นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 6:32 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: รูป เวทนา สัญญา
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 07 พ.ย. 2025 7:08 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
"ถ้าอะไรเราไม่ได้ทำไว้ อยากได้มันก็ไม่ได้
ถ้าได้ทำไว้แล้ว สร้างไว้แล้วไม่อยากได้ มันก็ได้
นี่แหละบารมี

เมื่อเราสร้างบารมีไว้ดีแล้ว
ถ้าถึงเวลามันก็จะส่งผลกลับมาเอง เช่น
เคยสร้างทานบารมีไว้ ก็จะเป็นผู้มีทรัพย์มาก
หรือถ้าสะสมบารมีครบถ้วนทั้งหมด อาจจะไป
นิพพานไปเลยก็ได้

เหมือนกับพระอรหัตสาวกในสมัยพุทธกาลบางท่าน
เพียงแต่ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพียงจบ ๒ จบ ก็บรรลุอรหัตผล”

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร





"สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้วเลยมาแล้ว
เราไม่สามารถไปแต่งไปเติมมันได้อีกแล้ว
สิ่งที่เราทำไปนั้น ถ้ามันดี มันก็ดีไปแล้ว
ผ่านไปแล้วพ้นไปแล้ว ถ้ามันชั่ว มันก็ชั่วไปแล้ว
ผ่านไปแล้วเช่นกัน มีแต่ปัจจุบัน
ที่เราจะแต่งจะเติมมันได้

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ





เสบียงบุญ
พระอาจารย์ชยสาโร
...
การเจริญมรณสติ ไม่ใช่แค่ระลึกว่า
เราต้องตายแน่ แต่ระลึกว่า เพราะเรา
ต้องตายแน่ เพราะเวลาตายไม่แน่ไม่นอน
เวลาจึงมีค่ามาก และเราควรใช้เวลาอันมีค่า
นั้นในสิ่งที่ดีที่สุด และสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ
สิ่งที่มีผลทั้งชาตินี้ ชาติหน้า ซึ่งไม่พ้นจากบุญ
บุญเกิดจากการให้ทาน ด้วยการชนะ
ด้วยการปล่อยวางความตระหนี่และความ
ยึดติดในทรัพย์สมบัติ ศีลเป็นบุญ
เพราะเป็นการชำระเจตนาที่จะเบียดเบียน
ด้วยกาย วาจา และ สมาธิภาวนาเพื่อจะได้
ปล่อยวางพวกนิวรณ์ และเพื่อจะได้เจริญ
โพชฌงค์ที่เป็นบุญที่เป็นองค์ประกอบของจิต
ที่จะพ้นทุกข์ สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งของเราโดยแท้
ก็คือ บุญที่เราสะสมไว้ ...





"..กรรมอยู่กับตัวและตัวทำกรรมอยู่ทุกขณะ ผลก็เกิดอยู่ทุกเวลา ยังสงสัยหรือไม่เชื่อกรรมว่ามีและให้ผลแล้วก็สุดหนทาง ถ้ากรรมวิ่งตามคนเหมือนสุนัขวิ่งตามเจ้าของเขาก็เรียกว่าสุนัขเท่านั้นเอง ไม่เรียกว่ากรรม นี่กรรมไม่ใช่สุนัข แต่คือการกระทำดีชั่วทางกายวาจาใจต่างหาก ผลจริงคือความสุขทุกข์ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก กระทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักกรรม รู้แต่กระทำคือหาอยู่หากิน ที่ทางศาสนาเรียกว่ากรรมของสัตว์ของบุคคล และผลกรรมของสัตว์ของบุคคล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) อ้างอิงหนังสือชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ







.

#กฎธรรมดา

ก่อนที่จะศึกษาอย่างอื่นก็ให้นึกถึงกฎธรรมดาไว้เป็นสำคัญ

"กฎธรรมดา" สำหรับเรานั่นก็คือ
๑. ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์
๒. ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์
๓. มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์
๔. โสกปริเทวทุกขโทมนัส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์
๕. ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ มีอารมณ์ขัดข้องหรือมีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์

ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า
เราเกิดมาเพื่อประสบกับทุกข์
คนที่เกิดมาแล้วจะไม่มีทุกข์ไม่มี
ถ้าหากว่าเรายังยึดถือร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าจิตเราเกาะที่ เรียกว่า "อุปาทาน"

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
_________
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗
ฉบับที่ ๔๑๕ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
หน้า ๘๒







''...เมื่อบุคคลยังไม่รู้จักตัวเอง ธรรมะ ไม่เข้าถึงใจ ใจ ไม่เข้าถึงธรรมะ จะทำ
ความชั่วอะไรก็กลัว กลัวคนอื่นจะเห็น กลัวพ่อแม่จะเห็น กลัวครูบาอาจารย์จะเห็น กลัวคนอื่นจะรู้ คือคนยังไม่เห็นธรรม ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

เมื่อไปในสถานที่ใดๆ ที่ว่างจากผู้คน ว่างจากพ่อแม่ ว่างจากครูบาอาจารย์ เห็นว่าไม่มีเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีใครอยู่ในที่นั้น ก็พยายามทำความชั่วอยู่ที่ตรงนั้น ด้วยควาประมาท เพราะความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง การกระทำเช่นนั้น เขาก็คิดว่าเขาทำถูกแล้ว พ้นภัยแล้ว เพราะว่าไม่มีใครเห็นเขา ไม่มี ใครรู้ว่าเขาเป็นเขาอย่างนี้ ก็กระทำอย่างสนิทใจเลย แต่คนคนนั้น ในทางธรรมถือว่าเป็นคนโง่ที่สุด คือ เป็นคน ดูถูกตัวเองที่สุด

ความเป็นจริงนั้น เมื่อจิตมันเป็นธรรมะ เมื่อธรรมะเป็นจิต มันจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกันเลย จะไปทำผิดอะไรที่ตรงไหนเป็นต้น ก็ต้องมีคนเห็น คนอื่นไม่เห็น เราก็เห็น คนอื่นไม่รู้ เราก็รู้ ดังนั้นถึงจะไปอยู่ตรงไหน ก็เป็นอยู่อย่างนั้น
จึงเป็นธรรมะ ไม่กล้าทำ เพราะใจมันเป็นธรรมะแล้ว

พระอริยสาวกทุกๆ องค์ เมื่อใจเป็นธรรมะแล้ว ก็ต้องเป็นอย่างนั้นทุกๆ องค์ ที่ลับไม่มี ที่แจ้งไม่มีอะไรๆ มันก็ไม่มี รู้แต่ว่าท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่แล้ว..."

หลวงพ่อชา สุภทฺโท






"..ให้เข้าสู่..จุดรู้ ที่..ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์.."

ความรู้สึก จะรวมตัว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตัว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะ รวมตัวเข้าที่เดียว ท่านจึงให้ รวมรู้ ให้ รู้จัก ใน สิ่งที่รวมรู้ นั้น ให้ รู้จักตามความเป็นจริง เป็นหลักวิปัสสนา คือเรารู้ความจริงว่าอะไร ? เป็นอะไร ?
ถ้า ใจ ไปถือเอา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น ตัวของตัว ก็ ไม่เป็นผู้รู้ อีกแหละ ตัวไปรับเอาเวทนาว่าสบายนั้น เป็นตัวไม่รู้ เราก็เข้าไปหา ตัวที่มันรู้ ตัวที่เป็นกลางนั้น ตามความรู้สึกว่า ผู้รู้ อยู่นั้นแหละเป็น ใจ

สบาย ไม่สบาย เป็น อาการของใจ เรียกว่า เวทนา ในขณะที่มันเกิด สบาย ไม่สบายนั้นแหละ ให้กำหนด เข้าสู่ จุดรู้ ไม่ต้องไป ละเวทนา มันหรอก เข้าไปสู่จุด ดวงรู้ เป็นกลาง วางความสบายไม่สบายซะ อย่าไปเอาใจใส่หรืออย่าไปสนใจความสบายไม่สบายนั้น เข้าสู่ "จุดรู้" "ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์" บอกใจตัวเองอย่างนั้น ประคองใจให้ มันรู้ อยู่เพียงจุดเดียวเท่านั้น.."
--------------------------------
#พระโพธิญาณเถระ
#หลวงพ่อชา_สุภทฺโท
วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ
จังหวัดอุบลราชธานี (พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕)







วันนี้เรารักษาใจเรา
วันหน้าใจจะดูแลรักษาเรา
เวลาประสบความทุกข์
ประสบความพลัดพรากสูญเสีย
เจอความผันผวนปรวนแปรในชีวิต
ล้มเจ็บขึ้นมา ใจนี่แหละจะช่วยเรา ...
...
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล







"..ตัวของเรานี้แล อันได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นชาติสูงสุด เป็นผู้เลิศตั้งอยู่ในฐานะอัน
เลิศด้วยดี คือมีกายสมบัติ วจีสมบัติ แลมโน
สมบัติบริบูรณ์ จะสร้างสมเอาสมบัติภายนอก
คือ ทรัพย์สินเงินทองอย่างไรก็ได้ จะสร้างสม
เอาสมบัติภายในคือมรรคผลนิพพานธรรมวิเศษ
ก็ได้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย
ก็ทรงบัญญัติแก่มนุษย์เรานี้เอง มิได้ทรงบัญญัติ
แก่ ช้าง ม้า โค กระบือที่ไหนเลย

มนุษย์นี้เองจะเป็นผู้ปฏิบัติถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได้
ฉะนั้นจึงไม่ควรน้อยเนื้อต่ำใจว่า ตนมีบุญวาสนา
น้อย เพราะมนุษย์ทำได้ เมื่อไม่มี ทำให้มีได้ เมื่อมีแล้วทำให้ยิ่งได้สมด้วยเทศนานัยอันมาในเวสสันดรชาดกว่า ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นิสฺสํสยํ
เมื่อได้ทำกองการกุศล คือ ให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา ตามคำสอนของพระบรมศาสดาจารย์เจ้า
แล้ว บางพวกทำน้อยก็ต้องไปสู่สวรรค์
บางพวกทำมากและขยันจริงพร้อมทั้งวาสนาบารมี
แต่หนหลังประกอบกัน ก็สามารถเข้าสู่พระนิพพานโดยไม่ต้องสงสัยเลย พวกสัตว์ดิรัจฉานท่านมิได้กล่าวว่าเลิศ เพราะจะมาทำเหมือนพวกมนุษย์ไม่ได้
จึงสมกับคำว่ามนุษย์นี้ตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศด้วยดี
สามารถนำตนเข้าสู่มรรคผล เข้าสู่พระนิพพานอันบริสุทธิ์ได้แล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส
ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร (๒๔๑๓-๒๔๙๒)







"สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้วเลยมาแล้ว
เราไม่สามารถไปแต่งไปเติมมันได้อีกแล้ว
สิ่งที่เราทำไปนั้น ถ้ามันดี มันก็ดีไปแล้ว
ผ่านไปแล้วพ้นไปแล้ว ถ้ามันชั่ว มันก็ชั่วไปแล้ว
ผ่านไปแล้วเช่นกัน มีแต่ปัจจุบัน
ที่เราจะแต่งจะเติมมันได้

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ





"..ผู้ปฏิบัติพึงใช้อุบายปัญญาฟังธรรมเทศนาทุกเมื่อ ถึงจะอยู่คนเดียวก็ตาม คืออาศัยการกำหนดพิจารณาธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นรูปธรรมที่มีปรากฏอยู่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็มีอยู่ ได้ยินอยู่ สัมผัสอยู่ ปรากฏอยู่ จิตใจเล่าก็มีอยู่ ความนึกคิด รู้สึกในอารมณ์ต่างๆ ทั้งดี และร้ายก็มีอยู่ ความเสื่อม ความเจริญ ทั้งภายนอก ภายใน ก็มีอยู่ ธรรมชาติอันมีอยู่โดยธรรมดา เขาแสดงความจริงคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้ปรากฏอยู่ทุกเมื่อ เช่น ใบไม้มันเหลืองหล่นร่วงลงมา พินิจพิจารณาด้วยสติปัญญา โดยอุบายมีอยู่เสมอแล้ว ชื่อว่า ได้ฟังธรรมทุกเมื่อแล.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







"..อาหารภายนอก เป็นเครื่องบำรุงร่างกายให้เกิดกำลัง เมื่อมีกำลังกายแล้ว เราอยากจะเดินหรือจะวิ่งไปไหนก็ไปได้ จะทำอะไรก็ได้สำเร็จทุกอย่าง ส่วนอาหารภายใน คือ ธรรมนั้นเป็นเครื่องบำรุงจิตใจ ถ้าจิตใจมีอาหารที่สมบูรณ์ กำลังใจก็ย่อมกล้าแข็ง จะคิดปรารถนาสิ่งอันใด ก็ย่อมสำเร็จเป็นไปได้ตามที่เราคิดนึก ถ้าใจขาดอาหารคือ ธรรม กำลังใจก็อ่อนเพลียจะคิดอะไรก็ไม่สำเร็จได้ บางทีก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ได้เต็มที่ตามความคิดนึก ฉะนั้นเราจึงควรจักต้องพากันสร้างกำลังแห่งจิตใจให้มีขึ้นในตนให้มากๆ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในตัวเรา อันจะนำให้เราถึงซึ่ง ความบรมสุขได้.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔)






#หลวงปู่มั่น_ท่านได้อธิษฐานจิตหยุดการปรารถนาพระโพธิญาณ

"ริมปากเหวเหมาะที่สุดที่จะนั่งบำเพ็ญเพียร

หากจะตายขอตายตรงนี้ ขอให้ร่างกายหล่นลงไปในเหวนี้ จะได้ไม่ต้องเป็นที่วุ่นวายเดือดร้อนแก่ใครๆ

ถ้าไม่รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด

ท่านนั่งสมาธิอยู่ ณ จุดนั้นติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืนโดยไม่ขยับเขยื้อนและไม่ลืมตาเลย

เกิดการสว่างไสวดุจกลางวัน ความผ่องใสของจิตสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการ แม้จะกำหนดดูเม็ดทรายก็เห็นได้อย่างชัดเจนทุกเม็ด แม้จะพิจารณาดูทุกอย่างที่ผ่านมา ก็แจ้งประจักษ์ขึ้นในปัจจุบันหมด

ในขณะที่จิตของท่านดำเนินไปอย่างได้ผล ก็ปรากฏเห็นเป็นลูกสุนัขกำลังกินนมแม่

ท่านพิจารณาใคร่ครวญดู ว่า ทำไม ? จึงเกิดมีนิมิตมาปน ทั้งๆ ที่ "จิต" ของท่าน "เลยขั้นที่จะนิมิตแล้ว"

เมื่อกำหนดจิตพิจารณาก็เกิดญาณรู้ขึ้นว่า “ลูกสุนัข" นั้นก็คือตัวเราเอง เราเคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ตรงนี้มานับอัตภาพไม่ถ้วน เวียนเกิดเวียนตายเป็นสุนัขอยู่หลายชาติ

เมื่อตรวจสอบดูก็พบความจริงที่ท่านไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ

“การปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” ของท่าน ...

โอ ! แล้วจะต้อง "เวียนตายเวียนเกิด" ไปอีก "กี่หมื่นกี่แสนชาติ" จึงจะถึง คิว ได้เป็น "พระพุทธเจ้า"สมความปรารถนา

ท่านรู้สึก "สลดใจ" ที่เคยเกิดเป็นสุนัขนับอัตภาพไม่ถ้วน และยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสร้างบารมีต่อไปอีกนานแสนนาน

ท่านจึงได้ "อธิษฐานจิต" หยุดการ "ปรารถนาพระโพธิญาณ" ตั้งใจแน่วแน่ที่จะ "ขอบรรลุธรรม" ในชาติปัจจุบัน ..."
----------------------------------------------
#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)








#ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย_เมื่อได้ทำสมาธิ

ให้มั่นคงแน่นหนาดีแล้ว จนกระทั่งจะเข้าจะออกเมื่อไรก็ได้ จะอยู่ในสมาธินาน ๆ แลพิจารณากายอันนี้ให้เป็นอสุภะหรือเป็นธาตุก็ได้
พิจารณาคนในโลกนี้ทั้งหมดให้เห็นเป็นโครงกระดูกทั้งหมด หรือพิจารณาให้เห็นในโลกนี้ทั้งหมดว่าเป็นอากาศว่างเปล่าไปหมดก็ได้

... จิตผู้มีสมาธิเต็มที่แล้ว ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง
นอน ย่อมเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มองเห็นกิเลสของตนซึ่งเกิดจากจิตของตนได้ชัดเจนว่า กิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง
มันจะเกิดจากสิ่งนี้ ๆ แลมันตั้งอยู่ได้ด้วยอาการอย่างนี้ ๆ แล้วก็หาอุบายละด้วยอย่างนี้ ๆ

... เหมือนกับน้ำในสระที่ขุ่นมาเป็นสิบ ๆ ปี
พึ่งมาใสสะอาดมองเห็นสิ่งสารพัดที่มีอยู่ก้นสระว่า แต่ก่อนแต่ไรเราไม่นึกไม่คิดเลยว่าในก้นสระนี้มันจะมีของเหล่านี้
นั่นเรียกว่า "วิปัสสนา" คือความรู้ความเห็นตามสภาพความเป็นจริงอย่างไรก็เห็นตามเป็นจริงอย่างนั้น ไม่วิปริตผิดแปลกจากความเป็นจริงของมัน ...

โอวาทธรรม
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(#หลวงปู่เทสก์_เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่จ.หนองคาย
(พ.ศ.๒๔๔๕ - ๒๕๓๗)





"..อาหารภายนอก เป็นเครื่องบำรุงร่างกายให้เกิดกำลัง เมื่อมีกำลังกายแล้ว เราอยากจะเดินหรือจะวิ่งไปไหนก็ไปได้ จะทำอะไรก็ได้สำเร็จทุกอย่าง ส่วนอาหารภายใน คือ ธรรมนั้นเป็นเครื่องบำรุงจิตใจ ถ้าจิตใจมีอาหารที่สมบูรณ์ กำลังใจก็ย่อมกล้าแข็ง จะคิดปรารถนาสิ่งอันใด ก็ย่อมสำเร็จเป็นไปได้ตามที่เราคิดนึก ถ้าใจขาดอาหารคือ ธรรม กำลังใจก็อ่อนเพลียจะคิดอะไรก็ไม่สำเร็จได้ บางทีก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ได้เต็มที่ตามความคิดนึก ฉะนั้นเราจึงควรจักต้องพากันสร้างกำลังแห่งจิตใจให้มีขึ้นในตนให้มากๆ เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในตัวเรา อันจะนำให้เราถึงซึ่ง ความบรมสุขได้.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔)





"...ธรรมะ มีอยู่กับทุกคนจะรู้หรือไม่รู้ก็มี จะเรียนหรือไม่เรียนก็มี นอกจากเราจะเรียนภาษาของธรรมะหรือไม่เท่านั้น เมื่อเราเรียนรู้สมมติบัญญัติของธรรมะก็เท่ากับเราอ่านออก เหมือนอ่านหนังสือ เด็กทารกไม่รู้เดียงสาเลย พอเกิดออก
มาก็ร้องแว้ นั่นก็เป็นเวทนาแล้ว กินอะไรไม่อร่อยจับโยนทิ้งเปลี่ยนอันใหม่ นั่นก็เป็นสังขาร พอโตหน่อยจำอะไรๆได้ นั่นก็เป็น สัญญา ธรรมะ มีอยู่อย่างนี้ทุกรูปทุกนาม เรียนรู้อะไร เรียนรู้สมมติบัญญัติแล้วขว้างทิ้งสัญญาเก่าใหม่อดีต อนาคต นั่นแหล่ะจึงจะถึงนิพพาน

ตำรวจที่ไม่ถอดเครื่องแบบเสียก่อนย่อมสืบความลับของโจรได้ยากเหตุนั้นจึงควรบำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้สนิทสนมกับขันธ์ ๕ ของตนเสียก่อนจึงจะรู้ความลับของมัน นั่นแหละเป็นตัว วิปัสสนา วิปัสสนา เป็นตัวละ สมาธิ เป็นตัวทำวิปัสสนา เราจะไปทำขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นตัวผล

ศีล เป็นเหตุ สมาธิ เป็นผล
สมาธิ เป็นเหตุ ปัญญาเป็นผล ปัญญา เป็นเหตุ วิมุติเป็นผล เมื่อทำเหตุแก่ ผลก็ย่อมแก่ตาม เหมือนผลไม้ เมื่อสุกแก่ มันก็หล่นเอง ไม่ต้องเอาไม้ไปสอย คนแก่มากๆ เข้าก็ตายเอง จะไปห้ามไม่ให้ตายไม่ได้ จะบอกให้อยู่ก็อยู่ไม่ได้

ศีลบริสุทธิ์ ก็เปรียบเหมือนผ้าขาวธรรมดา ราคาเมตรละ ๑๐ บาท ถ้าเราทำสมาธิด้วย ก็เหมือนเราเขียนลวดลายลงในผ้าขาว
มันจะมีราคาสูงขึ้นถึงเมตรละ ๔๐ บาท จิตเราก็เช่นเดียวกัน

จิิตที่เป็นสมาธิ ปัญญาก็เกิด ก็ย่อมให้ผลราคาสูง ต้องทำแล้วจึงจะ รู้ รู้แล้วมันจึงจะละ ต้องทำเหตุเสียก่อน ผลก็ย่อมเกิดเอง.."

ท่านพ่อลี ธัมมธโร






ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร
ในวิญญาณนี่ มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งนั้น
สวดสูตรนี้มีแต่ของไม่เที่ยง
ถ้าเราเห็นว่าเออ อะไรมันก็ไม่เที่ยง
มันก็เท่านั้นแหละ นี้ก็เท่านั้น
มันเป็นของมันอย่างนั้นของมัน มันก็วาง
จิตมันก็วาง สักแต่ว่าวาง มันรู้
มันไม่เป็นไปอย่างอื่น ...
...
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 22 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO