นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:47 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: สติปัญญา
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 05 พ.ย. 2025 9:19 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
"อย่ามัวแต่ใช้บุญเก่า จนลืมสร้างบุญใหม่ อย่าลืมนะ ชีวิตในสังสารวัฏนี้ ยังอีกยาวไกล
บุญ อยู่เบื้องหลังความสุข และความสำเร็จทั้งหลายในชีวิต"

พระราชวชิรเขมคุณ วิ.
(หลวงปู่อว้าน เขมโก)
วัดป่านาคนิมิตต์ จ.สกลนคร





"..การเยี่ยมป่าช้าเพื่อพิจารณาความตาย จึงเป็นทางผ่อนคลายหายกลัวทั้งเรื่องของตัวและเรื่องของคนอื่นได้อย่างไม่มีประมาณ จนเกิดความอาจหาญต่อความตาย ทั้ง ๆ ที่โลกกลัวกันทั่วดินแดน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ได้เป็นไปในวงของนักปฏิบัติธรรมมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าและพระสาวกเป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยม เสร็จแล้วจึงประทานพระโอวาทเกี่ยวกับการพิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไว้ทุกแง่ทุกมุม เพื่อหมู่ชนผู้มีความรับผิดชอบในตนและผู้เกี่ยวข้องได้นำไปพิจารณาหาทางแก้ไข บรรเทาความมัวเมาเขลาปัญญาของตนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเวลาที่พอดิบพอดี ยังไม่สายเกินไป เมื่อสิ้นลมหายใจจนไปถึงสถาบันใหญ่แล้ว ต้องนับว่าหมดหนทางแก้ไข มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ถ้าไม่เผาก็ต้องฝังเท่านั้น จะพาไปรักษาศีลภาวนาทำบุญสุนทานอย่างแต่ก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว.."

ภูริทตฺธมฺโมวาท
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
อ้างอิงหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ






"..การเยี่ยมป่าช้าเพื่อพิจารณาความตาย จึงเป็นทางผ่อนคลายหายกลัวทั้งเรื่องของตัวและเรื่องของคนอื่นได้อย่างไม่มีประมาณ จนเกิดความอาจหาญต่อความตาย ทั้ง ๆ ที่โลกกลัวกันทั่วดินแดน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ได้เป็นไปในวงของนักปฏิบัติธรรมมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าและพระสาวกเป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยม เสร็จแล้วจึงประทานพระโอวาทเกี่ยวกับการพิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไว้ทุกแง่ทุกมุม เพื่อหมู่ชนผู้มีความรับผิดชอบในตนและผู้เกี่ยวข้องได้นำไปพิจารณาหาทางแก้ไข บรรเทาความมัวเมาเขลาปัญญาของตนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเวลาที่พอดิบพอดี ยังไม่สายเกินไป เมื่อสิ้นลมหายใจจนไปถึงสถาบันใหญ่แล้ว ต้องนับว่าหมดหนทางแก้ไข มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ถ้าไม่เผาก็ต้องฝังเท่านั้น จะพาไปรักษาศีลภาวนาทำบุญสุนทานอย่างแต่ก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว.."

ภูริทตฺธมฺโมวาท
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร อ้างอิงหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ






“กรรม คือการกระทำ
ความประพฤติปฏิบัติของตนเองเท่านั้น
ที่จะเหยียบย่ำตนให้ต่ำลงได้
หรือส่งเสริมตนให้สูงขึ้น ผู้ใดอื่นหาทำได้ไม่
นินทาหรือสรรเสริญก็ตาม ไม่อาจทำได้
ทั้งเพื่อให้ตนต่ำลง หรือสูงขึ้น
สำหรับบัณฑิตนินทาและสรรเสริญ
จึงย่อมทำให้เกิดเมตตาในผู้นินทา
และกตัญญูรู้น้ำใจผู้สรรเสริญเพียงเท่านั้น
มิได้ทำให้หวั่นไหวแต่อย่างใด”
...
พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร





กฏแห่งไตรลักษณ์..
(คำสอนหลวงปู่ทิม อิสริโก)

“อย่ายึดมั่นกับสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้
สังขารเป็นอนิจจัง
ทุกคนเกิดมาต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้นได้
สิ่งที่คงอยู่ คือความดีชั่วหรือเรียกว่า กรรม
ให้ยึดในกฏแห่งไตรลักษณ์
คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา”

“ครั้งหนึ่ง..มีคนมาหาท่านที่วัด
ได้กราบและพูดกับท่านด้วยความเลื่อมใสว่า
‘หลวงปู่ ผมถูกคนลอบยิงและลอบทำร้ายหลายหน
แต่ไม่เป็นไรเลย เพราะมีของดีที่หลวงปู่ให้
แหม หลวงปู่เก่งจริงๆ’

‘นี่ไม่เก่งหรอก ถ้านี่เก่ง นี่ก็ไม่ตายซิ
ตัวนี่เองยังต้องตายเลย
ให้ทำแต่ความดีเถิด ไม่มีใครหนีเคราะห์กรรมพ้น’ ”

จากหนังสือย้อนรอยหลวงปู่ทิม อิสริโก






“เรื่องของการทำบุญ”

ถาม : ทำบุญที่ถูกต้องควรทำอย่างไรคะ

พระอาจารย์ : ก็ทำเพื่อให้ใจมีความสุข ทำเพื่อให้ผู้รับได้รับประโยชน์ แล้วก็ไม่ต้องไปทวงบุญคุณ ไม่ต้องไปยุ่งกับของที่เราให้เขาแล้ว ไม่ต้องไปบอกให้เขากินหรือไม่กิน ไม่ใช่เรื่องของเรา ทำบุญแบบปล่อยวาง อย่าทำบุญแบบเป็นเจ้ากี้เจ้าการ เจ้านายสั่ง เมื่อกี้ก็มาสั่งกินยานี้นะกินนั้นนะ อย่างนี้ไม่ใช่วิธีทำบุญนะ ทำบุญก็ให้เขาไปแล้ว แล้วถ้าต้องให้เขารู้ว่าต้องทำยังไงก็เขียนอะไรไว้ในของที่เราให้ก็พอ แล้วส่วนเขาจะเอาไปใช้ไม่ใช้ไปกินไม่กินมันเรื่องของเขา เราถือว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราแล้ว คือได้ช่วยเหลือเขาแล้ว ให้ของที่เราคิดว่าดีแล้วเป็นประโยชน์กับเขาแล้ว ส่วนเขาจะได้ประโยชน์หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับที่ตัวเขา.

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี






..เจดีย์ของวัดเรานี้ สร้างมาด้วยมือของอาตมาเอง ก็มีช่างมาช่วยบ้างเป็นครั้งคราว การติดแก้วกับพระพุทธรูปนั้นเป็นหน้าที่ของช่าง แต่ทั้งตัวทั้งกำแพงนั้นอาตมาเป็นผู้ทำ เป็นบุญชนิดหนึ่งเมื่อได้ทำแล้ว ไม่เจ็บไม่ป่วยทั้งในพรรษา จึงสำเร็จได้ ก็ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ในนี้เจ็ดองค์ มีพระโมคคัลลา 6 องค์ พระสีวลี มี 6 องค์ด้วยกัน พระสารีบุตรก็มี หลวงปู่มั่นก็มี สีดอกพิกุล ได้เอามาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่เราพากันกราบไหว้เวียนเทียนนี้
..แม้จะเป็นเจดีย์ที่เล็กแต่ก็ได้ทำแน่นหนาถาวร เทคอนกรีตไปทั้งตัวเลยทีเดียว มีแต่ก่ออิฐรอบๆเท่านั้น แล้วก็เทคอนกรีตข้างใน เป็นเจดีย์ที่ไม่มีโพรง มีแต่สถานที่ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเท่านั้น นอกนั้นตันหมด จนถึงยอดเจดีย์นั่นแหละ เมื่อได้ทำแล้วอาตมาก็คิดว่าเมื่อแผ่นดินไหว ก็จะไม่ให้สะทกสะท้าน ส่วนจะตั้งอยู่ได้หรือไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ผู้ใดเคารพกราบไหว้บูชาน้อมนึกระลึกถึง มีเครื่องบรรจุเอาไว้ เวลาแสดงปาฏิหาริย์นี้จะเห็นสว่างไสว ทั้งวิหารและศาลาหอฉันได้ชัดเจน ในเวลา 3 ทุ่มหรือ 4 ทุ่ม ใช้เวลาสี่นาทีหรือห้านาทีก็ดับ
..ในคราวที่สมัยยังไม่มีไฟฟ้าได้แสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นเกิดความสว่างไสว พวกเราทั้งหลายผู้ที่ยังไม่เคยเห็นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากมีบุญบารมีได้มาถือศีลอยู่ที่วัด บางทีก็อาจจะเห็นได้ แต่คนที่เกี่ยวข้าวอยู่ในทุ่งนาเขาเคยเห็นว่า ในเวลาประมาณ 2-3 ทุ่มนี้ เหมือนกับมีไฟเครื่องบิน บางทีก็ติดสามดวง บินไปทางประเทศอินเดีย แล้วเวลาประมาณตี 5 ถึงจะบินกลับเข้ามาในเจดีย์นี้ พวกญาติโยมที่อยู่ข้างล่างเขาเห็นบ่อยอยู่ก็มาเล่าให้ฟัง แต่บัดนี้พวกเราทั้งหลายได้ทำคุณงามความดีอะไรทุกอย่าง ก็เป็นบุญเป็นกุศลของเราที่ได้ทำเอาไว้ ก็อยู่ในจิตใจของตน ว่าเรานี้เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ได้สร้างคุณงามความดีด้วยอำนาจของกรรม กรรมที่ได้ทำคุณงามความดีก็ได้ปรารถนาเอาไว้ ถ้าหากเกิดชาติใดภพใดอยู่ก็อย่าให้ได้ทุกข์ยากลำบาก ให้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ให้อยู่มีความสุขความสบาย ทางร่างกายก็ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนร่างกาย ให้อยู่มีความผาสุกทั้งกายและทั้งใจ อันนี้เป็นสิ่งที่เราปรารถนาเอาไว้ เมื่อบุญกุศลอำนวยผลให้ก็จะได้รับประโยชน์ในสิ่งที่ตนเองพึงปรารถนาเดี๋ยวนี้ ถ้าหากเรามีคุณงามความดีแล้ว ก็ให้ตั้งจิตแผ่เมตตาเวลารับพรจากพระเจ้าพระสงฆ์ แผ่เมตตาไปทั่วโลกดีที่สุด ใจจะแช่มชื่นเบิกบาน..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..






ปรัชญาธรรม หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จากหนังสือ คิดถึงปู่ โดย อาภัสสโร ภิกขุ

พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วทั้งหลาย อันเป็นที่หมายในเบื้องสูงสุด และสัตว์เดรัจฉานที่เล็กแสนเล็กเกือบมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นความหมายค่าของความต่ำสุด สิ่งทั้งสองนี้ย่อมมีส่วนแห่งความเป็นพุทธะเหมือนกันหมด และทุก ๆ สิ่งมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกับพุทธะอยู่ตลอดเวลา นี้เป็นปรัชญาธรรมอันล้ำค่าที่เหนือความจริงทั้งหมด และเหนือความถูกต้องทั้งมวลของบรมครูยอดนักปราชญ์เอกแห่งพุทธกัลป์ นั่นคือ พระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระปัจเจกโพธิ์องค์เดียวเท่านั้นในพุทธันดรนี้

ที่ท่านอุบัติมาเพื่อช่วยเสริมบารมีพระชินสีห์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม ท่านอุบัติขึ้นมาเพื่อช่วยจรรโลงประทีปแห่งสัจธรรม ที่กำลังหรี่แสงอ่อนแรงเกือบจะดับอยู่แล้วนี้ ให้โชติช่วงชัชวาลกระจ่างขึ้น อย่างน้อยก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และท่านอุบัติขึ้นมาเพื่อช่วยชี้แนวสัจภาวะอันถูกต้อง ให้เวไนยสัตว์ใช้เป็นทางเดินเพื่อเข้าสู่โลกุตระภูมิ ก่อนที่ความมืดมิดจะครอบคลุมดวงจิตของสัตว์โลกผู้น่าสงสาร นั่นหมายถึงว่า อสัจธรรมที่ถูกปฏิรูปขึ้นใหม่แบบแปลก ๆ กำลังจะแผ่คลุมโลก ผู้ที่ไม่มีความรู้ และยังเข้าสัมผัสไม่ถึงธรรมที่แท้จริง กำลังตั้งตัวขึ้นเป็นครูอาจารย์ แย่งกันประกาศสัจธรรมในทางที่ผิดพระธรรมคำสอนอันล้ำเลิศ และหนทางปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความดับทุกข์ อันถูกต้องของพระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังจะถูกลบให้เลือนรางห่างหายไป

สัตว์โลกผู้น่าสงสาร ผู้ปรารถนาจะข้ามห้วงมหาสาคร คือห้วงวัฏฏะแห่งนี้ นับวันจะถูกเกลียวคลื่นแห่งอสัจธรรม พัดกระหน่ำให้ลอยออกห่างจากเป้าหมายทุกที ดังจะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญเพียรของปราชญ์ทั้งหลาย ที่เห็นภัยในวัฏฏะ ก็เพื่อที่จะแสวงหาจิตเดิมและจิตแท้เท่านั้น แต่วิถีทางบำเพ็ญเพียร ข้อวัตรปฏิบัติส่วนมากมักจะอ้อมคดโค้งจนสุดโต่ง และมักจะเอียงลาดลงสู่ความเบื่อหน่าย คลายความเพียรในที่สุด เพราะผิดทาง

จิตเดิมแท้ มันมีความเป็นเอกภาพโดยเนื้อหาสมบูรณ์ในตัวมันเต็มที่แล้ว แต่ถ้าไปตั้งกฎตั้งเกณฑ์ หรือจัดระบบมันเข้า หรือจะเพียรพยายามดึงมันเข้าสู่กฎ ความเป็นของคู่ของระบบจักรวาลคือรูปและนาม ก็ดูเหมือนว่าไม่สามารถจะอนุมานให้มันตกอยู่ในฝ่ายใดได้ทั้งสิ้น มันมีสภาวะที่ไม่เหมือนอะไร แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะมาเหมือน หรือแม้แต่เพียงละม้ายคล้ายคลึงมัน มันเป็นสภาวะที่อยู่เหนืออภิธรรมชาติ เหนือกฎแห่งการสมมุติบัญญัติ เหนือเหตุ เหนือผล เหนือบุญ เหนือบาป เหนือดิน น้ำ ลม ไฟ จะก้าวก่ายสัมผัสถึง

ดังนั้นป่วยการที่เราจะเข้าไปสัมผัสกับภาวะนี้ให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยการพูด การฟัง การอ่าน หรือการนึกคิดคาดคะเนเอา เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตราย ที่จะนำเราเข้าสู่วิปัสสนูภูมิทั้งสิ้น อันเป็นหนทางที่จะนำเรากลับมาสู่การเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบสิ้น

ความสงบ นิ่งเฉย และจงละลายคำพูดคำอธิบายต่าง ๆ ตลอดจนตำรับตำราคำสั่งของครูบาอาจารย์ทั้งหลายแหล่ให้หมดสิ้น แล้วหันมาดูจิต ศึกษาจิต พิจารณาจิต จนสามารถแยกจิตแท้และอารมณ์ได้อย่างถูกฝาถูกตัว นี่แหละจะเป็นหนทางที่จะพาเราเข้าสัมผัสกับภาวะนี้ได้อย่างถูกต้องที่สุด ถ้าโดยวิธีอื่นแล้วก็เหมือนกับเราเหวี่ยงแหขึ้นบนอากาศ เมื่อไหร่ถึงจะได้ปลา

อารมณ์ต่าง ๆ นั้นมันย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามวงล้อแห่งวัฏฏะ มันมิได้เกี่ยวข้องกับอายตนะหนึ่งอายตนะใดเลย เมื่อเวไนยสัตว์ตนใดไปสัมผัสผูกรัดมันเข้า ถ้าขาดปัญญา ก็จะถูกมันดูดดึงลงสู่ห้วงแห่งความมืดมนอนธการ นั่นหมายถึงว่า วิถีทางที่จะเข้าสู่จิตเดิมจิตแท้ของเขานั้นย่อมเลือนรางห่างหายออกไปทุกที

ถ้าเราไม่รู้จักสภาวะที่แท้จริงของจิตแท้แล้ว เราก็ไม่มีทางที่จะค้นหามันได้ถูกต้อง ยิ่งดิ้นรนขวนขวายแสวงหามากเท่าใดก็ดูเหมือนว่า จะยิ่งจมลงสู่ปลักแห่งความหายนะ คือวัฏฏะมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระปัจเจกโพธิ์องค์สำคัญคือหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ท่านจึงได้สั่งนักสั่งไว้หนาว่า "อย่าส่งจิตออกนอก" เพราะมันเป็นประตู ๆ เดียวที่จะเปิดไปสู่มรรควิถีที่จะพาไปพบจิตเดิมจิตแท้

สภาวะที่แท้จริงของจิตเดิมจิตแท้นั้น ก็คือสภาวะแห่งความเป็นพุทธะนั่นเอง หรือเราอาจจะกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะที่แท้จริง ก็คือสภาวะแห่งจิตเดิมจิตแท้นั่นเอง สิ่ง ๆ นี้ มันเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้กับปลายจมูกเรา เพียงแค่ชั่วเสียวหนึ่งของเม็ดทรายเท่านั้น แต่เป็นเพราะพวกเราผู้ปรารถนาความหลุดพ้น ไปหลงติดในพิธีกรรมและข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ที่มีมากมายหลายแบบหลายตอน แล้วก็หลงยึดมั่นว่าเป็นหนทางบำเพ็ญเพียรเพื่อสรรค์สร้างปรามิตาทั้งหก เพื่อหวังจะก้าวเข้าถึงความเป็นพุทธะกับเขาสักองค์หนึ่ง

ก็สภาวะที่แท้จริงของจิตเดิมจิตแท้หรือพุทธะที่แท้จริงนั้น ไม่มีขั้นตอนในการเข้าถึง มันเป็นสิ่ง ๆ เดียวรวด เพียงแต่ขอให้เราเลิกผูกพันกับรูปธรรมต่าง ๆ ให้หมดสิ้น แล้วหันมาทำความเข้าใจจิตกับอารมณ์ให้ถูกต้อง เราก็จะพบเองเห็นเอง รู้ว่าสิ่ง ๆ นี้มันอยู่ใกล้แสนใกล้กับปลายจมูกของเราแค่นี้เอง เมื่อวาระนั้นมาถึงเราคงจะได้เสพย์รสประทินกลิ่นหอมของภาวะนี้อย่างถึงใจ ให้สมกับที่ได้เพียรแสวงหามาหลายหมื่นหลายแสนกัลป์แล้ว จิตของผู้ที่ยังข้องเกี่ยวอยู่ในกามคุณ ย่อมเป็นจิตที่ถูกเปลี่ยนฐานะจากเดิมโดยอำนาจของอวิชชา เราจึงเรียกว่าจิตแห่งปุถุชน เพราะมันยังตกอยู่ในครรลองแห่งสภาวะธรรม

แต่ถ้าเราสามารถปฏิวัติจิตหรือปฏิรูปจิตแห่งปุถุชนนี้ ให้เข้าสู่สภาวะเดิมได้อย่างหมดจดสิ้นเชิง ไม่เหลือแม้แต่ปรมาณูเดียว จิตก็จะหยุดการยักย้ายถ่ายเท นั่นหมายถึงว่าภาวะแห่งการเปิดรับอารมณ์ ที่จะเป็นองค์กรหรือปัจจัยให้จิตกระเพื่อมหวั่นไหว แล้วปรุงแต่งไปตามสภาวะต่าง ๆ ที่เรียกว่า จิตสังขาร ก็จะถูกตัดขาดโดยทันที จิตเมื่อหยุดการเคลื่อนไหวโดยสนิท ด้วยอำนาจ ญาณปัญญา อันละเอียดลึกซึ่งที่ฉายส่องเข้าสัมผัสแก่นแท้ของจิตได้อย่างถูกต้องที่เรียกว่า "จับกิริยาจิตได้แล้ว" ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับ จึงกล่าวได้ว่า เมื่อเหตุถูกทำลาย ผลอันเกิดจากเหตุจึงไม่มีภาวะต่อไป เราจึงเรียกว่า "มหาสุญญตา"

มันเป็นความว่างที่ถูกบรรจงทับซ่อนไว้อย่างประณีต บนความว่างอีกชั้นหนึ่ง มันจึงเป็น "ว่างในว่าง" มันเป็นความว่างที่สะอาด บริสุทธิ์เหนือความบริสุทธิ์ทั้งมวล สมแล้วกับคำกล่าวของหลวงปู่ดูลย์ที่ว่า "มันเป็นความงามที่ไร้ตำหนิ", "มันเป็นเพชรพลอยที่อยู่เหนือการตีค่าทั้งปวงเสียจริง ๆ"

ดังนั้น ขอให้ผู้ปรารถนาจะข้ามพ้นทุกข์ให้ได้ในชาตินี้ จงเร่งทำความเข้าใจกับสภาวะนี้ให้กระจ่างแจ้ง โดยการ แยกรูปถอดด้วยวิชา มรรคจิต เหตุต้องละ ผลต้องละใช้ หนี้ก็หมด พ้นเหตุเกิด ตามที่หลวงปู่ดูลย์ที่กล่าวไว้แล้วว่า "จงเร่งทำญาณให้เห็นจิต เสมือนหนึ่งตาเห็นรูป" ทั้งนี้เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ยิ่ง เพื่อการตรัสรู้พร้อม และเป็นไปเพื่อเข้าสู่ภาวะแห่งจิตเดิมจิตแท้ พุทธะหรือนิพพานนั่นเอง

โดยธรรมชาติแห่งความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายย่อมมีจิตโน้มเอียงเข้าสู่ภาวะนิพพานอยู่ทุกขณะจิต เช่นเดียวกับพุทธะ เพราะสิ่งทั้งสองนี้ย่อมมีเนื้อหาเป็นอันเดียวกันตลอดเวลา นิพพานคือสมบัติเก่าของพุทธะและสัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อภาวะธรรมเป็นเช่นนี้ ทั้งสองสิ่งนี้ก็จะกลับเข้าสู่ภาวะเดิมได้ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าสัตว์โลกนั้น ไปหลงติดอยู่กับรูปธรรมเสียจนแทบไม่เงยหน้า

เขาจึงไม่อาจสัมผัสกับรังสีแห่งนิพพานสมบัติเก่าของเขาได้ถนัดนัก ดังนั้นเขาจึงสร้างมโนภาพแห่งความท้อแท้ ให้กับตนเองขึ้นมาว่า นิพพานเป็นของไกลเกินฝัน นิพพานเป็นของสูงเกินบุญบารมีจะเอื้อมถึง และนิพพานเป็นของลึกลับซับซ้อนมหัศจรรย์ โดยภาวะแห่งความเป็นจริงแล้ว ไม่มีอะไรจะต้องไปนั่งฝันถึงคะนึงหา ไม่มีอะไรจะสูงเกินบุญบารมี ถ้าเราคิดจะเอื้อม และไม่เห็นมีอะไรสักนิดที่จะลึกลับซับซ้อนมหัศจรรย์ เรื่องของเรื่องมันเพียงแต่ "ตื่นและลืมตาต่อจิตหนึ่งเท่านั้น"

ไม่มีอะไรจะต้องบรรลุถึงอะไร นี่แหละคือนิพพาน สมจริงดังคำกล่าวของหลวงปู่ดูลย์ไม่ผิดแม้เพียงมิติเดียว ข้อวัตรปฏิบัติที่นอกรีตนอกรอย อ้อมวนคดโค้งจนสุดโต่ง มีขั้นมีตอนเยิ่นเย้อในการปฏิบัติ เต็มไปด้วยพิธีรีตอง ที่บรรดาปราชญ์ผู้ไม่รู้จริงทั้งหลายได้สรรค์สร้างขึ้นมาสอน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องปิดกั้นสัตว์โลกผู้น่าสงสาร ให้ห่างออกมาเสียจากหนทางแห่งความสูงสุดนั้นอย่างน่าเสียดาย เพราะข้อวัตรปฏิบัติเหล่านี้ฟุ่มเฟือยไปด้วยแบบแผน พิธีรีตองและหนักไปทางแรงกาย แต่อัตคัดขาดแคลนเจือจางบางเบาด้วยภูมิสติปัญญา แล้วอีกกี่แสนกัลป์ เราถึงจะเข้าถึงสภาวะนี้ได้

หลวงปู่ดูลย์ท่านกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายและสัตว์โลกทั้งหมด ไม่ได้เป็นอะไรเลย เป็นเพียงจิตหนึ่งเท่านั้น คำกล่าวนี้ถูกต้องที่สุดสำหรับผู้ที่ ตื่น และ ลืมตา เข้าถึงสัจภาวะได้แล้ว จิตนี้มันย่อมรวมทั้งอวิชชาและสัมมาทิฐิไว้ในขณะที่มันไม่ได้เป็นธาตุแท้โดยเนื้อหาตัวมันเอง และมันไม่ได้เป็นอะไรเลยเมื่อมันกลับเข้าสู่ภาวะของความสมบูรณ์ในตัวเต็มที่แล้ว ถ้าเราสามารถค้นพบความลับดังกล่าวนี้ได้ และทำความเข้าใจต่อสิ่ง ๆ นี้ ได้อย่างแน่ชัดเด็ดขาดลงไป เราก็จะพบกับความสำเร็จแน่นอนในชาตินี้ ดังเช่นเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อพระองค์สละราชสมบัติเพื่อออกแสวงหาโมกขธรรมโดยลำพังพระองค์เอง

ปราชญ์สมัยก่อนเชื่อกันว่า อายตนะทั้งห้าทำให้เกิดทุกข์ ครั้งแรกพระองค์ก็ทรงเพ่งความเพียรลงที่จุดนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาสัมฤทธิ์ผลไม่ จนในที่สุดพระองค์ก็หันมาพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับจิต จนสามารถรู้ความลับของมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พระองค์จึงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมครูของเทวดาและมนุษย์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พวกเราทั้งหลายต่างก็ประกาศตัวเป็นพุทธสาวก พุทธสาวิกากันอย่างเต็มใจแล้ว ก็ขอจงได้ดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ท่าน จงศึกษาพิจารณาและทำความเข้าใจจิตให้ละเอียดลึกซึ้ง เพราะจิตเท่านั้นคือหลักธรรมที่แท้จริง ถ้านอกจากนั้นก็ไม่ใช่หลักธรรม แล้วก็ไม่ใช่จิต ทำญาณจนเห็นจิตได้แจ่มชัดเมื่อใด ก็เชื่อว่าได้พบพุทธกระจ่างสดใสเมื่อนั้น เราจะไม่มีการโน้มเอียงกลับมาสู่การเกิดใหม่อีกไม่ว่าโลกไหน ๆ ทั้งสิ้น ทุกอณูแห่งจิตสำนึกของเราก็คงจะก้องแต่พยางค์ที่ว่า นิพพานัง ปะระมัง สุขัง, นิพพานัง ปะระมัง สุญญัง (พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง, พระนิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง) ตราบจนเราทิ้งขันธ์ละจากโลกนี้ไป.








"..การเยี่ยมป่าช้าเพื่อพิจารณาความตาย จึงเป็นทางผ่อนคลายหายกลัวทั้งเรื่องของตัวและเรื่องของคนอื่นได้อย่างไม่มีประมาณ จนเกิดความอาจหาญต่อความตาย ทั้ง ๆ ที่โลกกลัวกันทั่วดินแดน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ได้เป็นไปในวงของนักปฏิบัติธรรมมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าและพระสาวกเป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยม เสร็จแล้วจึงประทานพระโอวาทเกี่ยวกับการพิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไว้ทุกแง่ทุกมุม เพื่อหมู่ชนผู้มีความรับผิดชอบในตนและผู้เกี่ยวข้องได้นำไปพิจารณาหาทางแก้ไข บรรเทาความมัวเมาเขลาปัญญาของตนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเวลาที่พอดิบพอดี ยังไม่สายเกินไป เมื่อสิ้นลมหายใจจนไปถึงสถาบันใหญ่แล้ว ต้องนับว่าหมดหนทางแก้ไข มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ถ้าไม่เผาก็ต้องฝังเท่านั้น จะพาไปรักษาศีลภาวนาทำบุญสุนทานอย่างแต่ก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว.."

ภูริทตฺธมฺโมวาท
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร อ้างอิงหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ






"อย่ามัวแต่ใช้บุญเก่า จนลืมสร้างบุญใหม่ อย่าลืมนะ ชีวิตในสังสารวัฏนี้ ยังอีกยาวไกล
บุญ อยู่เบื้องหลังความสุข และความสำเร็จทั้งหลายในชีวิต"
พระราชวชิรเขมคุณ วิ.
(หลวงปู่อว้าน เขมโก)
วัดป่านาคนิมิตต์ จ.สกลนคร







"..การเยี่ยมป่าช้าเพื่อพิจารณาความตาย จึงเป็นทางผ่อนคลายหายกลัวทั้งเรื่องของตัวและเรื่องของคนอื่นได้อย่างไม่มีประมาณ จนเกิดความอาจหาญต่อความตาย ทั้ง ๆ ที่โลกกลัวกันทั่วดินแดน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ได้เป็นไปในวงของนักปฏิบัติธรรมมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าและพระสาวกเป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยม เสร็จแล้วจึงประทานพระโอวาทเกี่ยวกับการพิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไว้ทุกแง่ทุกมุม เพื่อหมู่ชนผู้มีความรับผิดชอบในตนและผู้เกี่ยวข้องได้นำไปพิจารณาหาทางแก้ไข บรรเทาความมัวเมาเขลาปัญญาของตนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเวลาที่พอดิบพอดี ยังไม่สายเกินไป เมื่อสิ้นลมหายใจจนไปถึงสถาบันใหญ่แล้ว ต้องนับว่าหมดหนทางแก้ไข มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ถ้าไม่เผาก็ต้องฝังเท่านั้น จะพาไปรักษาศีลภาวนาทำบุญสุนทานอย่างแต่ก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว.."

ภูริทตฺธมฺโมวาท
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร อ้างอิงหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ






ใครจะนับถือ หรือ ไม่นับถือ
จงอย่าถือเป็นสาระ
คนที่เขายกเราขึ้นได้
เขาก็เหวี่ยงเราลงได้
ดีแสนดี ... มันก็ติ
ชั่วแสนชั่ว ... มันก็ชม
จงอย่าสนใจจริยาของชาวบ้าน
...
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ





"...การศึกษาธรรมด้วยการอ่านการฟัง สิ่งที่ได้ก็คือ สัญญาความจำ การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติคือ ภูมิธรรม

การปฏิบัติ ให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อ ความละ เพื่อความคลายกำหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน หรือแม้พระนิพพาน ก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น ให้ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร เพราะนิพพานมันเป็นของว่าง ไม่มีตัวตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง เห็นเอง

ผู้ที่ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้าชาติหลัง หรือนรก สวรรค์อะไรก็ได้ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ชั้นตามมตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมได้เลื่อนฐานะของตน โดยลำดับ หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ..."

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล






***สกิทาคามี จิตใจเบาลง***

.....ต่อไปพระสกิทาคามีตัดสังโยชน์เหมือนกัน เท่ากันหมด แต่มีจิตใจเบาลง ความรักในระหว่างเพศเบาบางมาก มีความรู้สึกน้อย ความอยากร่ำรวยมีความรู้สึกน้อย ความโกรธเกือบไม่มี แต่มีเหมือนกันคือ เขาด่าวันนี้อีก ๓ วันจึงนึกได้ว่ามันด่าเรานี่หว่า แต่เขาไปแล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ เขาด่าวันนี้น่ะนึกไม่ออก ยังยิ้มได้สบายๆ พอ ๓-๔ วันนึกได้ว่าวันนั้นมันด่ากูนี่หว่า แต่มันไปนานแล้ว แก้ตัวไม่ได้แล้ว และความหลง ก็เหลือน้อยเต็มที สำหรับพระสกิทาคามีนี่มีอย่างหยาบกับอย่างละเอียด ถ้าอย่างละเอียดที่บางองค์เผลอว่าตนเองเป็นพระอนาคามี เพราะอะไรรู้ไหม
๑. ความรู้สึกในเพศไม่มี
๒. อารมณ์ที่ไม่ชอบใจไม่มี
มันมีการทรงตัว แต่ว่านานๆ ไป บางทีมันโผล่มานิดนึงแล้วก็ถูกตีหายไปนั่นก็ยังไม่ใช่อนาคามี ยังเป็นพระสกิทาคามีอยู่ พระอนาคามีตัดเพิ่มอีก ๒ ข้อ ต่อไปถ้าจะเข้าถึงพระอนาคามีก็ต้องตัดสังโยชน์ อีก ๒ คือ
๑. กามฉันทะ
๒. ปฏิฆะ

กามฉันทะนี่ตัดยากหน่อย แต่ว่าถ้าตัดตามลำดับขึ้นไปแล้วมันก็ไม่ยาก พอถึงสกิทาคามีก็มีอารมณ์เบาแล้ว กามฉันทะก็ใช้กรรมฐาน คืออสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ อสุภะ แปลว่า ไม่สวยงาม

กายคตานุสสติ เห็นว่า ร่างกายของเราก็ดีร่างกายของคนอื่นก็ดี ไม่สวยไม่งาม มันเต็มไปด้วยความ โสโครก สกปรกมีน้ำเลือดน้ำเหลือง น้ำหนองเป็นต้น ในที่สุดอารมณ์แห่งการฉันทะก็จะกัดหายไป....

โดย พระเดชพระคุณ
หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )
วัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี

'ธรรมปฏิบัติ ๗๓'

"ทางสายพระอริยบุคคล"
๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๘







"..การสั่งสอนหมู่คณะผมก็ได้คุ้ยเขี่ยธรรมมาสอนอย่างเปิดเผยไม่มีปิดบังลี้ลับเลย บรรดาธรรมที่ควรแก่การรู้เห็นในวงสัจธรรมหรือสติปัฏฐานสี่ เว้นแต่ธรรมที่เป็นไปตามนิสัยวาสนาโดยเฉพาะเป็นราย ๆ ไม่เกี่ยวแก่การบรรลุ เช่น ความรู้ปลีกย่อยต่าง ๆ ดังที่เคยเล่าให้ฟังเป็นกรณีพิเศษเสมอมา ใครจะรู้เห็นอะไรขึ้นมาผมยินดีฟังและแก้ไขเต็มกำลังอยู่เสมอ เวลาผมตายไปแล้วจะลำบาก หาผู้แก้ไขได้ยากมากนะ ธรรมทางด้านปฏิบัติไม่เหมือนทางด้านปริยัติ ผิดกันอยู่มาก ผู้ไม่เคยรู้เคยเห็นสมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพานมาก่อน แต่จะมาสามารถสั่งสอนคนอื่นให้ถูกต้องเพื่อมรรค ผล นิพพานนั้นไม่ได้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) อ้างอิงหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ








บุญ
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
...
บุญคือความภูมิใจที่เราได้กระทำแล้ว
เหตุการณ์ที่เราได้กระทำแล้ว ปราศจาก
ความชั่ว ไอ้การลามกทั้งหลายไม่เปรอะเปื้อน
แม้ก่อนจะทำ มันก็ภูมิใจ เมื่อกำลังทำอยู่
มันก็ภูมิใจ เมื่อเราทำเสร็จไปแล้วก็ภูมิใจ
การภูมิใจนี่แหละท่านเรียกว่าเป็น "บุญ" ...






"..เกิดเป็นคนเหมือนกันแต่ใจมันไม่เหมือนกัน ใจนี่แหละทำให้คนต่างกัน ไม่ใช่ร่างกาย ทรัพย์สมบัติเงินทองของนอกกาย
พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา แต่พระทัยของพระองค์เป็นโลกวิทู รู้แจ้งโลก ที่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปก็คือพระทัยของพระองค์บริสุทธิ์นั่นแหละ พระอรหันต์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ท่านก็เป็นคนเหมือนพวกเรา แต่ท่านไม่เหมือนพวกเราในเรื่องหัวใจที่ใสบริสุทธิ์ คือเป็นคนเหมือนกันแต่หัวใจมันต่างกัน ท่านผู้ประเสริฐมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเหล่านี้ ท่านเป็นผู้ฝึกตนมาดี เก็บเกี่ยวเอาทุก ๆ เรื่องมาสอนตน ในที่สุดท่านก็กลายเป็นผู้ประเสริฐขึ้นมา ได้ท่ามกลางโลกที่โสมม.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
(พ.ศ.๒๔๕๙-๒๕๔๗)








.

#เรื่องการลอยกระทง

การลอยกระทงนี้เป็นการบูชารอยพระบาทขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ที่ทรงแสดงรอยพระบาทให้ปรากฏ คือทรงอธิษฐานไว้ที่ แม่น้ำนัมมทานที ตามพระบาลีกล่าวไว้ว่าอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ในแม่น้ำ ถ้าในแม่น้ำพยานาคมายาก แต่ความเป็นจริงมันเป็นปากน้ำนัมมทานที เป็นจุดหนึ่งของทะเลหรืออยู่ในห้วงของทะเลที่องค์สมเด็จพระชินศรีรงแสดงรอยพระบาทไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามอัธยาศัยของพญานาคและสัตว์น้ำทั้งหลาย

แต่การลอยกระทงนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเราจะปรารภแต่รอยพระพุทธบาทอย่างเดียวก็เห็นว่าไม่สมเหตุสมผล ความจริงแล้วขอให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย นั่นก็คือบูชา พระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวร แล้วก็บูชาพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อย่างนี้เราจะมีบุญใหญ่ได้รัตนะถึง ๓ ประการ หรือว่าอนุสสติทั้ง ๓ ประการ

การลอยกระทงนี้ ตามโบราณเขาถือว่าเป็นการขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยเด็กๆ ท่านผู้ใหญ่เคยบอกว่า เราเคยถ่ายอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี ลงในแม่น้ำ ถือว่าเป็นการไม่เคารพรอยพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความจริงเรื่องนี้เห็นว่าจะไม่สมเหตุสมผล เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลไม่ได้ทรงคิดอย่างนั้น แต่ว่าโบราณท่านตั้งใจทำก็เป็นความดี เพราะการขอขมากับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ใจเราใสบริสุทธิ์ หมดจากการปรามาสในองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ แสดงความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี

พระราชพรหมยาน
______________________
จากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๗๖ หน้า ๓๖-๓๗







"..การสั่งสอนหมู่คณะผมก็ได้คุ้ยเขี่ยธรรมมาสอนอย่างเปิดเผยไม่มีปิดบังลี้ลับเลย บรรดาธรรมที่ควรแก่การรู้เห็นในวงสัจธรรมหรือสติปัฏฐานสี่ เว้นแต่ธรรมที่เป็นไปตามนิสัยวาสนาโดยเฉพาะเป็นราย ๆ ไม่เกี่ยวแก่การบรรลุ เช่น ความรู้ปลีกย่อยต่าง ๆ ดังที่เคยเล่าให้ฟังเป็นกรณีพิเศษเสมอมา ใครจะรู้เห็นอะไรขึ้นมาผมยินดีฟังและแก้ไขเต็มกำลังอยู่เสมอ เวลาผมตายไปแล้วจะลำบาก หาผู้แก้ไขได้ยากมากนะ ธรรมทางด้านปฏิบัติไม่เหมือนทางด้านปริยัติ ผิดกันอยู่มาก ผู้ไม่เคยรู้เคยเห็นสมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพานมาก่อน แต่จะมาสามารถสั่งสอนคนอื่นให้ถูกต้องเพื่อมรรค ผล นิพพานนั้นไม่ได้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) อ้างอิงหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ







"..ความดีนั้น เราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิตให้เป็นมรรค คือ ทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี ไม่ใช่เวลาใกล้จะตายจึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีลเช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด
เหตุว่าคนเจ็บ จิตมัวติดกับเวทนา "..ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้ เว้นแต่ผู้ที่รักษามาเป็นปกติเท่านั้นจึงจะระลึกได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว แต่ส่วนมาก ใกล้จะตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
(พ.ศ.๒๔๓๐–๒๕๒๘)







#จิตสบายเพราะละวาง

"...ทุกคนที่เกิดมาย่อมมีคนสรรเสริญ มีคนนินทา เมื่อเขาว่าเรา เราก็อย่าไป
รับเอามาเก็บไว้ในใจ ปล่อยให้ผ่านไปเสีย กายของเราก็ปกติดีอยู่แล้วจะต้องไปเดือดร้อนทำไม เรารู้อยู่ว่ากิเลสมันไม่ดี ตัวเราเองก็ไม่ดี

มีความรัก ความชัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้นก็เพราะตัวกิเลสนั่นแหละ ต้องตั้งอยู่ในศีล ตั้งอยู่ในธรรม ตั้งอยุ่ในการบำเพ็ญกุศล ละบาปทางกาย ทางวาจา ทางใจ บาปอันใดที่ยังอยู่ ละเสียให้หมด วางเสียให้หมดก็จะสบาย..."

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ






#จะรบกับกิเลสต้องรู้จักวิธีรบ_วิธีรับ_วิธีต่อสู้_วิธีหลบหลีก

ต้องให้รู้จักการรู้จักงาน รู้จักวิธีรบ วิธีรับ วิธีต่อสู้ วิธีหลบหลีก จึงเรียกว่าปัญญาอันคมกล้า ถ้ามีแต่กิเลสคมกล้า ไอ้เราก็มืดดำกำตาหรือมืดแปดทิศแปดด้าน ถ้าปัญญาได้สว่างจ้าขึ้นมาภายในใจแล้วจะรอบตัว กิเลสมาแง่ไหน คิดขึ้นมาเรื่องใด อะไรมาสัมผัสสติปัญญาทันทั้งนั้น นอกจากทันกับอารมณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันแล้ว ยังตามวินิจฉัยกันจนเป็นที่เข้าใจ ปล่อยวางๆ ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติขึ้นมา

ที่นี่เอาละ เรื่องความขี้เกียจเรื่องความกลัวทุกข์นั้นหายหน้าไปหมดเลย ไม่มีคำว่ากลัวทุกข์ ไม่มีคำว่ากลัวตาย มีแต่จะเอาให้รู้ เป็นก็ให้รู้ตายก็ให้รู้ หรือว่าเป็นก็ให้พ้นตายก็ให้พ้นจากทุกข์ พ้นจากกิเลสไปโดยถ่ายเดียว เป็นสิ่งที่ต้องการ คำว่าแพ้นี้ให้ตายเสียดีกว่า อย่าให้แพ้แบบหมอบราบทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่นี้เลย เป็นไปไม่ได้ ถ้าแพ้ก็ให้แพ้แบบตายเลย เป็นมวยบนเวทีก็ให้ถูกน็อกล้มลงไป ตายเลย อย่างนี้จึงว่าแพ้ อยู่ๆ ก็ไปยกมือไหว้เขา ว่ายอมแพ้ไม่ได้

จิตขั้นนี้สติปัญญาขั้นนี้ เชื่อตัวเองขนาดนั้นแล ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเอาเอง เมื่อถึงขั้นเชื่อตัวเองเชื่ออย่างนั้น คือ เชื่อกำลังความสามารถของสติปัญญา อยากพบเห็นข้าศึกคือกิเลสเท่านั้น กิเลสตัวไหนที่มาขวางใจ อยู่ตรงไหนบ้าง มันพิจารณาซอกแซกซิกแซ็ก คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาจนแหลก เพราะเมื่อสติปัญญามีกำลังกล้าขึ้นมาแล้ว ข้าศึกมันหลบตัวมันซ่อนตัว จึงต้องขุดค้นคุ้ยเขี่ย พอเจอกันก็ฟาดกันละที่นี่ เรียกว่าได้งานหรือเจอข้าศึกแล้ว ฟาดลงไป พอเหตุผลพร้อมแล้วกิเลสขาดสะบั้นลงไปเห็นชัด นี่ตัวนี้ขาดลงไปแล้ว ทีนี้คุ้ยเขี่ยหาอีก หางาน พอเจอเข้าก็ได้งานและต่อสู้ขาดลอยไปอย่างนี้เรื่อยๆ จิตก็เพลินในความเพียร

ใจยิ่งเด่นขึ้นๆ เห็นชัดเจนโดยลำดับลำดา กิเลสมีมากมีน้อยเห็นชัดว่าเป็นภัยต่อจิตอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นจะนอนใจได้อย่างไร เอาดำเนินไปซิ เมื่อความเพียรมีอยู่ไม่หยุดไม่ถอย จะไม่พ้นจากคำที่กล่าวนี้ไปได้เลย เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ในทางความเพียรนี้ ต้องเป็นไปอย่างนี้จริงๆ ไม่สงสัย เอาให้จริง

ทำอะไรอย่าทำแบบจับๆ จดๆ อย่าหัดนิสัยจับๆ จดๆ ให้มีความจดจ่อ ให้มีความจริงใจกับสิ่งนั้นจริงๆ ทำอะไรก็เพื่อผลประโยชน์ อย่าสักแต่ว่าทำผ่านมือๆ ไปเป็นนิสัยจับจดใช้ไม่ได้ เวลาจะทำความพากเพียรถอดถอนกิเลสก็จะทำแบบจับๆ จดๆ ปล่อยๆ วางๆ เป็นคนหลักลอย เลยไม่มีอะไรเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นของตัวได้เลย มีแต่ความเหลาะแหละเต็มตัว นั้นหรือเป็นตัว เป็นตัวไม่ได้ เชื่อตัวเองไม่ได้

เอาให้เชื่อตัวเองได้ซิ พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อตัวเอง จาก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ คือ ความหวังพึ่งตนเอง ด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรของตัวเอง พระองค์มอบไว้แล้วทุกอย่าง เครื่องมือถูกต้องหมดแล้ว เอ้า นำมาประกอบ นำมาฟาดฟันกิเลส กิเลสจะตายด้วยสติปัญญา กิเลสกลัวสติปัญญา กิเลสประเภทใดก็ตามไม่พ้นจากสติปัญญานี้ไปได้ นี่กิเลสกลัวมาก และตายด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรนี้ด้วย ไม่ได้ตายด้วยอย่างอื่น สิ่งที่พอกพูนกิเลสอย่าสนใจนำมาใช้ สิ่งใดที่กิเลสจะยุบยอบลงไป หรือจะสลายลงไปจากจิต ให้นำสิ่งนั้นมาใช้เสมอ สติปัญญาเอาให้ดี

ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาของ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๑
เรื่อง ขันธ์ ๕ ต่างหากจากจิต


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO