|
คาถาก็มีมากมายใช้ป้องกันสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ไม่มีหรอกสิ่งป้องกันความตายได้ แต่ขนาดเป็นหมอเป็นแพทย์เขาเรียนมา ก็เพื่อรักษาชีวิตคนไม่ให้ตายแต่ก็ไม่ได้ ไม่สามารถพ้นจากความตายได้ ส่วนความเจ็บความปวดนั้นก็รักษากันไปอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้หมดแล้วว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนแต่เราก็ไปยึดมั่นถือมั่นมัน พอแก่ชราแล้วมันก็ไม่มีอะไรเหมือนเก่าสักอย่างสังเกตตัวเองดูซิ
#หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
ธรรมโอวาทครั้งสุดท้าย..!!! "..มาอยู่ นี้ไม่ได้มาหาลาภยศอะไร มาหาทาง หนีจากความทุกข์ กรรม คือการกระทำ ทั้งบาป ทั้งบุญ ให้พิจารณา รู้ไหม.
บุญเป็นอย่างไร บาปเป็นอย่างไร
คนที่ปฏิบัติหาทางออกจากกองทุกข์นั้น มันหายากแล้ว ให้ลูกหลานจำให้ดี จำได้ไหม ให้ มีสติ มีอารมณ์อยู่กับพุทโธ พุทโธเอาให้ได้ ทำให้มันเห็นของดี จำได้ไหม นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ ให้จับลมกับกายนี้
กายนี้ให้เห็นเป็นกายพระธรรมให้ได้ มีหู ฟังแล้วก็ให้มันเป็นพระธรรม ตาให้เป็นตาพระธรรม กายให้เป็นกายพระธรรม ใจก็ให้เป็นใจพระธรรม
ทำให้มันได้ ให้มีพุทโธอยู่กับกายนี้ใจนี้ จำ ไว้ที่ใจ จำได้ไหม จำดีๆอย่าไปลืมนะ ไม่ต้องไปรู้ที่อื่น มันอยู่ในกายนี้ กายนี้แหละมันเป็นทุกข์ อยู่ทุกวันนี้ สังขารจะแตก จะตายก็ให้รู้ จำได้ไหม
สมฺปโยโค ก็ให้รู้ จะต้องจากกันไม่ต้องตกใจ ให้พิจารณาเดี๋ยวนี้ จำได้ไหม จำให้ดีๆ ให้รู้อยู่กับกายกับใจ อย่าไปลืม ให้รู้จริงๆ อย่าทำเล่นไม่ได้นะ กามก็ดี ตัวกามนี้จับมันให้อยู่ จับมันมัดไว้ ให้มันตาย จำได้ไหม ไม่ว่าสัตว์ว่าคน หากาม แสวงหากาม
มันเดือดร้อนวุ่นวาย ก็เพราะกามนี้แหละ ชาย หญิง สัตว์ผู้เมียต่างก็ยินกันและกัน มัวเมากันอยู่อย่างนี้ ให้มันเป็นธรรมโม อย่าให้เป็นธรรมเมา ให้ออกจากกาม หาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้จำไว้ จำไว้ให้มันดี ปฏิบัติให้มันรู้ กามมันตายแล้วมันก็สบาย ให้เป็นธรรมโม อย่าให้เป็นธรรมเมา
จำให้ดีๆนะ ปฏิบัติให้มันรู้ จำได้ไหม อย่าไปลืมนะ ไม่ต้องพูดมาก พูดมากไปไม่ใช่ธรรมะ มันเป็นธรรมเมา.."
โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ อ้างอิงหนังสือหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
ธรรมโอวาทครั้งสุดท้าย..!!! "..มาอยู่ นี้ไม่ได้มาหาลาภยศอะไร มาหาทาง หนีจากความทุกข์ กรรม คือการกระทำ ทั้งบาป ทั้งบุญ ให้พิจารณา รู้ไหม.
บุญเป็นอย่างไร บาปเป็นอย่างไร
คนที่ปฏิบัติหาทางออกจากกองทุกข์นั้น มันหายากแล้ว ให้ลูกหลานจำให้ดี จำได้ไหม ให้ มีสติ มีอารมณ์อยู่กับพุทโธ พุทโธเอาให้ได้ ทำให้มันเห็นของดี จำได้ไหม นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ ให้จับลมกับกายนี้
กายนี้ให้เห็นเป็นกายพระธรรมให้ได้ มีหู ฟังแล้วก็ให้มันเป็นพระธรรม ตาให้เป็นตาพระธรรม กายให้เป็นกายพระธรรม ใจก็ให้เป็นใจพระธรรม
ทำให้มันได้ ให้มีพุทโธอยู่กับกายนี้ใจนี้ จำ ไว้ที่ใจ จำได้ไหม จำดีๆอย่าไปลืมนะ ไม่ต้องไปรู้ที่อื่น มันอยู่ในกายนี้ กายนี้แหละมันเป็นทุกข์ อยู่ทุกวันนี้ สังขารจะแตก จะตายก็ให้รู้ จำได้ไหม
สมฺปโยโค ก็ให้รู้ จะต้องจากกันไม่ต้องตกใจ ให้พิจารณาเดี๋ยวนี้ จำได้ไหม จำให้ดีๆ ให้รู้อยู่กับกายกับใจ อย่าไปลืม ให้รู้จริงๆ อย่าทำเล่นไม่ได้นะ กามก็ดี ตัวกามนี้จับมันให้อยู่ จับมันมัดไว้ ให้มันตาย จำได้ไหม ไม่ว่าสัตว์ว่าคน หากาม แสวงหากาม
มันเดือดร้อนวุ่นวาย ก็เพราะกามนี้แหละ ชาย หญิง สัตว์ผู้เมียต่างก็ยินกันและกัน มัวเมากันอยู่อย่างนี้ ให้มันเป็นธรรมโม อย่าให้เป็นธรรมเมา ให้ออกจากกาม หาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้จำไว้ จำไว้ให้มันดี ปฏิบัติให้มันรู้ กามมันตายแล้วมันก็สบาย ให้เป็นธรรมโม อย่าให้เป็นธรรมเมา
จำให้ดีๆนะ ปฏิบัติให้มันรู้ จำได้ไหม อย่าไปลืมนะ ไม่ต้องพูดมาก พูดมากไปไม่ใช่ธรรมะ มันเป็นธรรมเมา.."
โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ อ้างอิงหนังสือหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
เรื่องการแผ่เมตตา
การแผ่เมตตาดับความรู้สึกไม่พอใจ โกรธ หงุดหงิดในบุคคลที่ไม่เป็นที่รัก เช่นผู้ที่เป็น ศัตรู หากจิตใจยังไม่เป็นอุเบกขาคือ ยังดับ ความไม่พอใจ โกรธ หรือหงุดหงิดในใจได้ การแผ่เมตตาออกไปในบุคคลที่ชังนั้นยาก จิตไม่ยอมที่จะเมตตา ยิ่งไปคิดถึง บางที กลับไปเพิ่มความพยาบาท โทสะให้มาก ขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นพิจารณาดูว่า ไม่ชอบเขาเพราะอะไร เป็นศัตรูเพราะอะไร สมมุติไม่ชอบเขา เห็นว่าเขาเป็นศัตรู เขาทำร้ายเรา เขาคิดร้ายต่อตนอย่างใด คราวนี้มาพิจารณาปลงลงในกรรม พิจารณาว่าการทำร้าย การพูดร้าย คิดร้าย ของเขานั้น ใครเป็นคนทำ เขาทำหรือว่า เราทำ แม้ว่าเราจะเดือดร้อนเพราะกรรมเขา ก็จริงแต่กรรมที่เขาทำเป็นกรรมของเขาเอง ไม่ใช่กรรมของเรา เราอาจจะต้องเดือดร้อน เพราะกรรมชั่วของเขาก็จริง แต่ว่ากรรมชั่วนั้น เป็นของเขาไม่ใช่ของเรา แบ่งออกได้ดังนี้ ก็จะทำให้ปลงใจลงในกรรมได้ไม่มากก็น้อย หรือครึ่งหนึ่งหรือค่อนหนึ่งหรือทั้งหมด ... ... สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
"..คำว่า "สติ" ย่อมถือเป็นธรรมสำคัญของความเพียรทุก ๆ ประโยค และคำว่า "ปัญญา" ก็ย่อม ถือเป็นสำคัญในเวลาที่ควรใช้ตามกาลของตน เพราะปัญญาเป็นธรรมจำเป็นไปตามภูมิของจิต ของธรรม ส่วนสติเป็นธรรมจำเป็นตลอดไปในอิริยาบถต่าง ๆ
กาลใดที่ขาดสติ กาลนั้นเรียกว่า ขาดความเพียร แม้กำลังเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่ก็สักแต่ว่าเท่านั้น แต่มิได้เรียกว่า เป็นความเพียรชอบ ดังนั้นท่านจึงสอนเน้นลงในความมีสติมากกว่าธรรมอื่น ๆ เพราะ สติเป็นรากฐานสำคัญของความเพียรทุกประเภทและทุกประโยคที่ทำ จนกลายเป็น มหาสติขึ้นมาและผลิตปัญญาให้เป็นไปตาม ๆ กัน
ภูมิต้นเพื่อความสงบต้องใช้สติ ให้มาก ภูมิต่อไปสติกับปัญญาควรเป็นธรรมควบคู่กันไปตลอดสาย.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
|