นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:48 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความฉลาด
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 04 พ.ย. 2025 10:33 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
"ในโลกนี้มีอยู่ ๓ อย่าง
๑. ดีทันกัน
๒. ชั่วทันกัน
๓. ดีไม่ทั่วชั่วไม่หมด
ผู้มีปัญญาทำดีทันความดี ผู้โง่เขลา ทำดีไม่เป็น เป็นแต่ชั่ว
ผู้เพิ่งมาฝึกหัดเกิดตายในโลกก็มีอยู่ "

โอวาทธรรม
หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
อ.คำชะอี จ. มุกดาหาร






"ภัยต่างๆ ที่เห็นๆ กันนั้น อย่างมากก็เพียง
ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ผ่านไป แต่ส่วนภัยของกิเลสนั้น
ตายแล้วยังไม่หมดภัย มันยังเป็นภัยข้ามภพข้ามชาติไปอีก
ไม่รู้สิ้นสุด ถ้าเราไม่หาอุบายวิธีกำจัดมันให้หมดสิ้น
หรือเบาบางไป เราก็ต้องประสบภัย จากมันเรื่อยไป"

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร







"อันคนที่ทำงานที่เป็นคุณให้เกิดประโยชน์
ย่อมจะต้องประสบถ้อยคำถากถาง หรือการขัดขวางน้อย
หรือมาก ผู้มีใจอ่อนแอก็จะเกิดความย่อท้อ ไม่อยาก
ที่จะทำดีต่อไป แต่ผู้มีกำลังใจย่อมไม่ท้อถอย
ยิ่งถูกค่อนแคะ ก็ยิ่งจะเกิดกำลังใจมากขึ้น คำค่อนแคะ
กลายเป็นพาหนะที่มีเดชะแห่งการทำความดี"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ





”..โกรธแล้วหายโกรธเอง
กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย
ไม่เหมือนกันโกรธแล้วหายโกรธเอง
เป็นเรื่องธรรมดา…”

”..ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ
ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด
แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย
เป็นการบริหารจิตโดยตรง
จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น
ดีขึ้นมีค่าขึ้น..”

”..เมื่อใดมนุษย์ไม่ถือมั่น
ความทุกข์ก็ไม่มี มีแต่ประโยชน์
ที่สำคัญธรรมชาติ ยังมีกฏของ
ไตรลักษณ์ ลักษณะสำคัญ
”อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
จงใช้สติไม่ไปถือมั่นกับสิ่งเหล่านี้
เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..”

”..ทุกข์ใดจะไม่เกิดเมื่อ ไม่เอาใจเข้าไปเกี่ยวข้องและยึดถือ
อะไรมากไปไม่ดี
รู้จักตนเอง ใจดี มีสุข
สิ่งไหนเป็นเหตุทุกข์ ก็หยุดเสีย อย่าไปทำมัน..”

”..ทุกข์ก็ดับ สุขก็ดับ ไม่สนใน ของสมมุติ ให้ยืนเส้นเดียว หนักแน่น สู่นิพพาน
ผู้คนเดินทางผิด ย่อมไม่ถึงที่หมาย คือ…”พระนิพพาน”พระที่มาอยู่ปฏิบัติในป่าแบบนี้เขาโสเป็นโสตายแล้ว ฉันจะตายก็ให้มันตายลงตรงนี้ ฉันไม่เอาอะไร ฉันไม่ยึดติด ฉันทิ้งหมด…ไม่ห่วงอะไรแล้ว..”

”..ความดีของทาน บ่ได้อยู่ที่วัตถุ แต่มันอยู่ที่จิตของเจ้าของ บ่ต้องทำหลาย แต่ตั้งจิตให้หลาย ทำแล้วมีความสุข นั่นล่ะตัวบุญ..”

หลวงปู่ทองปาน ทันตจิตโต วัดป่าภูผาชัน อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา








โอวาท หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ และเทวดา ได้ถูกไฟ 11 กองเผาอยู่เสมอ เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ 11 กอง คือ
ราคะ ความกำหนดชอบใจ อยากได้กามคุณ 5 มี รูป เป็นต้น
ไฟโทสะ คือความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ
ไฟโมหะ ได้แก่ความลุ่มหลงในรูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์
ชาติ คือ ไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์
ชรา คือ ไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์
มรณะ คือ ไฟแห่งความตาย อันเป็นทุกข์
โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก
ปริเทวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไรรำพัน
ทุกขัง คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ
โทมนัส คือ ไฟแห่งความเสียใจ
อุปายโส คือ ไฟแห่งความคับแค้นใจ
ไฟทั้ง 11 กองนี้แหละเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ต้องพากันงมงายเวียนว่ายตายเกิด ได้รับทุกข์ต่างๆ#วันนี้







