|
มีคาถาหนึ่งที่จะช่วยให้เราทนได้มากขึ้นก็คือ เมื่อหายใจเข้า ให้พูดกับตนเองว่า .. "ทนได้" เมื่อหายใจออก ให้พูดในใจว่า .. "สบายมาก"
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
"..เราก็ต้องมีสติสัมปชัญญะคอยสำรวจว่า ลมที่หายใจเข้าออกนี้มันเกิดผลแก่ร่างกายอย่างไร ดวงจิตของเราได้รับผลอย่างไรบ้าง ถ้าลมอ่อนก็ให้ถอนลมเสียใหม่ อย่าให้เผลอตัว ปรับปรุงลมหายใจจนรู้สึกว่า กายและจิตได้รับความสะดวกสบายอย่างนี้ จิตก็สงบ
เมื่อจิตสงบแล้วก็ย่อมเกิดผลได้หลายอย่าง ๑) ผลเกิดขึ้นในทางร่างกาย ๒) ผลที่เกิดขึ้นในทางใจ
ผลทางกาย คือ กายโปร่งเบา คล่องแคล่ว ไม่อึดอัด เดือดร้อน นั่งอยู่ก็ไม่แน่น ไม่จุก ไม่เสียด ส่วนจิตก็ไม่มีความยุ่งยากอะไร โล่ง โถง ว่างเปล่า ปราศจากสัญญาอารมณ์ภายนอก ผลอันนี้แหล่ะ...รักษาไว้ให้ดี รักษาไว้ให้นาน ส่วนผลอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอีก กล่าวตามความรู้ก็คือ "วิชชา" ส่วนรูปได้แก่ "อุคคหนิมิต" นี่เป็นผลเกิดในส่วนร่างกาย
นิมิตชนิดไหนก็ตามซึ่งปรากฏเป็นรูปในใจ ย่อมเป็นผลซึ่งเกิดซ้อนขึ้นมาอีก ถ้าพื้นของร่างกายสบาย พื้นใจก็ย่อมสบาย และผลก็จะเกิดขึ้นในทางจิตใจ เรียกว่า "วิชชา" เป็นต้นว่า เราไม่เคยศึกษาเล่าเรียนอะไรเลยแต่มันผุดขึ้นมาได้
อีกอย่างหนึ่งเวลาที่จิตสงบดี ถ้าเราประสงค์จะทราบเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ขยับจิตเพียงนิดเดียวเราก็สามารถจะรู้เรื่องราวนั้นๆ ได้ทัีนที เหมือนเข็มที่จ่อลงในแผ่นจานเสียง พอจ่อลงไปเสียงก็จะปรากฏบอกเรื่องราวในจานนั้นๆ ให้รู้ได้โดยแจ่มชัด ความรู้ตอนนี้แหล่ะจะเป็น "วิปัสสนาญาณ"
ถ้าเป็นความรู้เบื้องต่ำเกี่ยวแก่สัญญาอดีต อนาคต เราสาวไปยาวนักก็เป็น "โลกียวิชชา" คือเล่นในส่วนกายมากไปก็ทำให้จิตต่ำ เพราะไม่แก่ในทาง "นาม" ตัวอย่าง เช่น นิมิตเกิดขึ้นก็ไปติดอยู่ในนิมิต เช่น ปุพเพนิวาสญาณ เห็นชาติภพที่ล่วงมาแล้วของตัวเองก็เกิดความดีอกดีใจว่า เราไม่เคยรู้เคยเห็น ไม่เคยมีเคยเป็นก็มามีขึ้นได้ อย่างนี้ก็มี อันเป็นเหตุให้ดีใจเกินไปหรือเสียใจเกินไปก็ได้
ในระหว่างที่เรากำลังสาวไปในเรื่องนิมิต ทำไมจึงเกิดดีใจหรือเสียใจได้? นั่นก็เพราะจิตเข้าไปยึดถือในเรื่องนั้นๆ เป็นจริงเป็นจัง คือบางทีไปเห็นภาพของตัวเองในฝ่ายที่เจริญ เช่น เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นพระราชามหากษัตริย์อันอุดมไปด้วยสฤงคาร บริวารใหญ่โต ก็เป็นเหตุให้พอใจ ยินดี เพลิดเพลินไปในอารมณ์นั้นๆ อย่างนี้ก็เป็น "กามสุขัลลิกานุโยค" พลาดไปจาก "มัชฌิมาปฏิปทา" ก็เป็นการผิด
บางทีเห็นตัวเองไปปรากฏในรูปภพที่ไม่พึงปรารถนา เช่น เป็นหมู เป็นหมา เป็นนก เป็นหนู กระจอกงอกง่อย ก็เกิดใจเหี่ยวแห้ง สลดหดหู่ นี่ก็เป็น "อัตกิลมถานุโยค" พลาดไปจากมรรคอีก ไม่ตรงกับคำสอนของพระองค์
บางคนก็สำคัญผิด พอไปพบสิ่งที่ตัวไม่เคยได้รู้ได้เห็นเข้า ก็นึกว่าตัวเป็น "ผู้วิเศษ" เกิดความเหลิงขึ้นในใจ มี "อัสสมิมานะ" เกิดขึ้น มรรคที่ถูกอันเป็น "สัมมามรรค" ก็หายไปโดยไม่รู้สึกตัว นี่ "วิชชาโลกีย์" ย่อมเป็นอย่างนี้
ถ้าเรามีหลักวิจารณ์แล้ว เราก็จะเดินไปถูกต้องตามมรรคโดยไม่พลาด คือความรู้ต่างๆ มันจะจริงในฝ่ายดีก็ตาม ในรูปนิมิตที่ปรากฏดีหรือไม่ดีก็ตาม จริงก็ตาม ไม่จริงก็ตาม เราไม่ต้องดีใจหรือเสียใจ ทำจิตให้เป็นกลาง มัธยัสถ์ลงในธรรม เราก็จะเกิดปัญญา ให้เห็นว่า นิมิตนั้นก็เป็นทุกขสัจจ์ ความเกิดก็เป็นชาติ ที่เสื่อมไปก็เป็นชรา ที่ดับไปก็เป็นมรณะ.."
คัดลอกจาก... หนังสือแนวทางปฏิบัติวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน ๒ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) พิมพ์เผยแพร่โดย ชมรมกัลยาณธรรม หน้า๑๓๐-๑๓๓
"..แม้จะเปลี่ยนภพกำเนิดไปสักเท่าไร ก็เท่ากับเปลี่ยนเครื่องมือสังหารตนอยู่นั่นเอง จึงไม่ควรยินดีในการเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ อันเป็นลักษณะนักโทษย้ายที่อยู่หลับนอนในเรือนจำซึ่งไม่มีอะไรดีขึ้นเลย การเกิดตายนักปราชญ์ท่านถือเป็นภัยโดยจริงใจ เหมือนย้ายที่ที่ถูกไฟไหม้ แม้จะย้ายที่อยู่ไปไหนก็ไม่พ้นจากการระวังภัยอยู่นั่นเอง.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
“แม้จะยังไม่สามารถชนะกิเลส ได้อย่างเด็ดขาดไม่ กลับแพ้ แต่ก็ควรจะพยายามให้โอกาสที่แพ้ มีน้อยกว่าโอกาสที่ชนะ” ... พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
"..แม้จะเปลี่ยนภพกำเนิดไปสักเท่าไร ก็เท่ากับเปลี่ยนเครื่องมือสังหารตนอยู่นั่นเอง จึงไม่ควรยินดีในการเกิดเป็นนั่นเป็นนี่ อันเป็นลักษณะนักโทษย้ายที่อยู่หลับนอนในเรือนจำซึ่งไม่มีอะไรดีขึ้นเลย การเกิดตายนักปราชญ์ท่านถือเป็นภัยโดยจริงใจ เหมือนย้ายที่ที่ถูกไฟไหม้ แม้จะย้ายที่อยู่ไปไหนก็ไม่พ้นจากการระวังภัยอยู่นั่นเอง.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
#อยู่กับปัจจุบันอย่าคำนึงถึงอดีตอนาคต
"... เอหิปสฺสิโก จงเรียกร้องสัตว์ทั้งหลาย.. มาดูธรรม ก็เราจะมาดูที่ไหนเล่า ธรรมข้อนี้จะพูดให้เข้าใจกันไว้ การที่ว่า ให้น้อมเข้ามาดูธรรม ก็คือธรรมเหล่านี้แหละ เราฟังเพื่อว่า เราทั้งหลายต้องการความพ้นทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายนั้นอยู่ที่นี่ คือที่เราเอง มิใช่อยู่ที่อื่นไกล
เหตุนั้นให้พากันน้อมเข้ามาตรงนี้ คือที่ใจของเราเอง จงมาดูครั้งนี้ไม่ใช่ดูตรงอื่น ข้อนี้ให้พากันเข้าใจเอาไว้ ที่เราทั้งหลายว่า ทำบุญนั้น บุญเป็นอย่างไร ให้พากันรู้เสียในเวลานี้ เราอย่าเอาแต่บ่นว่าเราไม่มีโอกาส ไม่มีเวลา เวลานี้เรามีโอกาสเต็มที่แล้ว
หน้าที่ของเรา การงานทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่มีแล้ว ที่พากันมานั่งอยู่ตรงนี้เดี๋ยวนี้แหละ ไม่ต้องคำนึงถึงอดีตและอนาคต ฟังแล้วก็กำหนดดูเดี๋ยวนี้แหละ เรามีบุญก็มีเดี๋ยวนี้ เรามีกรรมมีกุศลก็มีเดี๋ยวนี้ เราไม่ต้องคำนึงถึงอดีตอนาคต
อนาคตคนเรานั้นจะไปอยูตรงไหนเราก็รู้ไม่ได้ อดีตนั้นล่วงมาแล้ว เราก็เลยมาแล้ว เวลานี้เราก็ต้องดูในปัจจุบันนี้ ท่านบอกว่าอย่างนี้ ..." ---------------------------------------- #พระอาจารย์ฝั้น_อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร (พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)
“ ลมพายุแรงให้เข้าไปหลบ พายุสงบลงค่อยออกมา เหมือนจิตใจเจอสิ่งใดมากระทบ ให้ระงับด้วยปัญญา ”
#โอวาทธรรม #หลวงปู่เจ้าคุณศิลา_สิริจันโท
"ก ร ร ม เ ก่ า...ไม่มีใครลบได้ กรรมปัจจุบัน...จะช่วยเจ้าเอง
จงจำไว้ลูกเอ๋ย กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ว่าดี หรือชั่ว ย่อมมีผล...ต่ อ ผู้ ก ร ะ ทำ ทั้ ง สิ้ น ไม่มี...พรหมเทพองค์ใด ช่วยเจ้าลบล้างกรรมนั้นได้ เจ้าต้องช่วยเหลือตนเอง ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ผลแห่งบุญอันเป็นกรรมปัจจุบันนี้...จะช่วยเจ้าเอง."
คติธรรมคำสอน : สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
#เมื่อเราทำบุญ_แต่ยังไม่ละบาป
ก็เหมือนกับเราเอากะละมังไปคว่ำไว้กลางแจ้งฝนตกลงมาถูก้นกะละมังเหมือนกัน แต่มันถูกข้างนอก ไม่ถูกข้างใน น้ำก็ไม่มีโอกาสที่จะเต็มกะละมังได้
โอวาทธรรม #หลวงปู่ชา_สุภัทโท
"..เราก็ต้องมีสติสัมปชัญญะคอยสำรวจว่า ลมที่หายใจเข้าออกนี้มันเกิดผลแก่ร่างกายอย่างไร ดวงจิตของเราได้รับผลอย่างไรบ้าง ถ้าลมอ่อนก็ให้ถอนลมเสียใหม่ อย่าให้เผลอตัว ปรับปรุงลมหายใจจนรู้สึกว่า กายและจิตได้รับความสะดวกสบายอย่างนี้ จิตก็สงบ
เมื่อจิตสงบแล้วก็ย่อมเกิดผลได้หลายอย่าง ๑) ผลเกิดขึ้นในทางร่างกาย ๒) ผลที่เกิดขึ้นในทางใจ
ผลทางกาย คือ กายโปร่งเบา คล่องแคล่ว ไม่อึดอัด เดือดร้อน นั่งอยู่ก็ไม่แน่น ไม่จุก ไม่เสียด ส่วนจิตก็ไม่มีความยุ่งยากอะไร โล่ง โถง ว่างเปล่า ปราศจากสัญญาอารมณ์ภายนอก ผลอันนี้แหล่ะ...รักษาไว้ให้ดี รักษาไว้ให้นาน ส่วนผลอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาอีก กล่าวตามความรู้ก็คือ "วิชชา" ส่วนรูปได้แก่ "อุคคหนิมิต" นี่เป็นผลเกิดในส่วนร่างกาย
นิมิตชนิดไหนก็ตามซึ่งปรากฏเป็นรูปในใจ ย่อมเป็นผลซึ่งเกิดซ้อนขึ้นมาอีก ถ้าพื้นของร่างกายสบาย พื้นใจก็ย่อมสบาย และผลก็จะเกิดขึ้นในทางจิตใจ เรียกว่า "วิชชา" เป็นต้นว่า เราไม่เคยศึกษาเล่าเรียนอะไรเลยแต่มันผุดขึ้นมาได้
อีกอย่างหนึ่งเวลาที่จิตสงบดี ถ้าเราประสงค์จะทราบเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ขยับจิตเพียงนิดเดียวเราก็สามารถจะรู้เรื่องราวนั้นๆ ได้ทัีนที เหมือนเข็มที่จ่อลงในแผ่นจานเสียง พอจ่อลงไปเสียงก็จะปรากฏบอกเรื่องราวในจานนั้นๆ ให้รู้ได้โดยแจ่มชัด ความรู้ตอนนี้แหล่ะจะเป็น "วิปัสสนาญาณ"
ถ้าเป็นความรู้เบื้องต่ำเกี่ยวแก่สัญญาอดีต อนาคต เราสาวไปยาวนักก็เป็น "โลกียวิชชา" คือเล่นในส่วนกายมากไปก็ทำให้จิตต่ำ เพราะไม่แก่ในทาง "นาม" ตัวอย่าง เช่น นิมิตเกิดขึ้นก็ไปติดอยู่ในนิมิต เช่น ปุพเพนิวาสญาณ เห็นชาติภพที่ล่วงมาแล้วของตัวเองก็เกิดความดีอกดีใจว่า เราไม่เคยรู้เคยเห็น ไม่เคยมีเคยเป็นก็มามีขึ้นได้ อย่างนี้ก็มี อันเป็นเหตุให้ดีใจเกินไปหรือเสียใจเกินไปก็ได้
ในระหว่างที่เรากำลังสาวไปในเรื่องนิมิต ทำไมจึงเกิดดีใจหรือเสียใจได้? นั่นก็เพราะจิตเข้าไปยึดถือในเรื่องนั้นๆ เป็นจริงเป็นจัง คือบางทีไปเห็นภาพของตัวเองในฝ่ายที่เจริญ เช่น เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นพระราชามหากษัตริย์อันอุดมไปด้วยสฤงคาร บริวารใหญ่โต ก็เป็นเหตุให้พอใจ ยินดี เพลิดเพลินไปในอารมณ์นั้นๆ อย่างนี้ก็เป็น "กามสุขัลลิกานุโยค" พลาดไปจาก "มัชฌิมาปฏิปทา" ก็เป็นการผิด
บางทีเห็นตัวเองไปปรากฏในรูปภพที่ไม่พึงปรารถนา เช่น เป็นหมู เป็นหมา เป็นนก เป็นหนู กระจอกงอกง่อย ก็เกิดใจเหี่ยวแห้ง สลดหดหู่ นี่ก็เป็น "อัตกิลมถานุโยค" พลาดไปจากมรรคอีก ไม่ตรงกับคำสอนของพระองค์
บางคนก็สำคัญผิด พอไปพบสิ่งที่ตัวไม่เคยได้รู้ได้เห็นเข้า ก็นึกว่าตัวเป็น "ผู้วิเศษ" เกิดความเหลิงขึ้นในใจ มี "อัสสมิมานะ" เกิดขึ้น มรรคที่ถูกอันเป็น "สัมมามรรค" ก็หายไปโดยไม่รู้สึกตัว นี่ "วิชชาโลกีย์" ย่อมเป็นอย่างนี้
ถ้าเรามีหลักวิจารณ์แล้ว เราก็จะเดินไปถูกต้องตามมรรคโดยไม่พลาด คือความรู้ต่างๆ มันจะจริงในฝ่ายดีก็ตาม ในรูปนิมิตที่ปรากฏดีหรือไม่ดีก็ตาม จริงก็ตาม ไม่จริงก็ตาม เราไม่ต้องดีใจหรือเสียใจ ทำจิตให้เป็นกลาง มัธยัสถ์ลงในธรรม เราก็จะเกิดปัญญา ให้เห็นว่า นิมิตนั้นก็เป็นทุกขสัจจ์ ความเกิดก็เป็นชาติ ที่เสื่อมไปก็เป็นชรา ที่ดับไปก็เป็นมรณะ.."
คัดลอกจาก... หนังสือแนวทางปฏิบัติวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน ๒ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) พิมพ์เผยแพร่โดย ชมรมกัลยาณธรรม หน้า๑๓๐-๑๓๓
เราทุกคน มีบาปกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย จงสะดุ้งหวาดกลัวต่อบาป ต่อกรรม ต่อเวร และระมัดระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในใจ
เช่น ระวังไม่ให้เกิดความโลภ ยินดีเท่าที่มีอยู่ เท่าที่หาได้ ไม่ผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นไฟ เผาจิตใจให้ร้อนทั้งวันและคืน ให้อโหสิกรรมเสีย ยกโทษ โทษก็จะหมด เพราะไม่ถือมั่นในความโกรธ ความพยาบาท ... หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
"..ถ้าชาวโลกทุกถ้วนหน้าถึงพระพุทธเจ้าพระธรรมะเจ้าพระสงฆะเจ้า เป็นที่พึ่งที่ระลึกที่ปฏิบัติบูชา ผูกขาดจองขาดไม่เอาลัทธิอื่นมาปนเปสร้างปัญหา พร้อมทั้งทรงศีลห้าบริบูรณ์แล้ว โลกมนุษย์ทั้งโลก จะเป็นโลกุตตระโลก สงบเย็นปราศจากสรรพเวรสรรพภัยให้เห็นประจักษ์แก่ตานอกและตาใน จะพากันผินหน้าจิตใจพร้อมทั้งเจตนามุ่งหน้า สูงส่งตรงไปสู่ธรรมอันไม่ตายคือพระนิพพาน โดยมิได้มีพระอาจารย์ภายนอกมาชักจูงเลย เพราะอำนาจพระอาจารย์อันทรงอยู่มีอยู่ที่อู่ของขันธสันดาน ที่เรียกว่าสันทิฏฐิโกและปัจจัตตัง จะเป็นพลังธรรมะ ทิพย์ ใจทิพย์ สติทิพย์ ปัญญาทิพย์ เกิดขึ้นไม่ต้องสงสัยสามัคคีกันไปในธรรม ไม่ตายแล.."
เขมปตฺโตวาท หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดบรรพตคีรี (วัดภูจ้อก้อ) บ้านแวง ต.หนองสูงใต้ อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
ปัญญาเป็นคุณธรรมหลักในพระพุทธศาสนา เป็นแสงสว่างเป็นประทีปยิ่งใหญ่ ในสายตา ของพระอริยเจ้า ผู้ที่ยังใช้ชีวิตตามความ ต้องการของกิเลส ถือว่ายังอยู่ในความมืด ถึงจะอยู่ในกรุงที่เต็มไปด้วยแสงสีก็ยังถือว่า มืด ... ความสว่างเกิดขึ้นคือความรู้ความเข้าใจ ในโลก และชีวิตของตนตามที่มันเป็น สิ่งที่เปิดเผยความจริงของโลกและชีวิต คือปัญญา … ... พระอาจารย์ชยสาโร
#พระพุทธเจ้าว่า_เราเป็นผู้แนะนำสั่งสอนทาง
ทางออกจากโลกก็ดี ทางไปสวรรค์ก็ดี ทางไปนิพพานก็ดี เราตถาคตเป็นผู้แนะนำสั่งสอนให้เท่านั้นแหละ
ตนนั่นแหละ พวกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายต้องทำเอาเอง แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระสาวกทั้งหลายก็ทำเอาเอง ทั้งนั้น
ตนและทำให้ตน ตนจะออกจากโลกก็แม่นตนตั้งอกตั้งใจทำใส่ตน ตนจะติดอยู่ในโลกก็แม่นใจของตนมาอยากไป เพราะหลงตน หลงตัว . . .
โอวาทธรรม #หลวงปู่ขาว_อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู
#เวลาล่วงไป_ชีวิตของเราก็ล่วงไป_ล่วงไปหาความตาย
มนุษย์เป็นสัตว์ อันสูงสุด อันนี้เป็นเพราะเราได้สมบัติ ปันดีมา ปุพเพจะกตะปุญญตา บุญกุศล คุณงามความดีเราได้สร้างมาหลายภพ หลายชาติแล้ว
เราอย่าไปเข้าใจว่า เราเกิดมาชาติเดียวนี้ ตั้งแต่เราเทียวตายเทียวเกิดมานี่ นับกัปป์ นับกัลป์อนันตชาติไม่ได้ แล้วจะว่าเหมือนกัน ได้อย่างไรล่ะ เมื่อเรามาเกิดก็มีแต่วิญญาณ เท่านั้น
พอมาปฏิสนธิ ก็เอาเลือดเอาเนื้อพ่อแม่ มาแบ่งให้ ได้อัตตภาพออกมา แม้กระนั้น ก็ไม่มีสัตว์มาเกิด ต้องอาศัยจุติวิญญาณ เราต้องสร้างเอาคุณงามความดี
พวกฆราวาสก็คือตั้งใจรับศีลห้า ศีลแปด ในวันเจ็ดค่ำ แปดค่ำ สิบสี่ค่ำ สิบห้าค่ำ เดือนหนึ่งมีสี่ครั้ง อย่าให้ขาด ทำสมาธิ ภาวนา ให้มีสติ ระวังกายของตนให้เป็น สุจริต วาจาเป็นสุจริต ใจเป็นสุจริต
เท่านี้แหละ เอาย่อ ๆ มีสติอันเดียว ละบาปทั้งหลาย ความชั่วทั้งหลาย ละด้วยกาย วาจา ด้วยใจ ทำบุญกุศลให้ ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท กระทำจิต ของตนให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ให้มีสติรักษากาย วาจา ใจ ศีลห้า ถ้าใครละเมิดก็เป็นบาป ครั้นละเว้นโทษห้า อย่างนี้ นั่นแหละเป็นศีล ศีลคือใจ บาปก็ คือใจ ศีลอยู่ในใจ บาปก็อยู่ที่ใจเหมือนกัน นั่นแหละ
เรื่องทำบุญทำกุศล ให้ทาน รักษาศีล ภาวนาอยู่แต่ใจทั้งนั้น อะไรโม๊ดอยู่กับใจ สงสัยก็พิจารณาดวงใจ ทำบาปห้าอย่างนี้แล้ว ศีลไม่มี เป็นคนไม่มีศีล
คนมันชอบทำแต่บาป ศีลไม่ชอบทำ อยากทำแต่บาป ท่านเปรียบไว้ว่า คนไปสวรรค์เท่ากับเขาวัว คนไปนรกเท่า ขนวัว วัวมีสองเขา แต่ขนมันนับไม่ถ้วน ...
โอวาทธรรม #หลวงปู่ขาว_อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู (พ.ศ.๒๔๓๑ - ๒๕๒๖)
|