด้วยประการใดก็ตาม ในฐานะที่เราเป็นพุทธศาสนิกชน จุดยืนของจิตของเรา คือ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธเจ้าคืออะไร พระธรรมคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร
พระพุทธเจ้า คือจิตมีสติรู้สึกสำนึกรับผิดชอบชั่วดีอยู่ตลอดเวลา หมายถึงว่าจิตมีสติรู้ตัวอยู่ เป็นจิตผู้รู้
เมื่อจิตมีสติเข้มแข็ง ก็เป็นจิตผู้ตื่น ตื่น เตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา พออะไรเกิดขึ้นมาพั๊บ รู้พั๊บ เกิดขึ้นมาพั๊บ รู้พั๊บ รู้แล้วก็ทิ้งไปๆๆๆ ถ้าอะไรข้องใจ จิตจะหยิบมาพิจารณาของมันเอง พอมันพิจารณาตกไปแล้ว มันทิ้งพั๊บ มันจะเป็นกันอยู่อย่างนี้
อันนี้เป็นสมาธิที่เป็นไปเองตามธรรมชาติ เวลามันจะสงบ มันก็สงบ วูบๆๆๆ ลงไป จนกระทั่งตัวหาย เวลามันสงบพั๊บลงไปนิดหนึ่ง มันจะเกิดความรู้ มันก็ผุดขึ้นๆๆๆ อย่างกับน้ำพุ อันนี้คือสมาธิตามหลักของธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น ในเมื่อใครมีจิตรู้ตัวด้วยสติ ตื่นอยู่ด้วยความมีสติ แล้วก็เบิกบานอยู่ด้วยความมีสติ เป็นจิดพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
โอวาทธรรม พระราชสังวรญาณ (#หลวงพ่อพุธ_ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา หนังสือฐานิยปูชา ๒๕๕๓ หน้า ๔๒-๔๓
|