“ธรรมะอยู่ฟากตาย”

ผมปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นบรรดาลูกศิษย์มีความเข้มแข็งต่อแดนพ้นทุกข์ด้วยความเพียรทุกประโยคที่เต็มไปด้วยสติปัญญาเป็นหัวหน้างาน ไม่งุ่มง่ามเซอะซะต่อตัวเองตลอดธุระหน้าที่ทั้งหลาย สมกับศาสนายอดเยี่ยมด้วยหลักธรรมที่สอนคนให้ฉลาดทุกแง่ทุกมุม

แต่ไม่ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นผู้ปฏิบัติที่มาอาศัยอยู่ด้วย เป็นคนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ่นวุ่นวายอยู่กับอารมณ์เครื่องผูกพันด้วยความนอนใจและเกียจคร้านในกิจการที่จะยกตัวให้พ้นภัย ไม่ขยันคิดอ่านด้วยความสนใจในงานของตัวทุกประเภท

เพราะงานของพระผู้พร้อมแล้วเพื่อข้ามโลก ข้ามสงสาร เป็นงานชั้นเยี่ยม ไม่มีงานใดในโลกจะหนักหน่วงถ่วงใจยิ่งกว่างานยกจิตให้พ้นจากห้วงแห่งวัฏฏทุกข์

งานนี้เป็นงานที่ทุ่มเทกำลังทุกด้าน แม้ชีวิตก็ยอมสละ ไม่อาลัยเสียดาย จะเป็นจะตายก็มอบไว้กับความเพียรเพื่อรื้อถอนตนให้พ้นจากหลุมลึกคือกิเลสทั้งมวล

ไม่มีการแบ่งรับแบ่งสู้เหมือนงานอื่น ๆ จะรู้จะเห็นธรรมอัศจรรย์ที่ไม่เคยพบเคยเห็น ก็รู้และเห็นกันกับความเพียรที่สละตาย ไม่เสียดายชีวิตนี่แล

(โอวาทธรรมหลวงปู่มั่นฯ
จากประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน)







“ขอเจริญพรว่า ความขยันได้มาจากความขี้เกียจ กว่าจะขยันได้ ขี้เกียจมาก่อน ความสุขเราได้มาจากความทุกข์
“ขอเจริญพรว่า ความขยันได้มาจากความขี้เกียจ กว่าจะขยันได้ ขี้เกียจมาก่อน ความสุขเราได้มาจากความทุกข์

ต้องมีความทุกข์ร้อนใจเหลือเกิน กว่าจะพบความสุขที่แน่นอนเช่นดังกล่าวแล้ว มันมีแต่ความทุกข์ระทมขมขื่น ต้องผ่านทุกข์ก่อนจึงจะพบความสุขที่แน่นอน

อาตมาผู้หนึ่งขี้เกียจที่สุด บัดนี้เราต้องฝืนใจ กว่าจะขยัน กว่าจะทำอะไรให้สำเร็จ ฝืนใจจนขยัน บัดนี้จะกลับไปขี้เกียจคงไม่ได้แล้ว ไม่ได้แน่

ถ้าโยมเคยขี้เกียจแล้ว ไม่ฝืนใจ ไม่ขยัน มันก็แค่นั้น ทำอย่างไรก็แค่นั้น ดีไม่ได้แน่นอน เหมือนหมากรุก ๖๔ ตา เดินตาเดียวอยู่ตลอดกาลเวลา จะดีได้อย่างไรเล่า”

สาธุธรรมหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

จากเรื่อง สิ่งที่ได้จากการปฏิบัติกรรมฐาน หนังสือกฎแห่งกรรม-ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๑







ความไม่ประมาท คือ ไม่ปล่อยให้
ปัญหาเล็กกำเริบ กลายเป็นปัญหาใหญ่
ที่แก้ยาก ไม่ทำให้ปัญหาเล็กที่มีโอกาส
กำเริบยาก กลายเป็นปัญหาใหญ่ในความรู้สึก
ด้วยความคิดปรุงแต่ง จนทุกข์ใจเปล่าๆ

พระอาจารย์ชยสาโร






"..อย่าพากันประมาทนอนใจว่ากิเลสคือเชื้อแห่งภพความเกิดตายไม่มีทางสิ้นสุด เป็นของเล็กน้อยไม่เป็นภัยแก่ตน แล้วไม่กระตือรือร้นเพื่อแก้ไขถอดถอนเสียแต่กาลที่ยังควรอยู่ เมื่อถึงกาลที่สุดวิสัยแล้ว จะทำอะไรกับกิเลสเหล่านี้ไม่ได้นะ จะว่าไม่บอกไม่เตือน คนและสัตว์ทุกข์ทรมานมาประจำโลก อย่าเข้าใจว่าเป็นมาจากอะไร แต่เป็นมาจากกิเลสตัณหาที่เห็นว่าไม่สำคัญและไม่เป็นภัยนั่นแล ผมค้นดูทางมาของการเกิดตาย และการมาของกองทุกข์มากน้อยจนเต็มความสามารถของสติปัญญาที่มีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเป็นตัวเหตุชักจูงจิตใจให้มาหาที่เกิดตายและรับความทุกข์ทรมานมากน้อยเลย มีแต่กิเลสตัวที่สัตว์โลกเห็นว่าไม่สำคัญและมองข้ามไปมาอยู่นี้ทั้งสิ้นเป็นตัวการสำคัญ.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) อ้างอิงหนังสือชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ






...... “ สร้างความดี ให้ติดต่อกัน สร้างความดี ถูกตัวบุคคล ถูกสถานที่ ถูกเวลา ต่อเนื่องกันเสมอต้นเสมอปลายแล้ว คนนั้นจะได้รับผลดี ๑๐๐% และจะเอาดี ในชาตินี้ได้ ไม่ต้องรอดีถึงชาติหน้า ” ………
…. - จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๓ ภาคธรรมปฏิบัติ เรื่อง กรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร

-โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์ -......







กามตัณหา ราชาผู้คุมขังสัตว์โลก

กามตัณหาเป็นนายใหญ่ คุมขังสัตว์โลก
ให้อยู่ภายใต้อำนาจของมัน ยากที่ใคร
จะหลุดออกจากตาข่ายคุกคามกามราคะได้
ถ้าหากผู้ใดแหกข่ายตารางคุกของกามราคะ
ออกไปได้แล้ว พระนิพพานอยู่ที่ไหน
ก็จะรู้เอง กิเลสที่หยาบหนาที่สุดที่ท่านว่า
คือ กามตัณหา กิเลสตัวนี้เป็นราชา
ผู้พาสัตว์โลกเวียนเกิดเวียนตายอยู่
ในห้วงมหันต์ทุกข์ ...

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม








***ขอบเขตอารมณ์ของ พระโสดาบัน***

.....จะเห็นได้ว่าพระโสดาบันน่ะไม่พูดเลว อย่างนางวิสาขาก็ดี ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ดี ไม่พูดเลว แต่ยังโกรธนะอย่าลืมว่าพระโสดาบันยังมีความโกรธแต่ไม่ฆ่าใคร ไม่ละเมิดศีล พระโสดาบันยังมีความรักในระหว่างเพศ แต่ไม่นอกใจสามีภรรยา พระ โสดาบันยังมีความต้องการความร่ำรวยแต่ว่า ไม่โกงใคร พระโสดาบันยังมีความหลงในความสวยสดงดงามแต่ว่าไม่ลืมความตาย แค่นี้เองไม่ยาก ไม่เห็นยากเลย ยากไหม ไม่ยากฟังก็ไม่ยาก ปฏิบัติก็ไม่ยาก แต่ได้ยาก ความจริงได้นี่มันไม่ยากแต่เรานึกว่ายาก เราก็ต้องมองดูตัวเองว่าก่อนหลับ นึกว่าสังโยชน์ ๓ ประการ วันนี้เราบก พร่องอะไรบ้าง....

โดย พระเดช พระคุณ
หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
วัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี

'ธรรมปฏิบัติ ๗๓'

"ทางสายพระอริยบุคคล'
๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๘






"จิตสุดท้ายก่อนตาย" สำคัญต่อการเกิดใหม่!
พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือ "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" สอน "6 วิธีจูงจิตผู้ป่วยใกล้ตาย" ให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี!

ผู้ที่กำลังจะถึงแก่ความตายนั้นภายในจิตย่อมเกิดอารมณ์และความคิด สุดท้ายอารมณ์ต่างๆ เหล่านั้นจะผ่านเข้าไปในจิต มีทั้งอารมณ์ยินดีและยินร้าย พอใจและไม่พอใจ เพียงระยะเวลาสั้นๆ ของผู้ที่ไม่เคยฝึกอบรมจิตมาก่อน จิตจะส่งกระแสออกไปตามอารมณ์ต่างๆ นับไม่ถ้วน

เมื่อดวงจิตจะต้องดับลงจริงๆ แล้ว ดวงจิตจะยึดเอาอารมณ์สุดท้ายที่จิตเสวยอยู่นั้นมาเป็นอารมณ์จิตและติดเข้าไปยังปรโลกด้วย ไปก่อให้เกิดภพภูมิของจิต อันเปรียบเสมือนมิติแห่งความคิดที่ดวงจิตวิญญาณ เมื่อผ่านเข้าไปยังปรโลกใหม่ไปสร้างมิติแห่งความฝันนี้ให้บังเกิดขึ้น

อารมณ์ของจิตสุดท้ายก่อนตายนี้นับว่ามีความสำคัญมาก เพราะดวงจิตวิญญาณจะยึดเอาไว้ เพื่อเป็นการน้อมนำไปสู่การเกิดใหม่ หรือบางครั้งอารมณ์จิตติดอยู่ในเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง

จึงสำคัญมากที่จะต้องรักษาจิตสุดท้าย ไม่ให้ฟุ้งซ่าน มีสติอยู่เสมอ เพื่อให้ดวงจิตนี้นำไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จึงสอน "วิธีจูงจิตผู้ป่วยใกล้ตาย" ไว้ให้ ดังนี้…

"...ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้" คือ

1.ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและ ของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิต อธิษฐานว่า "ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย" แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็น พระพุทธรูปและได้ทำบุญ

2.ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อย ตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิต อธิษฐานว่า "เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดย เจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"

3.ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ควรนำพระพุทธรูปมา ตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วย เห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะได้เห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตาย เมื่อใดก็จะไม่ลงนรก


4.ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าหรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม


5.ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพานให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว

6.ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหวก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมากฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตาย ต้องระมัดระวังให้ดี

คัดลอกจากหนังสือตายไม่สูญ…แล้วไปไหน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง







"..อย่าพากันประมาทนอนใจว่ากิเลสคือเชื้อแห่งภพความเกิดตายไม่มีทางสิ้นสุด เป็นของเล็กน้อยไม่เป็นภัยแก่ตน แล้วไม่กระตือรือร้นเพื่อแก้ไขถอดถอนเสียแต่กาลที่ยังควรอยู่ เมื่อถึงกาลที่สุดวิสัยแล้ว จะทำอะไรกับกิเลสเหล่านี้ไม่ได้นะ จะว่าไม่บอกไม่เตือน คนและสัตว์ทุกข์ทรมานมาประจำโลก อย่าเข้าใจว่าเป็นมาจากอะไร แต่เป็นมาจากกิเลสตัณหาที่เห็นว่าไม่สำคัญและไม่เป็นภัยนั่นแล ผมค้นดูทางมาของการเกิดตาย และการมาของกองทุกข์มากน้อยจนเต็มความสามารถของสติปัญญาที่มีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเป็นตัวเหตุชักจูงจิตใจให้มาหาที่เกิดตายและรับความทุกข์ทรมานมากน้อยเลย มีแต่กิเลสตัวที่สัตว์โลกเห็นว่าไม่สำคัญและมองข้ามไปมาอยู่นี้ทั้งสิ้นเป็นตัวการสำคัญ.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒) อ้างอิงหนังสือชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ







.

#การให้ทาน

"หลวงพ่อคะ แล้วที่เขาบอกว่าก่อนจะเอาเงินทำบุญต้องแบ่งเป็น ๔ ส่วนก่อน หมายความว่าอย่างไรคะ...?"

ในเรื่องพระเวสสันดร การแบ่งทรัพย์พระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องแบ่งเป็น ๔ ส่วน คือ

๑. ชำระหนี้เก่า
๒. เป็นเจ้าหนี้ใหม่
๓. ฝังไว้
๔. ทิ้งเหว

#ชำระหนี้เก่า คือบิดามารดาและผู้มีคุณ ต้องสงเคราะห์ท่านตามกำลัง
#เป็นเจ้าหนี้ใหม่ ลูกสาวลูกชายเราต้องสงเคราะห์ ใช่ไหม
#ฝังไว้ สร้างความดีในส่วนกุศล
#ทิ้งเหว คือกิน

ทั้ง ๔ อย่างนี้ "ใช้หารไม่ได้นะ ต้องดูความเหมาะสม" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห่วงให้มาก คือทิ้งเหว ตัวนี้ถ้าน้อยเกินไปมันเดือดร้อนมันเบียดเบียนตัวเอง ต้องแบ่งส่วนให้เหมาะสม

การให้ทานพระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเอง ถ้าเบียดเบียนตัวเองเป็น #อัตตกิลมถานุโยค เป็นการทรมานตัว

และการให้ทาน พระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ ถ้าให้ในเขตของคนเลวอานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลย รู้ว่าคนนี้ควรจะให้เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้เราก็ไม่ให้
ให้แล้วไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่นเราไม่ให้ดีกว่า เป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจร

เวลาจะให้ท่านวางกฎไว้อย่างนี้
๑. ผู้ให้บริสุทธิ์
๒. ผู้รับบริสุทธิ์
๓. วัตถุทานบริสุทธิ์
ของดีก็ตาม ของเลวก็ตามมีอานิสงส์มาก อานิสงส์ คือความดี ความชื่นใจมาก

ถ้าผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ วัตถุทานไม่บริสุทธิ์ ให้บาทหนึ่งจะได้สักสตางค์หรือเปล่าก็ไม่รู้

รวมความว่าต้องบริสุทธิ์ ๓ อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่งอานิสงส์ก็ลดตัวลงมา ถ้าลดเสียหมดเลยก็ไม่มี

แต่ว่าการให้ทาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้อีก
ประเภทหนึ่งต้องให้ครบ ๓ กาลจึงจะมีอานิสงส์สูง

#อนาถบิณฑิกเศรษฐี
มีเรื่องเล่าว่าในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจนลงเพราะเคราะห์กรรมบางอย่างทำลายท่าน เงินที่ให้เขากู้ไปก็ถูกโกง ไอ้คนที่อยู่ภายในบ้านมันก็ขโมยของ ทรัพย์ที่ฝังไว้ชายทะเล ชายแม่น้ำ แผ่นดินก็พังทรัพย์จมไปหมด ท่านจนขนาดข้าวเป็นเม็ดแทบไม่มีกิน ต้องกินปลายข้าว

แต่ว่าศรัทธาท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมไปด้วยพระสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้ำผักดอง เปรี้ยวๆ เค็มๆ ทำเป็นกับมาถวาย พระพุทธเจ้าก็ฉันแบบนี้เหมือนกัน

เวลาที่พระพุทธเจ้าฉันอยู่ท่านก็นั่งอยู่ใกล้ๆ กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าเวลานี้ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้่ข้า พระพุทธเจ้าถามว่า เธอมีเจตนายังไง ก่อนจะให้เธอมีความรู้สึกยังไง ท่านจึงได้บอกว่า ก่อนจะให้เต็มใจพร้อมเสมอ เตรียมใจไว้ก่อนแล้ว

#ของเลวก็มีอานิสงส์
พระพุทธเจ้าก็ถามว่า ในขณะที่ให้เธอมีความรู้สึกยังไง ท่านก็บอกว่า ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ถามอีกว่า เมื่อให้แล้วเป็นยังไง ท่านก็บอกว่า ให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส ดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี "ลูขัง วา ปณีตัง วา"
"ลูขัง" เขาแปลว่า "เลว"
"ปณีตัง" แปลว่า "ดี"
ท่านตรัสว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง ๓ กาล คือ

๑. ก่อนจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
๒. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
๓. เมื่อให้แล้วเกิดความเลื่อมใส
อย่างนี้ของดีก็ตามของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศ มีอานิสงส์สูง

ถ้าหากว่าเราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานมีอานิสงส์สูงมาก รองจากวิหารทาน

"หลวงพ่อคะ กุศลชนิดใดมีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างคะ...?"

"สัพพทานัง ธัมมะทาน ชินาติ"
การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

"ธรรมทานนี่สูงสุดใช่ไหมครับ...?"

พระพุทธเจ้าท่านบอกที่สุด ชนะทั้งหมดไงล่ะ แต่ว่ามีธรรมทานเฉยๆ เกิดไปชาติหน้าอด อดจริงๆ นะ เพราะมีตัวอย่างมาแล้ว

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
______________
จากหนังสือ "ทุกคนอยากรู้" หน้า ๖๕ - ๖๙







เป็นพระอรหันต์เพราะพิจารณาหยดน้ำฝน

..พระอัญญัตรภิกขุ ท่านกำลังสงสัยธรรมขั้นละเอียดจะไปทูลถามพระพุทธเจ้า พอไปถึงใต้ถุนพระคันธกุฎีพอดีฝนตก ก็เลยยืนอยู่ที่ใต้ถุนนั้น สังเกตดูน้ำฝนที่ตกมาจากชายคา มากระทบน้ำที่พื้น แล้วเกิดตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมา ฟองน้ำตั้งขึ้นมาเท่าไร มันก็ดับไปแตกไป ท่านก็พิจารณาเทียบเคียงกับสิ่งภายใน คือ “สังขาร” ความคิดปรุง

เพราะขั้นนี้จิตจะพิจารณาเรื่อง “สังขาร” และ “สัญญา” ความปรุงและความสำคัญต่างๆ ของใจ มากกว่าอย่างอื่น

ในเวลาน้ำตกลงมากระทบกัน นอกจากมีความกระเพื่อมแล้ว ก็ตั้งเป็นต่อมขึ้นมาเป็นฟองขึ้นมา แล้วดับไป ๆ

ท่านก็พิจารณาเทียบเคียงเข้าไปภายใน คือ ความคิดปรุงของจิต คิดดีคิดชั่ว มีความเกิด-ความดับ เป็นคู่เคียงกันไปเป็นลำดับๆ เสร็จแล้วก็กลายลงมาเป็นน้ำตามเดิม

สังขารนี้เมื่อคิดปรุงเสร็จแล้ว ก็ลงไปที่จิตตามเดิม

ท่านเลยบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในสถานที่นั้นเอง พอบรรลุธรรมแล้ว ฝนก็หยุด ท่านก็กลับไปกุฎี! ไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าอีกเลย เพราะหมดข้อสงสัยแล้ว นั่น! ...

ที่มา พระธรรมเทศนาของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโนเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙ ขันธ์ห้า(ชุดหัดตาย)








"... คนที่กำลังจะตายนั้น ถ้าจิตไปเกาะยึดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
วิญญาณที่ออกจากร่างไปก็วนเวียนไปเกาะอยู่กับสิ่งนั้น
เหมือนกับผลไม้ที่ห้อยอยู่กับกิ่งบนต้นของมัน ถ้ากิ่งมันเอนไปอยู่ตรงที่ดี
ผลของมันก็หล่นลงมางอกตรงที่ที่ดี ถ้ากิ่งมันเอนไปอยู่ตรงที่ที่ไม่ดี
ผลที่หล่นลงมาก็จะงอกตรงที่ที่ไม่ดีนั้น

คนที่ไม่มีสมาธิ จิตใจมีนิวรณ์ความกังวล ห่วงลูกห่วงหลาน
ห่วงคนโน้นคนนี้ เวลาตายวิญญาณก็ไปเกาะอยู่ที่ลูกที่หลาน
บางคนกลับไปเกิดเป็นลูกของลูกตัวเองก็มี
บางคนที่พ่อแม่ทิ้งมรดกที่สวนไร่นาไว้ให้ ก็เป็นห่วงสมบัติของตน
พอตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในสวนในนาก็มี
บางคนก็ไปเกิดเป็นผีสางนางไม้เฝ้าทุ่งนาป่าเขาก็มี พวกนี้เป็นพวก
สัมภเวสี คือ วิญญาณลอยไปเที่ยวหาที่เกาะ
ถ้าจิตของเราตั้งอยู่ในบุญกุศล เราก็จะมีสุคติเป็นที่ไป
ถ้าจิตของเราตั้งอยู่ในบาปอกุศล วิญญาณของเราก็จะต้องไปสู่ทุคติ
ไม่ได้ไปเกิดในโลกที่ดี โลกที่ดีนั้น คือ โลกที่ไม่มีภัย เป็นโลกแห่งเทวบุตร
เทวดานางฟ้า ไม่มีความทุกข์ภัยใดๆ ในโลกของเทวดานั้นมีแต่เกิดกับตาย
ไม่มีแก่ไม่มีเจ็บ โลกมนุษย์มีทั้ง เกิด แก่ เจ็บ ตาย
โลกนิพพานไม่มีทั้งเกิด ไม่มีทั้งตาย ..."
_________________________________
#พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
#พระอาจารย์ลี_ธมฺมธโร
วัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง
จังหวัดสมุทรปราการ (พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔)







"เรื่องการลอยกระทง"
การลอยกระทงนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเราจะปรารภแต่รอยพระพุทธบาทอย่างเดียวก็เห็นว่าไม่สมเหตุสมผล ความจริงแล้วขอให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย นั่นก็คือบูชา พระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวร แล้วก็บูชาพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อย่างนี้เราจะมีบุญใหญ่ได้รัตนะถึง ๓ ประการ หรือว่าอนุสสติทั้ง ๓ ประการ
การลอยกระทงนี้ ตามโบราณเขาถือว่าเป็นการขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยเด็กๆ ท่านผู้ใหญ่เคยบอกว่า เราเคยถ่ายอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี ลงในแม่น้ำ ถือว่าเป็นการไม่เคารพรอยพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความจริงเรื่องนี้เห็นว่าจะไม่สมเหตุสมผล เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลไม่ได้ทรงคิดอย่างนั้น แต่ว่าโบราณท่านตั้งใจทำก็เป็นความดี เพราะการขอขมากับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ใจเราใสบริสุทธิ์ หมดจากการปรามาสในองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ แสดงความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
จากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๗๖ หน้า ๓๖-๓๗
โดย พระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี"เรื่องการลอยกระทงการลอยกระทงนี้
บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเราจะปรารภแต่รอยพระพุทธบาทอย่างเดียวก็เห็นว่าไม่สมเหตุสมผล ความจริงแล้วขอให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย นั่นก็คือบูชา พระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวร แล้วก็บูชาพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อย่างนี้เราจะมีบุญใหญ่ได้รัตนะถึง ๓ ประการ หรือว่าอนุสสติทั้ง ๓ ประการ
การลอยกระทงนี้ ตามโบราณเขาถือว่าเป็นการขอขมาโทษต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยเด็กๆ ท่านผู้ใหญ่เคยบอกว่า เราเคยถ่ายอุจจาระก็ดี ปัสสาวะก็ดี ลงในแม่น้ำ ถือว่าเป็นการไม่เคารพรอยพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความจริงเรื่องนี้เห็นว่าจะไม่สมเหตุสมผล เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลไม่ได้ทรงคิดอย่างนั้น แต่ว่าโบราณท่านตั้งใจทำก็เป็นความดี เพราะการขอขมากับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ใจเราใสบริสุทธิ์ หมดจากการปรามาสในองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ แสดงความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี

จากหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ ๑๗๖ หน้า ๓๖-๓๗
โดย พระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) อุทัยธานี







"..สมบัติในโลกเราแสวงหามาเป็นความสุขก็พอหาได้ จะแสวงหามาเป็นไฟก็ทำให้ฉิบหายได้ จริงๆข้อนี้ขึ้นอยุ่กับความฉลาดและความโง่เขลา ของผู้แสวงหาแต่ละราย ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน จนกลายเป็นสรณะของพวกเรา จะเข้าใจว่าท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทอง เครื่องหวงแหนอย่างนั้นหรือ เข้าใจว่าเป็นคนร่ำรวยสวยงามเฉพาะสมัยพวกเราเท่านั้นหรือ จึงพากันรักพากันหวงพากันห่วงจนไม่รู้จักเป็นรู้จักตาย บ้านเมืองเราสมัยนี้ไม่มีป่าช้าสำหรับเผาหรือฝังคนตายอย่างนั้นหรือจึงสำคัญว่าตนจะไม่ตาย และพากันประมาทจนลืมเนื้อลืมตัว กลัวแต่จะไม่ได้กิน ไม่ได้นอนกลัวแต่จะไม่ได้เพลิดไม่ได้เพลิน ประหนึ่งโลกจะดับสูญไปเดี๋ยวนี้ จึงรีบพากันตักตวงเอาความไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อันสิ่งเหล่านี้ แม้แต่สัตว์เขามีได้เหมือนมนุษย์เรา อย่าสำคัญว่าตนเก่งกาจสามารถฉลาดรู้ยิ่งกว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความืดมิดปิดตามาทับถมตัวเองจนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ใครจะไปทราบได้ถ้าไม่เตรียมทราบไว้ตั้งแต่บัดนี้.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓–๒๔๙๒)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO