นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 22 ต.ค. 2025 10:54 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พิจารณาธรรมะ
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 20 ต.ค. 2025 2:35 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5089
หลวงปู่ทุย ฉนฺทกโร พิจารณาบังสุกุล

ท่านก็เมตตาสอนเรื่องการทำบังสุกุล มีสองประเภท คือการทำลับหลัง ๑ และ การทำต่อหน้าอีก ๑

ท่านบอกเมื่อถวายเสร็จแล้ว ก็อุทิศไปให้ผู้มีบุญมีคุณ พบทุกข์ขอให้พ้นจากทุกข์ ถ้าสุขให้สุขยิ่งขึ้นไป ถึงหม๊ดด หลวงปู่บอก ท่านก็ยังเทศน์ย้ำ

" บุ ญ ไ ม่ ต้ อ งเ สี ย เ งิ น "







"..ร้อยคนรู้จัก..ไม่เท่าหนึ่งคนรู้ใจ หนึ่งคนรู้ใจ..ไม่เท่ารู้ใจตน เรารู้ใจตน..ไม่เท่ารู้ธรรมที่หลุดพ้น รู้ธรรมที่หลุดพ้น..ไม่เท่ารู้ปฏิบัติตน รู้แจ้งด้วยปัญญา.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ






#มนุษย์_๗_จำพวก
"..มนุษย์ทั้งหลายมี ๗ อย่าง
๑.#มนุสสติรัจฉาโน ทำไมจึงว่ามนุสสติรัจฉาโน
ดูซิ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
คือมันขี้เกียจขี้คร้าน รับอาหารแล้วก็นอน ไม่รู้จักการกราบ ไม่รู้จักการไหว้ ไม่รู้จักการรักษาศีลภาวนา ทำบุญให้ทานอะไร เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานน่ะ มนุษย์เช่นนั้นแหละตายไปก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดูเอาซิ พิจารณาเอาซี ร่างกายเป็นมนุษย์แต่หัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน

๒.#มนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่หัวใจเป็นเปรต
มันมีแต่โมโหโทโส อยากฆ่า อยากฟัน
ความทะเยอทะยานดิ้นรน มีพยาบาทอาฆาตจองเวร
ดูซิ ใจมันมีอาฆาต นี่แหละมนุสสเปโต ร่างกายเป็นมนุษย์ เมื่อดับขันธ์ไปแล้วก็ไปเป็นเปรต

๓.#มนุสสนิรเย ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นนรก
หัวใจเป็นนรก คือมันมืด มันกลุ้มอกกลุ้มใจ ให้ทุกข์ให้ร้อน ดูเอาซิ นั่นแหละนรก ดับขันธ์ไปแล้วก็ไปนรกซี่ ได้รับความทุกข์ยากความลำบากรำคาญ นี่มนุษย์เช่นนี้
ทีนี้ถ้าไม่ไปเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า หัวใจต่ำช้า อย่างอธิบายมาแล้ว ต่ำช้ายังไงล่ะ
เป็นใบ้บ้าเสียจริต หูหนวกตาบอด ปากกืด กระจอกงอกง่อย ขี้ทูดกุฏฐัง ตกระกำลำบาก แน่ะ มนุษย์หัวใจเป็นยังงั้น ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อีกก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำช้า
ดูซิ ใจเราทุกคน ไม่ว่าพระว่าเณร ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย
เอ้าดู อธิบายให้ฟัง ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเราไม่ต้องการก็เลิกก็ละเสีย ให้รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักผิดรู้จักถูก รู้จักฟัง อธิบายให้ฟัง

๔.#มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นเทวธิดา เทวบุตร หัวใจมีทาน มีศีล มีภาวนา รู้จักเคารพนอบน้อม รู้จักกราบรู้จักไหว้
ใจมีหิริโอตตัปปะ ละอายบาป กลัวบาป ใจเบิกบาน ใจสว่างไสว ใจดี
ดับขันธ์ก็ไปเป็นเทวบุตรเทวธิดา เรื่องเป็นอย่างนั้น ดูเอาซิ

๕.#มนุสสพรหมา ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม หัวใจเช่นใด
มีพรหมวิหาร มีพรหมวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่
หัวใจว่างไม่มีอะไร เหมือนกะอากาศนี้แหละ ว่างเปล่าหมด
เหลือแต่อรูปจิต ดับขันธ์ไปเป็นพรหม ท้าวมหาพรหม นางมหาพรหม อยากรู้ก็ดูเอาซิ ที่อยู่ของเราเป็นอย่างนี้ มนุษย์ทั้งหลาย

๖.#มนุสสอรหัตโต ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระอรหันต์
คือละกิเลส ละตัณหา กิเลสคือใจเศร้าหมอง
ตัณหาคือใจทะเยอทะยานดิ้นรนกระวนกระวาย
ท่านละกิเลสตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ ละขาดในสันดาน ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิตใจ เมื่อดับขันธ์ไปก็เข้าสู่นิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสาร ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็เป็นแต่มนุษย์ ได้แต่มนุษย์ซิ

เราจึงมาฝึกหัดอบรมบ่มนิสัยของเรา เพ่งเล็งดูซิ
เราอย่าดูอื่น เรานั่งอยู่ก็นั่งดูใจของเรา ไม่ได้ดูดินฟ้าอากาศนะ
ใจของเรามันเป็นอย่างไร เหมือนที่อธิบายให้ฟังไหมล่ะ มันไม่ดีตรงไหนก็แก้ไขซิ ทีนี้

๗.#มนุสสพุทโธ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี้ ว่าเรื่องภพเรื่องชาติของท่าน บิดามารดาของท่านก็มี
บุตรภรรยาท่านก็มี ท่านเป็นมนุษย์ครือเรานี่แหละ
แต่ท่านประพฤติปฏิบัติ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
เป็นสยัมภู ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง
ไม่มีบุคคลผู้ใดหรือใครแนะนำพร่ำสอน รู้ด้วยตนเองเป็นสยัมภู
รู้แจ้งแทงตลอดหมดซึ่งสารพัดเญยยะธรรมทั้งหลาย ไม่มีที่ปกปิด สัตว์ทั้งหลาย ตนของท่าน บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณความรู้ความเห็นในบุพพชาติเบื้องหลัง
เป็นอะไร ๆ มา ท่านรู้หมด เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
จุตูปาตญาณ จุติจากนี้ไปอยู่ในภพชาติใด ภพน้อยภพใหญ่ ท่านรู้หมด คือเหมือนอธิบายให้ฟังนี้ อาสวักขยญาณ สิ้นจากภพจากชาติท่านก็รู้หมด.."

โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
(เทศน์ ณ.วัดป่าอุดมสมพร เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ ๒๕๑๘) อ้างอิงที่มาของบทความ: คัดมาจากหนังสือ ๑๐๘ ปีหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ประวัติ พระธรรมเทศนา และพระอภิธรรมสังคิณีมาติกาบรรยายธรรมบรรณาการในโอกาสฉลองอุโบสถวัดป่าไชยชุมพล (เสลียงแห้ง) จ.เพชรบูรณ์ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร






"..วันเวลาที่หมดสิ้นไป โดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นคุณค่า
เป็นประโยขน์แก่ตนเองบ้างในชีวิตที่เกิดมาในโลกและ
ได้พบพุทธศาสนานี้ ช่างเป็นชีวิตที่น่าเสียดายยิ่งนัก
เวลาแม้นเพียงหนึ่งนาทีที่ผ่านเลยไปนั้น แม้ว่าจะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลสักสิบล้าน ร้อยล้าน ก็ไม่สามารถซื้อคืนกลับมาได้

ฉะนั้น สิ่งที่น่าเสียดายในโลกนี้จะมีอะไรน่าเสียดายเท่ากับ ปล่อยให้วันเวลาผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์
แม้นว่าจะเพียงแค่นาทีเดียว.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่







พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า..

"ดูก่อนอานนท์ ให้ท่านทำให้มาก เจริญให้มาก ปฏิบัติให้มาก ใครเห็นเรา คนนั้นก็เห็นธรรม ใครเห็นธรรม คนนั้นเห็นเรา"

...ซึ่งแสดงว่าเราไม่ห่างไกลจากพระพุทธเจ้า ไม่ห่างไกลจากพระธรรม เพราะพระพุทธเจ้าก็คือธรรมะ และธรรมะก็คือพระพุทธเจ้า

...เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงถือกำเนิดขึ้นมาในโลกครั้งแรก ก็ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะเหตุใด เพราะในตอนนั้นท่านยังไม่ได้ตรัสรู้ธรรม ต่อเมื่อท่าน ทรงรู้สิ่งที่ควรรู้ ด้วยการประพฤติปฏิบัติของท่าน คือ รู้สัจธรรม รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดแห่งทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักข้อประพฤติปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ท่านจึงทรงเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

...ฉะนั้น เมื่อเราถึงธรรม เราจะนั่งอยู่ที่ไหน เราก็รู้ธรรมะ เมื่อเราเข้าใจในธรรมะ พระพุทธเจ้าก็อยู่ที่ใจของเรา พระธรรมก็อยู่ที่ใจของเรา ข้อประพฤติปฏิบัติ ให้เกิดความเฉลียวฉลาดอยู่ที่ใจของเรา เรียกว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติพร้อมด้วยกาย วาจา จิต เช่นนี้แล้วเราจะเป็นผู้มองความดี ความชั่วทั้งหลายด้วยความถูกต้อง คือถูกต้องตาม สัจธรรม ตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า นี่คือความจริง หรือมันเป็นความจริงของโลก

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)








..ได้แค่ไหน พอใจเท่านั้น..

...แต่ว่าเนื้อแท้จริงๆ นักปฏิบัติถ้าจะปฏิบัติกันให้ดีละก็ จงอย่าสนใจว่าเวลานี้มันจะได้ฌานอะไร จะเข้าถึงฌานหรือจะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ จะเป็นฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ช่าง ไม่สนใจ นี่เราพูดกันถึงว่าในแง่ของการปฏิบัติที่เอาดีกัน ถือว่าวันนี้ได้ดีเพียงใด พอใจเท่านั้น เราทำตามอารมณ์สบายของเรา #มันได้แค่ไหนพอใจแค่นั้น เมื่อวานนี้ดีกว่าวันนี้ วันนี้เลวกว่าเมื่อวานนี้หน่อยก็ช่าง คิดว่าเราเป็นผู้สะสมความดี คือ #ทรงอารมณ์จิตให้อยู่ในด้านของสมาธิ ตามความพอใจที่เราต้องการ เท่านี้พอ

...ถ้าจิตตั้งอยู่อย่างนี้อารมณ์จะเป็นสุข ไม่มีอาการดิ้นรน จงอย่าสนใจกับภาพที่เห็น #จงอย่าสนใจกับอารมณ์ของจิต ว่าเมื่อวันก่อนนี้มันเลวกว่าวันนี้ หรือวันนี้ดีกว่าวันก่อน ถ้าไปสนใจอย่างนั้นจิตจะไม่ทรงตัว จะหาอารมณ์ที่แนบสนิทไม่ได้ ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายพึงตั้งใจไว้โดยเฉพาะเพื่อผลของความดี นั่นก็คือเวลาที่เจริญสมาธิจิตในด้านอานาปานุสสติก็ตาม กรรมฐานกองอื่นใดก็ตาม จงทราบว่าเวลานี้จะตกอยู่ในสภาพของฌานอะไรก็ช่าง อย่าไปตั้งหน้าตั้งตาว่าเราต้องการได้ฌานนั้น เราต้องการทรงฌานนี้ มันจะเกิดอารมณ์กลุ้ม

...ถ้าอารมณ์กลุ้มเกิดขึ้นมาแล้ว #มันก็ตัดความดีทั้งหมด ผลที่สุดวันนั้นเราจะไม่ได้อะไรเลย เป็นอันว่าขณะใดที่ทำไป ขณะนั้นเรามีความพอใจ ได้แค่ขณิกสมาธิคือสมาธิเล็กน้อยเราก็พอใจ ได้ถึงอุปจารสมาธิเราก็พอใจ จิตจับอยู่ในฌานใดฌานหนึ่งเราก็พอใจ พอใจเสียทั้งหมด ถ้าทำจิตอย่างนี้อารมณ์จิตจะสบาย ก็ได้แก่การฝึกจิตเข้าถึงอุเบกขารมณ์นั่นเอง เมื่อการฝึกจิตแบบนี้แล้ว #ต่อไปจิตจะเป็นเอกัคคตารมณ์และอุเบกขา คือจิตจะทรงฌาน ๔ ได้ง่าย

พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)







"..ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผู้ละโลกนี้ไปแล้วก็คือชีวิตในโลกหน้า ในโลกใหม่ของแต่ละคน หัดนึกถึงความจริงที่จะต้องหนีไม่ได้ คือการเกิดใหม่ในทันทีที่การเกิดเก่าจบสิ้นลง ที่ว่าชีวิตในภพชาติใหม่น่ากลัวที่สุด ก็เพราะไม่มีใครรู้ว่าชาติหน้าของเราแต่ละคนจะเป็นเช่นไร ดีหรือร้ายเพียงไหน

จะขึ้นสวรรค์หรือจะลงนรก ต่างก็น่าจะไม่รู้กัน และเพราะน่าจะพากันไม่เคยสนใจแม้เพียงจะคิด ว่าทันทีที่ขาดใจตาย เราจะเป็นอย่างไร เราจะไปไหน ไปเป็นอะไร เราพากันไม่สนใจ ไม่นึกถึง

สิ่งที่ควรสนใจ ควรนึกถึง อย่างที่สุดนี้ เพื่อจะได้ให้เวลาตัวเองในการจัดที่ใหม่ให้ชีวิตตนชาติหน้า ที่ทุกคนต้องไปถึงแน่ทันทีที่ออกจากร่างในชาตินี้ จะเป็นการช่วยตนเอง ให้มีโอกาสหาที่ทางเตรียมไว้สำหรับชีวิตใหม่ ที่ต้องพบแน่ในวันหนึ่งข้างหน้า เพียงแต่อาจจะช้า หรืออาจจะเร็วเท่านั้น

ใครจะไม่มีภพชาติใหม่ไม่มี นอกจากพระอรหันต์ ผู้ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิงเท่านั้น ที่ท่านจะไม่เกิดอีกต่อไปแล้ว.."

พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร







"..เป็นครูสอนคนอื่นก็ดีอยู่ หากสอนตัวเองด้วยก็จะดีมากขึ้น
เราตรวจคะแนนให้คนอื่น ข้อนี้ถูก ข้อนั้นผิด
เราเคยตรวจดูตัวเองบ้างหรือเปล่า
วันเวลาผ่านไปตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
คะแนนฝ่ายดีกับคะแนนฝ่ายชั่วนั้น
ข้างไหนมันมากน้อยกว่ากัน กับไปตรวจตัวเองเด้อ

ศีลมีมากหลายข้อ ไม่ต้องรักษาหมดทุกข้อดอก
รักษาแต่ใจของเจ้าให้ดีอย่างเดียวให้ดี
กาย วาจา ก็จะดีไปด้วยกันนั่นแหละ.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ผาง จิตตฺคุตฺโต
วัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
(พ.ศ.๒๔๔๕-๒๕๒๘)







“อย่าเข้าใจไปว่าต้องเรียนมาก
ต้องปฏิบัติลำบากจึงพ้นได้
ถ้ารู้จริงสิ่งเดียวก็ง่ายดาย
รู้ดับให้ไม่มีเหลือเชื่อก็ลอง

เมื่อเจ็บไข้ความตายจะมาถึง
อย่าพรั่นพรึงหวาดไหวให้หม่นหมอง
ระวังให้ดีดีนาทีทอง
คอยจดจ้องให้ตรงจุดหลุดให้ทัน

ถึงนาทีสุดท้ายอย่าให้พลาด
ตั้งสติไม่ประมาทเพื่อดับขันธ์
ด้วยจิตว่างปล่อยวางทุกสิ่งอัน
สารพันไม่ยึดครองเป็นของเรา

ตกกระไดพลอยโจนให้ดีดี
จะถึงที่มุ่งหมายได้ง่ายเข้า
สมัครใจดับไม่เหลือเมื่อไม่เอา
ก็ดับเราดับตนดลนิพพาน”

ท่านพุทธทาสภิกขุ







"ชีวิตของเรา เป็นของไม่ยั่งยืน
เป็นของที่จะต้องตายลงโดยแท้แน่นอน
เวลานี้เราอาจจะได้ยินข่าวมรณกรรม
ของผู้อื่น ของพระอื่น แต่อีกไม่นาน
ข่าวนั้นต้องเป็นของเราบ้าง เพราะทุกชีวิต
จะต้องเป็นไปในลักษณะนี้ ทั้งนั้น
ฉะนั้น อย่าประมาทเรื่องความตาย
ให้เร่งภาวนาทำจิตใจให้หมดกิเลส
หมดทุกข์หมดร้อนให้ได้ก่อนความตายจะมาถึง"

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร






“เวลาของชีวิตเรา
มันน้อยลงไปทุกวัน
ไม่มีมากขึ้น อายุมากขึ้น
แต่เวลาที่จะอยู่มันน้อยลง
อย่าไปหลงผิด
คิดว่าจะมีอายุมากขึ้น
จะอยู่นานขึ้น ไม่ใช่
จะอยู่น้อยลงไป
นี่คือธรรมะ
ที่ต้องผลิตขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ

#คติธรรม
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






"..ธรรมเป็นเครื่องปกครองทรัพย์สมบัติ และปกครองใจ ถ้าใจมีธรรมมากหรือน้อย มีทรัพย์สมบัติมากหรือน้อย ย่อมมีความสุขพอประมาณถ้าขาดธรรมเพียงอย่างเดียว ลำพังความอยากของใจที่พยายามหาทรัพย์ให้ได้กองเท่าภูเขาก็ยังหาความสุขไม่เจอ เพราะนั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัยของกายและใจ ถ้าใจไม่ฉลาดด้วยธรรมเพียงอย่างเดียว จะไปอยู่ในโลกใด และมีกองสมบัติเท่าใด ก็เป็นเพียงโลกเศษเดน และกองสมบัติเศษเดนเท่านั้น ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ใจเลยสักนิดเดียว ความสมบุกสมบัน การได้รับทุกข์ทรมาน ความอดความทน และความทนทานต่อสิ่งกระทบกระทั่งต่าง ๆ ไม่มีอะไรแข็งแกร่งเท่าใจ ใจถ้าได้รับความช่วยเหลือที่ถูกทาง ใจจะกลายเป็นของประเสริฐขึ้นมา ให้เจ้าของได้ชมอย่างภูมิใจ และอิ่มพอต่อเรื่องทั้งหลายทันที.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร








"ปล่อยใหัเวทนาแสดงไปเต็มที่"

ถาม: ท่านอาจารย์ครับ ตอนที่ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องคนเจ็บป่วยตอนที่จะตายนี่ เวทนาทางกายมาก มันก็ทำให้เวทนาทางจิตเกิดตามไปด้วย คนทั้งหลายไม่มีความพร้อมที่จะรับกับสิ่งนั้น จะทําอย่างไรให้ความพร้อมมันมี

ตอบ: ต้องปฏิบัติธรรม ต้องพิจารณาธรรมะอยู่เรื่อยๆ เรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ว่าเป็นธรรมดา ก็จะลดความทุกข์ทางด้านจิตใจไปได้เยอะ ความทุกข์ทางกายมันแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เวลาที่เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วเกิดความทกขุ์นี่ จะมีทุกซ์ ๒ อย่างเกิดขึ้นมา ทุกข์กายกับทุกข์ใจ ทุกข์กายแค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ทุกข์ใจ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เวลาปฏิบัติทำจิตให้สงบนี้ จะเห็นได้ชัดเลยว่า ตอนที่จิตยังไม่สงบ จะมีความกังวล ความวุ่นวายใจเกี่ยวกับความเป็นความตาย พอจิตสงบลงไปปั๊บนี่จะเห็นเลยว่า ความเจ็บปวดของร่างกายมีนิด เดียวเอง ที่เจ็บปวดส่วนใหญ่อยู่ในใจ เช่นเวลาอดอาหาร ถ้าจิตไม่สงบนี่ มันฟุ้งซ่าน มันทรมาน คิดแต่เรื่องอาหาร แต่พอทําจิตให้สงบปั๊บ ความทุกช์ที่เกิดจากความฟุ้งซ่าน ความคิดปรุงนี่ มันหายไป เหลือแต่ความรู้สึกหวิวๆท้องเท่านั้นเองความทุกข์ทางกายนี่มันน้อยมาก เมื่อเทียบกับความทุกข์ทางใจ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์จึงไม่หวั่นไหว กับความเปินความตาย เพราะผ่านมา หมดแล้วเวทนาขนาดไหนก็ผ่านมาหมดแล้ว ผ่านมาเพียงทําจิตให้นิ่ง แล้วปล่อยให้เวทนาแสดง ไปเต็มที่ จนกว่าจะหายไปเอง อย่างหลวงตาท่านเล่าว่าท่านนั่งสมาธิทั้งคืน ทุกข์เวทนาก็มาถึง ๓ หรือ ๔ ระลอกด้วยกัน ระลอกแรกนี่เป็นเหมือนหนู ระลอกที่ ๒ เหมือนแมว ระลอกที่ ๓ หรือ ๔ เป็นเหมือนช้าง เหมือนกับถูกช้างเหยียบไปทั้งตัว ร่างกายทุกส่วนอวัยวะทุกส่วนมันปวดร้าวไปหมด แต่ถ้าใจไม่หวั่นไหวกบมัน พิจารณา แยกแยะกายให้ออกจากเวทนา ออกจากจิตได้ ความทุกข์ใจก็จะไม่มี มีแต่ความทุกข์กาย ที่ใจรับได้อย่างสบาย.

#ภาวนธรรม
กัณฑ์ที่ 25
2 กันยายน 2549
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
จุลธรรม 6





คนไม่มีเงิน หรือ ไม่มีเวลาจะไปวัด แต่อยากทำบุญ ก็เพียงเจริญเมตตาจิต ไม่ให้โกรธเกลียดใคร มีแต่ความรักให้แก่เขา วิธีนี้ถือเป็นการทำบุญที่ได้อานิสงส์มากทีเดียว..

#พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
วัดป่าสุคะโต






“พระพุทธศาสนาสามารถเปลี่ยนคนชั่ว
ให้เป็นคนดี ฉุดรั้งคนจะตกนรกให้ขึ้นสวรรค์
เปลี่ยนคนยากไร้ให้กลับเป็นมั่งมี สอนคนโง่
ให้กลายเป็นคนฉลาด และสำคัญที่สุดคือ
สามารถขัดเกลาชำระล้างคนสกปรกด้วย
กิเลส ให้กลับกลายเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์
หมดจดอย่างสิ้นเชิงด้วยปัญญา กระทั่ง
หลุดพ้นจากห้วงทุกข์แห่งสังสารวัฏ

นี้คืออานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของ
พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆเจ้า

อาตมภาพจึงขอให้ทุกท่านได้สำเร็จสมความ
ประสงค์สูงสุดทางพระพุทธศาสนา ด้วยการ
เจริญพุทธานุสติ เป็นเบื้องต้น และด้วยการ
ศึกษาพระกรรมฐานกองอื่น ๆ ต่อไป”
...
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อมฺพรมหาเถร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก






ลองพิจารณาดูว่าเวลาทุกข์ เมื่อมี
เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าเรา
คิดถึงแต่ตัวเอง เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
หรือเปล่า คนที่มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวกู
ของกูมาก จะเป็นคนที่ทุกข์ง่าย หากว่าเรา
มีตัวกูของกูสูง หรือว่ามีอัตตาสูง เวลาใคร
แนะนำอะไรเรา เราก็ไม่พอใจแล้ว บ่นในใจ
ทันทีว่า มาแนะนำฉันได้อย่างไร แล้วเธอล่ะ
ทำดีแค่ไหน เราทุกข์เมื่อได้ยินคำแนะนำ
ของเพื่อนก็เพราะเราปล่อยให้มันมากระทบ
กระแทกอัตตา จึงรู้สึกเสียหน้า หรือรู้สึกว่า
ฉันยังดีไม่พอ ยังมีข้อบกพร่อง ตัวอัตตา
มันจะไม่ชอบเลย ถ้าหากว่ามีคนมาเตือน
มาบอกว่าฉันยังมีข้อบกพร่อง ฉันยังไม่ดีพอ
แต่สำหรับคนที่รู้ทันอัตตา หรือคนที่มีอัตตา
น้อย เขาจะขอบคุณคนที่มาทักท้วง
หรือแนะนำ เพราะชี้ช่องทางให้เขาปรับปรุง
งานหรือปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เขาจะไม่
คิดว่าเขาว่ากู ทำให้กูเสียหน้า แต่จะมองว่า
ที่เขาพูดมามันถูกไหม จริงไหม มันมีประโยชน์
หรือเปล่า การมองแบบนี้ทำให้ใจไม่ทุกข์
และได้ประโยชน์ด้วย การมองแบบนี้
พุทธศาสนาเรียกว่า ธรรมาธิปไตย คือ
การเอาธรรมะหรือความถูกต้องเป็นใหญ่

อธิปไตยแปลว่าความเป็นใหญ่ ในกรณีนี้
หมายความว่า เราเอาอะไรเป็นใหญ่ เอาอะไร
เป็นหลักในการตัดสินใจ
ธรรมาธิปไตย หมายถึงการตัดสินหรือคิด
โดยเอาธรรมะเป็นใหญ่ ธรรมะในที่นี้
หมายถึงความจริง ความถูกต้อง ความดี
เช่น เวลามีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ เขาก็จะดูว่า
ที่พูดมานั้นจริงไหม ถูกไหม มีประโยชน์ไหม
เรียกว่าเอาธรรมะเป็นใหญ่
แต่คนที่เมื่อถูกแนะนำหรือต่อว่า เอาแต่คิดว่า
เขาว่ากู เขาหักหน้ากู อย่างนี้เรียกว่าเอาตัวตน
เป็นใหญ่ คือ อัตตาธิปไตย ...
...
พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO