#ให้พร
"วันนี้มีโยมมาขอพร ขอพรอะไร ขอพรอะไรก็ได้ทั้งนั้นล่ะ ว่างั้น ถ้าอย่างนั้นก็จะให้พรที่ดีที่สุด คือ..ให้ภาวนาดีๆ
พระพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการภาวนา พระอรหันตสาวกเจ้า เป็นพระอรหันต์ด้วยการภาวนา พิจารณาดูแล้ว ไม่มีอะไรดีเท่าการบำเพ็ญภาวนา พ้นจากทุกข์ได้เพราะการภาวนา"
กราบโอวาทธรรม...หลวงปู่แบน ธนากโร
พระพุทธองค์ตรัสว่าผู้ที่ไม่ฝึกจิตของตน เปรียบได้กับคนที่มีบ้านหลังคารั่ว เขาอาจเคยชินกับช่วงที่ไม่มีฝน จนเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและแรงงานซ่อมหลังคา ครั้นฝนตก น้ำที่รั่วลงมาย่อมสร้างความ เสียหายอย่างใหญ่หลวง
ในเวลาที่อะไรในชีวิตดำเนินไปด้วยดี เราอาจเห็นคุณค่าของการฝึกจิตไม่ชัด แต่เมื่อต้องผจญกับมรสุมชีวิตอันยากลำบาก การฝึกจิตย่อมมีคุณค่าอย่างชัดเจน ผู้มีปัญญาจึงพยายามเตรียมพร้อมต่อ ทุกสถานการณ์ เห็นทั้งคุณและโทษของการ มองโลกในแง่ดี ความปลอดภัยอันแท้จริง ย่อมเกิดจากการฝึกตนอย่างสม่ำเสมอ บนหนทางของพระบรมศาสดา ... ... ธรรมะคำสอนโดย พระอาจารย์ชยสาโร
ผู้ที่หลงเพลิดเพลินอยู่กับความพอใจและไม่พอใจ จึงได้หนังสือเดินทางการท่องเที่ยวของภพชาติติดตัวไปตลอด #ความพอใจและไม่พอใจเป็นอาหารชั้นยอดของกิเลส
#พระคุณแม่จันดี โลหิตดี
" สมาธิ โดยบริกรรมพุทโธ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี " เก็บไว้ศึกษากันดีดีครับ
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
พึงนั่งสมาธิดังนี้
พึงนั่งสมาธิดังนี้ เอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งตัวให้ตรงแล้วนึกเอาคำบริกรรมพุทโธๆ กำหนดไว้ที่ท่ามกลางหน้าอก คือ “ใจ” อย่าให้จิตส่งส่ายไปมาข้างหน้าข้างหลัง พึงตั้งสติสำรวมจิตให้อยู่คงที่เป็นเอกัคตาจิตแน่วแน่ จิตก็จะเข้าถึงสมาธิได้เลย
เมื่อเข้าถึงสมาธิแล้ว บางทีก็ไม่รู้ตัวหายเงียบไปเลย ไม่รู้ว่าเรานั่งนานสักเท่าใด กว่าจะออกจากสมาธิก็เป็นเวลาตั้งหลายชั่วโมงก็มี เพราะฉะนั้น การนั่งสมาธิจึงไม่ต้องกำหนดเวลา ให้ปล่อยตามเรื่องของมันเอง
จิตที่เข้าถึงสมาธิแท้ คือ จิตที่เป็นเอกัคตาจิต ถ้าไม่เข้าถึงเอกัคคตาจิตได้ชื่อว่ายังไม่เป็นสมาธิ เพราะใจแท้มีอันเดียว ถ้ามีหลายอันอยู่ยังไม่เข้าถึงใจ เป็นแต่จิต
“จิต” กับ “ใจ”
ก่อนจะฝึกหัดสมาธิ พึงข้าใจถึง “จิต” กับ “ใจ” เสียก่อน ในที่นี้พึงเข้าใจกันเสียก่อนว่า “จิต” กับ “ใจ” มิใช่อันเดียวกัน
“จิต” เป็นผู้นึกคิดนึกปรุงแต่งสัญญาอารมณ์สรรพสิ่งทั้งปวง “ใจ” เป็นผู้นิ่งอยู่เฉยๆ เพียงแต่รู้ว่านิ่งอยู่เฉยๆ ไม่มีคิดนึกปรุงแต่งอะไรอีกเลย เปรียบเหมือนแม่น้ำ กับคลื่นของแม่น้ำ เมื่อคลื่นสงบแล้ว จะยังเหลือแต่แม่น้ำอันใสแจ๋วอยู่อย่างเดียว
สรรพวิชาทั้งหลาย และกิเลสทั้งปวง จะเกิดมีขึ้นมาได้ ก็เพราะจิตคิดนึกปรุงแต่งแส่ส่ายหามา สิ่งทั้งปวงเหล่านั้น จะเห็นได้ชัดด้วยใจของตนเอง ก็ต่อเมื่อ จิตนิ่งแล้วเข้าถึงใจ
น้ำเป็นของใสสะอาดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่อมีผู้นำเอาสีต่างๆ มาประสมกับน้ำนั้น น้ำนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามสีนั้นๆ แต่เมื่อกลั่นกรองเอาน้ำออกมาจากสีนั้นๆ แล้ว น้ำก็จะใสสะอาดตามเดิม “จิต” กับ “ใจ” ก็อุปมาอุปมัยดังอธิบายมานี้
แท้จริงพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเทศนาไว้แล้วว่า จิตอันใด ใจก็อันนั้น ถ้าไม่มีใจ จิตก็ไม่มี จิตเป็นอาการ ใจไม่มีอาการ การฝึกหัดสมาธิภาวนา ไม่ว่าจะฝึกหัดโดยอาจารย์ใดและวิธีอะไรก็แล้วแต่เถิด ถ้าถูกทางแล้ว จะต้องเข้าถึงใจทั้งนั้น
เมื่อเข้าถึงใจ เห็นใจของตนแล้ว ก็จะเห็นสรรพกิเลสของตนทั้งหมด เพราะจิตมันสะสมกิเลสไว้ที่จิตนั้นทั้งหมด คราวนี้เราจะจัดการอย่างไรกับมันก็แล้วแต่เรา
หมอซึ่งจะรักษาโรคนั้นๆ ให้หายได้เด็ดขาด ก็ต้องค้นหาสมุฏฐานของโรคนั้นให้รู้จักเสียก่อน แล้วจึงจะวางยาให้ถูกกับโรคนั้นได้
เราบริกรรมพุทโธๆๆ ไปนานๆเข้า จิตก็จะค่อยคลายความฟุ้งซ่าน แล้วจะค่อยมารวมเข้ามาอยู่กับพุทโธ จิตจะตั้งมั่นเป็นอารมณ์อันเดียวกับพุทโธ จนเห็นจิตที่ว่า พุทโธอันใดจิตก็อันนั้นอยู่ตลอดทุกเมื่อ ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถใดๆ ก็เห็นจิตใสแจ๋วอยู่กับพุทโธนั้น
"ประคองจิต ไม่รีบร้อน"
เมื่อได้ถึงขนาดนั้นแล้ว ขอให้ประคองจิตนั้นไว้ในอารมณ์นั้น นานแสนนานเท่าที่จะนานได้ อย่าเพิ่งอยากเห็นนั่นเห็นนี่ หรืออยากเป็นนั้นเป็นนี้ก่อนเลย
เพราะความอยาก เป็นอุปสรรคแห่งจิตที่เป็นสมาธิอย่างร้ายแรง
เมื่อความอยากเกิดขึ้น สมาธิก็จะเสื่อมทันที สมาธิเสื่อมเพราะหลักสมาธิ คือ “พุทโธ” ไม่มั่นคง คราวนั้นแหละ คว้าหาหลักอะไรก็ไม่ได้ เกิดความเดือดร้อนใหญ่ คิดถึงแต่อารมณ์ที่เคยได้รับสมาธิความสงบสุขเมื่อก่อน จิตก็ยิ่งฟุ้งใหญ่ ฯลฯ
ฝึกหัดสมาธิให้เหมือนชาวนาทำนา เขาไม่รีบร้อน เขาหว่านกล้า ไถ คราด ปักดำ โดยลำดับไม่ข้ามขั้นตอน แล้วรอให้ต้นข้าวแก่ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เห็นเมล็ดไม่เห็นรวงเลย แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นของเขาว่า จะมีเมล็ดมีรวงวันหนึ่งข้างหน้าแน่ๆ เมื่อต้นข้าวแก่แล้วออกรวงมา จึงเชื่อแน่ว่าจะได้รับผลแน่นอน เขาไม่ไปดึงต้นข้าวให้ออกรวงเอาตามใจชอบ ผู้ไปกระทำเช่นนั้น ย่อมไร้ผลโดยแท้
การฝึกสมาธิภาวนาก็เช่นเดียวกัน จะรีบร้อนข้ามขั้นตอนย่อมไม่ได้ ต้องตั้งจิตให้เลื่อมใสศรัทธาให้แน่วแน่ ว่าอันนี้ล่ะ เป็นคำบริกรรมที่จะทำให้จิตของเราเป็นสมาธิได้แท้จริง แล้วอย่าไปลังเลสงสัยว่า คำบริกรรมนี้จะถูกกับจริตนิสสัยของเราหรือไม่หนอ คำบริกรรมอันนั้น คนนั้นทำมันเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำแล้วจิตไม่ตั้งมั่นอย่างนี้ใช้ไม่ได้
ถ้าจิตตั้งมั่นแน่วแน่ในคำบริกรรมที่ตนภาวนาอยู่นั้นแล้ว เป็นใช้ได้ทั้งนั้น เพราะภาวนาก็เพื่อต้องการทำจิตให้แน่วแน่เท่านั้น ส่วนนอกนั้นมันเป็นตามบุญวาสนาของแต่ละบุคคล
ครั้งพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งไปภาวนาอยู่ใกล้สระน้ำแห่งหนึ่ง เห็นนกกระยางตัวหนึ่งโฉบปลากินเป็นอาหาร ท่านเลยถือเอาเป็นคำบริกรรมภาวนา จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นกกระยางกินปลาไม่เคยเห็นในกัมมัฏฐานบทใด แต่ท่านเอามาภาวนาจนสำเร็จ นี้เป็นตัวอย่าง
จิตตั้งมั่นในคำบริกรรม
จิตที่ตั้งใจอบรมให้อยู่ในขอบเขตของคำบริกรรมพุทโธๆๆ ซึ่งมีสติเป็นผู้ควบคุมแล้ว ย่อมจะละพยศตัวร้ายกาจของตัวเองได้ และเราก็ต้องฝึกฝนอบรม เพราะต้องการความสุขสงบของจิต ธรรมดาของจิตย่อมมีอารมณ์ส่งส่ายหาความฟุ้งซ่านเป็นวิสัยอยู่แล้ว ดังอธิบายมาแล้ว โดยมากมันจะส่งส่ายไปในอารมณ์เหล่านี้ คือ พอเริ่มบริกรรมพุทโธ เอาจิตไปตั้งไว้ในพุทโธๆ เท่านั้นแหละ มันจะไม่อยู่ในพุทโธๆ มันจะวิ่งไปหาการงานที่เราเริ่มจะทำหรือกำลังทำอยู่ ปรุงแต่งทำนั่นทำนี่วุ่นวายไปหมด กลัวการงานมันจะไม่ดีไม่งาม กลัวการงานนั้นมันจะไม่สำเร็จ การงานที่เรารับจากคนอื่น หรือรับเฉพาะส่วนตัวมันจะเสียผลประโยชน์หรือขายขี้หน้า เมื่อเรารับแล้วไม่ทำตาม ฯลฯ
นี่เป็นเรื่องรบกวนใจไม่ให้เป็นสมาธิของผู้อบรมใหม่อย่างหนึ่ง เราดึงเอาจิตมาไว้ที่พุทโธๆๆ นั้นอีก บอกว่านั่นมิใช่หนทางแห่งความสงบ ทางสงบแท้ต้องเอาจิตมาตั้งไว้ที่พุทโธแห่งเดียว แล้วบริกรรมพุทโธๆๆ เรื่อยไป ฯลฯ
ประเดี๋ยวส่งไปอีกแล้ว คราวนี้ไปถึงครอบครัวโน้น ส่งไปหาลูก ไปหาภรรยา ไปหาสามีโน้น เขาจะอยู่อย่างไร เขามีสุขภาพพลามัยดีหรือไม่หนอ ได้บริโภคอาหารดีมีรสหรือไม่หนอ ถ้าอยู่ห่างไกลกัน ก็คิดถึงที่อยู่ที่นอน จะอยู่จะกินอย่างไร ผู้จากไปก็คิดถึงผู้อยู่ทางบ้าน ผู้อยู่ทางบ้านก็คิดถึงผู้ไปไกล กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย กลัวคนอื่นจะมาข่มเหง ไม่มีผู้อยู่เป็นเพื่อน กลัวจะเหงาหงอย ฯลฯ คิดไปร้อยแปดพันเก้าสุดแท้แต่จิตจะปรุงจะแต่งไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันคิดไปเกินกว่าเหตุทั้งนั้น
หรือถ้ายังเป็นโสดยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ ก็จะปรุงจะแต่งไปในทางสนุกสนานเพลิดเพลินกับหมู่กับเพื่อน ที่เคยเที่ยวสนุกเฮฮาไปในที่ต่างๆ บางคนถึงกับอุทานออกมาเป็นเสียง ดังหัวเราะก้ากก็มี กิเลสตัวนี้มันร้ายแรงยิ่งกว่าเพื่อน
เมื่อภาวนาพุทโธๆๆ กิเลสมันเห็นว่าไม่ได้การแล้วเขาจะหนีจากเราไปอีกแล้ว มันก็จะสรรหาสิ่งที่จะผูกมัดให้เราติดมั่นเข้าทุกที เราเกิดมาตั้งแต่เด็กจนโตเราไม่เคยฝึกสมาธิภาวนาเลย มีแต่ปล่อยให้จิตไปตามอารมณ์ของกิเลส เพิ่งมาฝึกหัดเดี๋ยวนี้เอง เมื่อมาภาวนาพุทโธๆๆ เพื่อให้จิตมันมารวมอยู่ที่พุทโธ จิตมันจึงดิ้น เหมือนกับบุคคลโยนปลาขึ้นจากน้ำไปที่บนหาด ปลาย่อมดิ้นหาน้ำเป็นธรรมดา เราดึงเอา “จิต” ให้เข้ามาหา “พุทโธ” อีก
“พุทโธ” เป็นของเย็น
“พุทโธ” เป็นของเย็น เป็นทางให้เกิดสันติสุขมีทางเดียวเท่านี้ที่จะทำให้พ้นจากทุกข์ในโลกนี้ได้
เราดึงเอาจิตเข้ามาอยู่ในพุทโธๆ อีก หากคราวนี้พอสงบลงไปได้บ้าง พอรู้สึกว่าจิตมันอยู่ พอเห็นลางๆ ว่าจิตมันอยู่ มีความสุขสบาย ต่างกับจิตใจที่ไม่สงบ มีความทุกข์เดือดร้อน ตั้งใจระวังเอาสติประคองอารมณ์นั้นไว้ เอ้า ไปอีกแล้ว โน่น คราวนี้ไปยึดเอาผลประโยชน์มาเป็นเครื่องอ้างว่า ถ้าสิ่งนั้นเราไม่ทำหรือเราไม่แสวงหาก็จะเสียโอกาสอันมีค่ามหาศาล แล้วก็เอาจิตไปจดจ่ออยู่เฉพาะสิ่งนั้นแทนคำบริกรรมพุทโธ ส่วนพุทโธมันเลยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ว่า “พุทโธ” มันหายเสียแล้ว ก็สายเสียแล้ว จึงว่าจิตนี้เป็นของดิ้นรนกระเสือกกระสน รักษาได้ยาก เหมือนกับลิงอยู่ไม่เป็นสุข ฯลฯ
บางที นั่งสมาธิภาวนานานๆเข้า กลัวโลหิตจะไม่เดินหรือเดินไม่สะดวก กลัวเส้นประสาทจะตาย เกิดเป็นเหน็บชา ในที่สุดเป็นอัมพาต ถ้าไปภาวนาไกลบ้านหน่อย หรือในป่าก็ยิ่งกลัวใหญ่ กลัวเสือจะมากิน กลัวงูจะมากัด กลัวผีจะมาหลอกทำท่าทีต่างๆนานาใส่ ความกลัวตายยุบยิบไปหลายอย่างหลายประการ ล้วนแล้วแต่ตัวเองหลอกตัวเองทั้งนั้น ความจริงหาได้เป็นดั่งคิดนึกไม่ ตั้งแต่เราเกิดมาจนป่านนี้ ไม่เคยเห็นเสือกินคนเลยสักคนเดียว ผีก็ไม่เคยเห็นเลยสักที แม้แต่ตัวผีก็ไม่เคยเห็นสักเลยที ไม่ทราบว่าตัวมันเป็นอย่างไร แต่ก็ปรุงแต่งขึ้นมาหลอกตัวเอง
อุปสรรคของการภาวนาที่ชักตัวอย่างมานี้ พอเป็นตัวอย่างเท่านั้น ความจริงแล้วมันมีมากกว่านี้ตั้งหลายเท่า ผู้ภาวนาแล้วจะรู้ด้วยตัวเอง
หากว่าเรายึดเอาพุทโธๆมาไว้ที่ใจแล้ว เอาสติควบคุมจิตให้อยู่กับพุทโธอันเดียว ภัยอันตรายทั้งปวงจะไม่มาแผ้วผาน
ขอให้เชื่อมั่นในพุทโธจริงๆเถิด รับรองว่าไม่มีอันตรายแน่นอน เว้นเสียแต่กรรมเก่าที่เขาเคยได้กระทำไว้ นั่นเป็นของสุดวิสัย แม้นพระพุทธเจ้าก็ป้องกันให้ไม่ได้
เชื่อมั่นในพุทโธ
ผู้ภาวนาทั้งหลายแรกๆ ศรัทธายังอ่อน ไม่ว่าจะบริกรรมอะไรก็แล้วแต่เถอะ จะต้องถูกกิเลสเหล่านี้รบกวนด้วยกันทั้งนั้น เพราะกิเลสเหล่านี้มันเป็นพื้นฐานของโลกและพื้นฐานของจิต เมื่อเรามาภาวนาทำจิตให้เป็นอันเดียวเท่านั้นแหละ กิเลสเห็นว่าเราจะหนีจากมัน กิเลสเหล่านั้นมันจะมารุมล้อม ไม่ให้เราหนีจากโลกนี้ได้
ผู้มาเห็นโทษของมันว่าร้ายแรงอย่างนี้ แล้วทำใจให้กล้าหาญ ปลูกศรัทธาให้หนักแน่นมั่นคง คิดเสียว่าเราได้หลงเชื่อกิเลสมาหลายภพหลายชาติแล้ว คราวนี้เราจะยอมเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาพุทโธเป็นที่พึ่งล่ะ
แล้วตั้งสติให้มั่นคงทำใจให้แน่วแน่ในพุทโธให้เต็มที่ ยอมสละชีวิตเพื่อบูชาพุทโธ ไม่ให้จิตหนีจากพุทโธ เมื่อเราตั้งปณิธานไว้อย่างนั้นแล้ว จิตก็ดิ่งลงสู่อารมณ์เข้าถึงสมาธิได้
ผู้เข้าถึงสมาธิทีแรก จะมีอาการอย่างนี้คือ เราจะไม่ทราบเลยว่า สมาธิหรือจิตเป็นเอกัคคตารมณ์เป็นอย่างไร เราเพียงแต่ตั้งสติให้แน่วแน่สู่อารมณ์อันเดียว ด้วยอำนาจจิตตั้งมั่นสู่อารมณ์อันเดียวนั้นแหละ เป็นเหตุนำจิตให้เข้าถึงสมาธิได้ แล้วก็ไม่ได้คิดนึกว่า อาการของสมาธิเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และอยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ ใครๆจะบังคับให้มันเป็นไม่ได้
ในขณะนั้น จะมีความรู้สึกว่าเราอยู่อีกโลกหนึ่งต่างหาก (โลกจิต) มีความสุขสบายวิเวกหาอะไรเปรียบมิได้ในโลกนี้
เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิแล้วจะรู้สึกเสียดายอารมณ์อันนั้น และจำอารมณ์อันนั้นได้แม่นยำ ที่พูดกันอยู่ทุกวันนี้ ล้วนแล้วแต่จิตถอนออกมาจากอารมณ์นั้นทั้งนั้น ในขณะที่จิตกำลังรวมอยู่นั้น ใครจะพูดจะทำอะไรไม่รับรู้ทั้งหมด
เราต้องฝึกจิตให้เข้าถึงสมาธิอย่างนี้อยู่บ่อยๆ เพื่อให้ชำนิชำนาญ แต่อย่าไปจำเอาอารมณ์เก่า อย่าอยากให้เป็นอย่างเก่า มันจะไม่เป็นอย่างนั้น ซ้ำจะยุ่งใหญ่ เป็นแต่เราค่อยภาวนาพุทโธๆ ให้จิตอยู่ในคำบริกรรมนั้นก็แล้วกัน มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
จิตเป็นสมาธิใหม่ๆ เมื่อมันเป็นอีกมันจะไม่เป็นอย่างเก่า แต่ก็ช่างมัน มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ขอให้มันเป็นสมาธิก็แล้วกัน มันเป็นหลายอย่าง จึงได้ความรู้กว้าง และมีอุบายมาก
ที่อธิบายมาโดยย่อนี้ พอเป็นนิทัศน์อุทาหรณ์ ขอผู้ทำตามนี้ จงอย่าได้เอามาใส่ใจ มันจะเป็นสัญญา ภาวนาจะไม่เป็นไป เพียงแต่จำไว้ว่าเป็นเครื่องเทียบเคียง ในเมื่อเราภาวนาเป็นไปแล้ว
ฝึกจิต เห็นใจ
ผู้ภาวนาทั้งหลาย ไม่ว่าจะภาวนาพุทโธหรือยุบหนอพองหนอ หรือสัมมาอะระหัง อะไรก็แล้วแต่ เมื่อจิตจะรวมเป็นสมาธิแล้ว ไม่คิดว่าจิตเราจะรวม หรือกำลังรวมอยู่หรืออะไรทั้งหมด แต่มันรวมของมันเองโดยอัตโนมัติ แม้ที่สุดแต่คำบริกรรมอยู่นั้น ก็ไม่ทราบมันวางเมื่อไร มันจะมีแต่ความสงบสุขอยู่อันหนึ่งต่างหาก ซึ่งมิใช่โลกนี้ และโลกอื่น หรืออะไรทั้งหมด และไม่มีใครหรือสิ่งอะไรทั้งสิ้น เป็นแต่สภาพของมันต่างหาก (ซึ่งเรียกว่า โลกของจิต)
ในที่นั้นจะไม่มีคำว่าโลกนี้ หรืออื่นใดทั้งสิ้น สมมติบัญญัติในโลกอันนี้จะไม่ปรากฎในที่นั้น เพราะฉะนั้น ในที่นั้นมันจะไม่เกิดปัญหาอะไรๆทั้งสิ
#โอวาทธรรม หลวงปู่สำเร็จมหาศิลา สิริจันโท
" ดีใจนั่นเป็นบุญ ใจดีเป็นกุศล บุญกุศล คือความสุขในการเฮ็ดคุณงามความดี นึกถึงยามได๋ก็มีความสุขยามนั่นใจสบายยามนั่น บุญกุศลเมื่อเฮ็ดหลายเข้าๆก็กลายเป็นบารมี เมื่อบารมีถึงขั้นใดขั้นนึงแล้ว ปรารถนาแนวได๋กะสิเป็นไปตามที่เฮาปรารถนา เพราะอานุภาพของบุญ "
-:- พระคุณหลวงปู่พระมหาศิลา สิริจันโท -:
คนเราถ้าไม่เห็นความสำคัญในตนเพียงอย่างเดียว ย่อมขาดความสนใจที่จะรักนวลสงวนตัวเพื่อประพฤติดี ตลอดถึงการทำการงานเพื่อความสมบูรณ์พูนผลในทางโภคทรัพย์
อาจเป็นคนปล่อยตัว ปล่อยใจ ให้เสียไปวันละเล็กละน้อยจนกลายเป็นคนหมดหวัง ไม่มีทางพึ่งตัวเองได้ แม้คนอื่นจะมาพึ่งก็พึ่งไม่ได้
ในธรรมท่านสอนไว้ว่า อย่าประพฤติตัวเป็นคนรกโลก
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
#วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ
#กรรมเป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก
"...ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย ถ้าเรา สามารถรู้เห็นกรรมดีกรรมชั่ว ที่ตนและผู้ อื่นทำขึ้น เหมือนเห็นวัตถุต่างๆ จะไม่กล้า ทำบาป มีแต่จะกระตือรือร้น ทำแต่ความดี ซึ่งเป็นของเย็น เหมือนน้ำ ความเดือนร้อน ในโลกก็จะลดน้อยลง เพราะต่างก็รักษาตัว กลัวบาปอันตราย
ท่านว่า ดี ชั่ว มิได้เกิดขึ้นมาเอง แต่อาศัย การทำบ่อยก็ชินไปเอง เมื่อชินแล้วก็กลาย เป็นนิสัย ถ้าเป็น ฝ่ายชั่ว ก็แก้ไขยาก คอย แต่จะไหลลงตามนิสัยที่เคยทำอยู่เสมอ ถ้าเป็น ฝ่ายดี ก็นับว่าคล่องแคล่วกล้าขึ้น เป็นลำดับ..."
โอวาทธรรม หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
"..หลวงปู่มั่นท่านได้แสดงความห่วงใยของจิตว่า เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอุปสรรคได้อย่างมากมาย เวลาจะพรากจากขันธ์ นักปราชญ์ท่านจึงสอนให้ระวังจิตไม่ให้เป็นอารมณ์ห่วงใยกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น กลัวจิตจะประหวัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นที่รักบ้าง เป็นอารมณ์ขุ่นมัวในใจบ้าง เช่น ความโกรธแค้นในผู้หนึ่งผู้ใด ขณะจิตจะออกจากร่างเป็นขณะที่สำคัญมาก อาจไปเกาะเอาอารมณ์ที่ไม่ดีเข้าแล้วกลับมาเป็นไฟเผาตัว จากนั้นก็ไปเกิดในทุคติภพมีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นภพกำเนิดที่ไม่พึงปรารถนา และให้ความทุกข์ร้อนตลอดภพนั้น ๆ ฉะนั้นการฝึกอบรมจิตเมื่ออยู่ในฐานะที่ควรทำได้จึงควรสนใจอย่างยิ่ง ฝึกให้รู้เรื่องของจิตเสียแต่ยังเป็นคนที่รู้ ๆ เห็น ๆ เรื่องของตนอยู่ทุกขณะ นี้เป็นความชอบแท้ เมื่อทราบว่ายังบกพร่องส่วนใดจะได้รีบแก้ไขดัดแปลงเสีย เวลาเข้าตาจนแล้วจะได้มีทางรักษาตัวทันกับเหตุการณ์ ไม่ต้องวิตกวิจารณ์ว่าจะเสียทีให้ความชั่วทั้งหลายเข้ามาเหยียบย่ำทำลายได้ ยิ่งฝึกให้ขาดความสืบต่อกับอารมณ์ดีชั่วทั้งหลายอย่างประจักษ์แล้ว ยิ่งประเสริฐเลิศโลกไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน นักปราชญ์ท่านเห็นความสำคัญของใจว่าประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในสามภพ ท่านจึงพยายามฝึกใจให้ไปถูกทาง และสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติต่อใจด้วยดีเพราะการขาดทุนสูญทรัพย์นอกภายใน ขึ้นอยู่กับใจเป็นสำคัญ เวลาเป็นอยู่ก็อยู่ด้วยใจ สุขด้วยใจ ทุกข์ด้วยใจ เวลาตายไปก็ไปด้วยใจ เกิดเป็นกำเนิดต่าง ๆ ดีหรือชั่วก็เกิดด้วยใจ เสวยกรรมทั้งหนักทั้งเบา ทั้งดีทั้งชั่ว ด้วยใจเป็นเหตุทั้งมวล ไม่มีสิ่งใดพาให้เป็น มีใจดวงเดียวเท่านั้นพาให้เป็นไป ใจจึงควรได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดีเสมอ เพื่อรู้วิธีปฏิบัติต่อตัวเองทั้งปัจจุบันและอนาคต.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
ความเข้าใจเรื่อง “ศีล” การรักษาศีล มีความมุ่งหมายอย่างไร? . …. “สําหรับคําว่า “ศีลวัตร” บางคนก็เข้าใจแล้ว บางคนก็ยังไม่เข้าใจ ศีลวัตร ก็คือ สีล กับ วตฺต อย่างนี้ก็ได้, ศีลวัตร คือ ศีลกับวัตร อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน แต่ในที่นี้อยากจะเล็งถึงศีลและวัตร รวมกันเป็น ๒ อย่าง : ศีลเป็นอย่างหนึ่ง วัตร เป็นอย่างหนึ่ง …. คําว่า “ วรฺต ” ในภาษาสันสฤตหรือ “ วตฺต ” ในภาษาบาลีนั้น มาแปลงเป็นไทย เรียกว่า วัตร หรือ “พรต”. “ศีล” ก็คือ “ศีล”, “วัตร” ก็คือ “พรต”. พรต ก็คือ การบําเพ็ญพรต, ศีลก็คือการบําเพ็ญศีล. บําเพ็ญศีล และ บําเพ็ญพรต นี้ต่างกันอย่างไร? …. คําว่า “ศีล” เราหมายถึง หัวข้อสําคัญๆ ที่บังคับให้ต้องปฏิบัติ คําว่า “วัตร” นั้น หมายถึง เรื่องเล็กน้อยที่เกี่ยวกับศีลนั่นเอง หากแต่ว่าไม่สําคัญเท่ากับสิ่งที่เรียกว่าศีล ก็เลยเรียกว่า “วัตร”, แล้วก็ไม่บังคับเฉียบขาดเหมือนกับสิ่งที่ เรียกว่า ศีล …. เดี๋ยวนี้ การปฏิบัติในทางศาสนายังไม่ดีจนเป็นที่น่าพอใจ เพราะว่ารากฐานอันแรกคือ ศีล นี้ ยังไม่ดี ทีนี้ การที่จะมีสมาธิมีธรรมะสูงขึ้นไป จึงทําไม่ได้ เพราะรากฐานยังไม่ดี. และโดยเฉพาะคนสมัยปัจจุบันนี้ มีอยู่เป็นส่วนมากที่เป็น “วัตถุนิยมจัด” คือ บูชาวัตถุ บูชาเรื่องทางเนื้อหนังมาก พวกนี้จะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า “ศีล” เลย. หรือจะรู้จักก็รู้จักผิดๆ ถ้าพูดให้ดีแล้วก็ไม่รู้จักนั่นแหละมากกว่า คือ เมื่อรู้จักผิดๆก็มีผลเท่ากับไม่รู้จัก ฉะนั้น จึงถือว่าไม่รู้จัก …. คนพวกนี้ได้ยินเขาพูดกันว่า ที่วัดมีการรักษาศีล หรือถ้าเดินผ่านวัดไปเขาก็มองเห็นว่า พวกโน้นเขารักษาศีลกันอยู่ แล้วก็ไม่รู้ว่ารักษาอย่างไร? เพื่ออะไร? ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องมงายของคนหัวโบราณ ก็รู้เท่านี้ ว่าเขารักษาศีลกันอยู่ รักษาศีลเพราะไม่มีอะไรจะทํา คิดไปเสียอย่างนี้ก็ได้ หรือเพราะว่าคนที่รักษาศีลทําอะไรไม่น่าดู : คนที่ไปรักษาศีลอยู่ในโบสถ์แท้ๆนี้ก็ยังพูดเรื่องที่ไม่ควรพูด, หรือ บางทีไปทําสิ่งที่ไม่ควรทํา ใช้โบสถ์นั้นเป็นตลาด สําหรับแลกเปลี่ยนซื้อขายอะไรกันก็มี; ก็เป็นที่ดูถูกของคนสมัยนี้ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งด้วย คนสมัยวัตถุนิยมจึงประณามว่าเรื่องของคนที่ถือศีลนี้ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ …. ด้วยเหตุผลทั้งหมดอย่างที่กล่าวมานี้ ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องแสดงว่า เราจะต้องปรับปรุงกันเสียที ให้การปฏิบัติเรื่องศีลวัตรนี้อยู่ในสภาพที่น่าพออกพอใจ คือว่า คนผู้รักษาก็ได้ประโยชน์ แล้วคนที่มองเห็นก็พากันเลื่อมใส หรือว่าอยากจะรักษาบ้าง บ้านเมืองก็จะเป็นสุขเพราะว่าคนมีศีล…. . ผลของการรักษาศีล …. ทีนี้ อยากจะให้รู้จักศีลโดยส่วนใหญ่กว้างขวางออกไป โดยเล็งเอาผลของการรักษาศีลเป็นเครื่องแบ่งประเภท: เพราะว่าศีลทั้งหลายที่ผู้รักษาศีลรักษากันอยู่นี่ แบ่งออกได้เป็น ๒ พวกใหญ่ๆ ว่า : ศีลที่เป็นไปเพื่อวัฏฏะ คือศีลที่รักษาเท่าไรอย่างไรก็ยังทําให้เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารนี้ และ ศีลอีกประเภทหนึ่ง ที่เมื่อรักษาแล้วจะพาออกไปนอกวัฏฏสงสาร…. …. ศีลประเภทที่ ๑ ที่ยังคงทําให้เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารนี้ คนชอบกันมาก, ทายกทายิกาทั้งหลายรักษาศีลประเภทนี้กันเป็นส่วนมาก. ที่เห็นง่ายๆ เช่น รักษาศีลแล้วจะได้เกิดในสวรรค์: อย่างนี้ก็เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร: วนไปสวรรค์ หมดกําลังเข้าแล้ว ก็กลับมามนุษย์, นี้ก็เรียกว่า เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ ไม่เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยสิ้นเชิง คือ “นิพพาน”. ศีลที่รักษากันอยู่โดยมากก็ว่าจะได้บุญ แล้วบุญจะช่วยเราให้สวย ให้รวย ให้อะไร ตามที่เราต้องการนี้ แต่ว่าความต้องการของเราเป็นเรื่องวัฏฏะทั้งนั้น : ให้สวยก็อยู่ในวัฏฏะ ให้รวยก็อยู่ในวัฏฏะ ให้ดี ให้เด่น ให้มีอํานาจวาสนา ก็อยู่ในวัฏฏะ…. …. ศีลประเภทที่ ๒ ไม่เป็นไปเพื่อวัฏฏะ แต่เป็นไปเพื่อ “วิวัฏฏะ” คือออกไปเสียจากวัฏฏะ ผู้ที่รักษาศีลประเภทนี้ไม่ได้รักษาศีลด้วยกิเลสใช้ให้รักษา. พวกแรกนั้นกิเลสมันใช้ให้รักษา; ส่วนพวกนี้สติปัญญาหรือ “โพธิ” ใช้ให้รักษา ว่าแกจงรักษาศีลเพื่อออกไปเสียจากการเวียนว่าย. #เอาผลของศีลเพื่อส่งเสริมให้เกิดสมาธิ_ปัญญา_ไปสู่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่รักษาศีลเพื่อจะเอาสวรรค์วิมาน เพื่อสวย เพื่อเอร็ดอร่อย ซึ่งเป็นเหตุให้เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะนี้…. …. มีคําพูดที่พูดกันอยู่เสมอว่า : “ดอกไม้มีกลิ่นหอม แต่ไม่ทวนลมได้ ส่วนศีลทวนลมได้” นี่เขาอุปมาเป็นกลิ่นหอม. หรือสวยก็เหมือนกัน : สวยอย่างที่ว่าประดับเพชรพลอยอย่างนี้ มันก็อย่างเด็กอมมือ : ถ้าสวยแท้จริงก็สวยอย่างความมีศีล มีความดี มีความเด่น, อยู่สบายในโลกนี้และโลกอื่นนอกจากโลกนี้ นี่หมายความว่า เผื่อว่ามันมีโลกอื่น หรือถ้าไม่มีโลกอื่น เราก็รับประกันได้เหมือนกันว่าเราอยู่ได้สบาย, ศีลทําให้บุคคลเป็นอย่างนี้ และทําให้สังคมนี้ จะเป็นสังคมเล็กสังคมใหญ่ก็ตามเถอะ มีสภาพน่าเลื่อมใส อยู่กันได้ด้วยความสงบสุข สามัคคี. อานิสงส์ของการไม่เบียดเบียนกันนั่นเหละ คือ อานิสงส์ของศีล มองดูกันด้วยสายตาแห่งความรัก เข้ากันได้สนิทเหมือนน้ำกับนม. นี้เป็นสํานวนบาลี พรรณนาอานิสงส์ของการที่สังคมมีศีล. …. เดี๋ยวนี้เรามองตากันด้วยความระแวง ความกลัว ความเกลียด เพราะไม่มีศีลกันทั้งสองฝ่าย หรือมีศีลฝ่ายเดียวก็ยังมองตากันด้วยลักษณะนี้ : ระแวง เกลียด กลัว อิจฉาริษยาใครก็ไม่รู้ แล้วก็เข้ากันไม่ค่อยจะได้ ขัดขวางกันเพราะความมีศีลไม่เหมือนกัน หรือไม่มีศีลเลย. …. “นอนไม่ต้องปิดประตู” นี้ก็เป็นคําโบราณมาก; มีในบาลี(พระไตรปิฎก) “นอนไม่ต้องปิดประตู ให้ลูกเต้ารําอยู่บนอก” อะไรในทํานองนี้มีมากเหลือเกิน ที่เป็นอานิสงส์ของการไม่เบียดเบียน; คนไม่ต้องกลัว ไม่ต้องระแวงใคร นอนไม่ต้องปิดประตูบ้าน หรือบ้านไม่ต้องทําประตู, นี่ ศีลประเภทโลกียะ ที่ประกอบด้วย“อุปธิ” มันก็ให้มากได้เพียงเท่านี้ คือให้อยู่กันเป็นผาสุกทั้งโดยส่วนเอกชนและสังคม …. ศีลประเภท “นิรูปธิกา” คือ “ไม่ประกอบด้วยอุปธิ” ศีลชนิดนี้ส่งไปทางสมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน ดังนั้น คนบางคนเขาปฏิบัติรักษาศีลประเภท นิรูปธิกา ไม่ต้องการสวรรค์วิมาน ไม่ต้องดีเด่นในสังคม ต้องการให้หมดกิเลสเร็วๆ ฉะนั้น มีศีลเมื่อไร ก็เป็นการบังคับกิเลสจากภายนอกเข้าไปทันที. กิเลสถูกบังคับจากภายนอกแล่นเข้าไปภายใน ก็ถูกสมาธิ ถูกปัญญาตัดฟันเอาอีก มันก็เลยตายหมด. “ศีล”นี้ ล้อมหรือต้อนกิเลสเข้าไปให้จนมุม ให้สมาธิกดหัวเอาไว้ ให้ปัญญาเชือดคอให้ขาด; กิเลสมันก็ตาย. รักษาศีลในรูปนี้ โดยความมุ่งหมายอย่างนี้ เป็น “นิรูปธิกา”; มีอานิสงส์เพื่อมรรคผลนิพพาน. นี่อานิสงส์โดยหลักใหญ่ใจความ มันก็มีอยู่อย่างนี้: โดยรายละเอียดก็ไปแจงดูก็แล้วกัน …. เดี๋ยวนี้ โลกไม่มีสันติภาพ เพราะว่าโลกไม่มีศีล, โลกปัจจุบันนี้ไม่มีศีล จึงไม่มีสันติภาพ. โลกปัจจุบันนี้ขาดศีล ไม่มีศีล ทําลายศีลทุกข้อเลย. นี่พูดโดยส่วนใหญ่ ว่าโลกปัจจุบันนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน ยกเว้นส่วนน้อย: ทีนี้ ส่วนใหญ่นั้นเป็นโลกที่ไม่มีศีล แล้วเดือดร้อนอยู่ทุกหัวระแหง อย่างที่เห็นๆกันอยู่: ไม่ต้องเชื่อคนอื่น เห็นได้ด้วยตนเองว่าโลกกําลังไม่มีสันติภาพยิ่งขึ้น ๆ ๆ จะร้อนระอุยิ่งขึ้น จะเอียงไปทางมิคสัญญีมากขึ้น...” . พุทธทาสภิกขุ ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาควิสาขบูชา ครั้งที่ ๓ ชุดโอสาเรตัพพธรรม หัวข้อเรื่อง “หลักปฏิบัติเกี่ยวกับศีลวัตร” เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๔ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “โอสาเรตัพพธรรม” หน้า ๖๙-๗๑, ๘๓-๘๕, ๙๙-๑๐๐ ----------------------------------- . กลิ่นดอกไม้ ลอยไปทวนลมไม่ได้ กลิ่นจันทน์ กลิ่นกฤษณา หรือ กลิ่นกะลำพัก ลอยไปทวนลมไม่ได้ ส่วนกลิ่นของ“สัตบุรุษ” ลอยไปทวนลมได้ เพราะสัตบุรุษขจรไปทั่วทุกทิศ ด้วยกลิ่นแห่งคุณ มีศีล เป็นต้น . ( พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่พระอานนท์ ) . คันธชาตสูตร พระไตรปิฎกภาษาไทย(มจร.) พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๒๐ ข้อ ๘๐ หน้า ๓๐๓-๓๐๕ . หมายเหตุ “สัตบุรุษ” หมายถึง คนสงบ, คนดี, คนมีศีลธรรม, คนที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม คือธรรมของสัตบุรุษ ในที่นี้หมายถึง โลกุตตรธรรม ๙ ( มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ) # ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. #
"..ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้า ชาติหลังหรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้ ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ ถ้าสวรรค์มีจริงถึง 16 ชั้นตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองโดยลำดับ หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตำรานั้น ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้ ต้องเพียรปฏิบัติ ทำวิปัสสนาญาณให้แจ้งความสงสัยก็หมดไปเองโดยสิ้นเชิง.."
โอวาทธรรมคำสอน พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ (พ.ศ.๒๔๓๑–๒๕๒๖)
ดวงตาเห็นธรรมนั้น คือดวงตาเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดเป็นเบื้องต้น มีความแปรไปเป็นท่ามกลาง มีความดับไปเป็นที่สุด
หลวงปู่ชา สุภัทโท
“บุญไม่ต้องเสียเงิน ศีลห้าก็ไม่ต้องเสียเงิน ความซื่อสัตย์ก็ไม่ต้องเสียเงิน ตั้งสติระลึกถึงบุญบริกรรม” พุทโธ “ นี้ก็ไม่ต้องเสียเงิน นี้พากันไปสร้างสติอยู่กับพุธโธ ไม่ต้องเสียเงิน สร้างให้มากจนมันใสจะออกมา แล้วจะรู้เองถ้ามันไม่สะอาดมันไม่รู้ พื้นฐานของบุญไม่ต้องเสียเงิน พื้นฐานของจิตดวงนี้เป็นคนจริง จริงคือสายทางเดินคือความซื่อสัตย์สุจริต ดังที่บอกแล้วว่าศาสนาคือแนวทางแห่งชีวิต และเป็นแนวทางของจิตที่จะดำเนินไปด้วยความปลอดภัยพระพุทธเจ้าก็แยกออกไว้หมดแล้ว สายทางแห่งกิเลสมีแต่สร้างให้พวกเราได้รับความทุกข์ชอกช้ำบอบช้ำน้ำใจว่านั้น กิเลสตัวนี้ทั้งเหยียบทั้งย้ำทั้งทำลาย ธรรมนี้มีแต่ขนออกจากกองทุกข์ พากันพยายาม สร้างบุญคือพุธโธภายในหัวใจๆๆๆ พวกเราก็จะได้ก้าวเดิน จิตดวงนี้ก็จะได้รับความสุขขึ้นไปเรื่อยๆๆๆตามกำลังของพวกเราเองไม่มีใครทำให้ เราต้องทำเอง อ้าวล่ะแค่นี้พอ”
พระธรรมเทศนา พระราชมงคลวชิรปรีดา วัดป่าดานวิเวกในพระบรมราชูปถัมภ์ บ้านแสงอรุณ ตำบลศรีชมภู อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ
..ถ้าบุญน้อย อุปสรรคในชีวิตก็มาก ..ถ้าบุญมาก อุปสรรคในชีวิตก็น้อย ..ถ้าบุญอ่อนกำลังลง หรือ บุญหมด.. ..บาปที่เคยทำไว้ ก็จะได้โอกาส ส่งผล ..ทำให้ชีวิต มีอุปสรรค ต่าง ๆ นานา
ด้วยเหตุนี้ เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะสั่งสมบุญ เพราะบุญ คือ เบื้องหลังความสุข ความสำเร็จ ในชีวิตทุกระดับ อย่างแท้จริง
#ขอบารมีหลวงปู่ศิลา_สิริจันโท
# สังฆทานคือ #
.....คือว่าการถวายทานนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททราบแล้ว ก็มีเรื่องๆ หนึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิด ที่พราหมณ์มีจิตต้องการเคารพในบุคคลเฉพาะที่มีอายุมากๆ แต่มีอายุมากๆ แก่เกินไปก็ไม่ชอบ ถวายพระเด็กเกินไปก็ไม่ชอบ ก็ไม่ทราบว่าแกพอสมควรของแกเป็นอย่างไร คือว่าการถวายทานนี่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราทราบไม่ได้ถึงพระผู้รับ หรือบุคคลผู้รับเพราะอานิสงส์ต่างกัน ถ้าบังเอิญไปถวายทานกับพระเอาอรหันต์เข้า อานิสงส์ก็สูงเป็นกรณีพิเศษ แต่ว่าองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสไว้เป็นพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือ การถวายสังฆทานผู้รับจะมีคุณสมบัติเพียงใดก็ไม่เป็นไร เพราะการถวายทานนี่เป็นการถวายแก่สงฆ์ อย่างไรๆ อานิสงส์สังฆคุณบุญราศีที่จะพึงได้รับ ได้รับมากจริงๆ แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ถ้าเผอิญพระผู้รับเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องตามคติของพระพุทธศาสนา ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าก็ยังมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ แต่ทว่าผู้รับถ้ากินเข้าไปหรือใช้ของเขา ในการถวายสังฆทานนี้ ตกนรกเองเป็นเรื่องของท่าน.....
โดย พระเดช พระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ) วัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี
" ธรรมปฏิบัติ ๗๓ "
"ทางสายพระอริยบุคคล" ๑๒ กันยายน ๓๕๖๘
"การตัดกรรม คือ การหยุดทำความชั่ว หยุดทำบาป
การตัดเวร คือ การหยุดการพยาบาท อาฆาตจองเวร ซึ่งกันและกัน คือไม่แก้แค้น ซึ่งกันและกัน
รู้จักคำว่า ให้อภัยซึ่งกันและกัน และผู้ที่ทำผิด ก็ให้รู้จักคำว่าขอโทษ ผู้ที่ถูกขอโทษ ก็รู้จักคำว่าให้อภัย อันนี้ เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร"
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
#แม้บรรดาท่านผู้บรรลุมรรคผลสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว
ท่านก็มีความเทิดทูนห่วงใยรักษาพระพุทธศาสนาอยู่ตลอดเวลาแน่นอน มิใช่ว่าความบรรลุธรรมสูงสุดจะทำให้ท่านไม่เห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา ยกกรณีท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เป็นตัวอย่างสำคัญ เพราะท่านจะต้องปฏิบัติเทิดทูนพระพุทธศาสนาสืบต่อสมเด็จพระบรมศาสดา ดั่งเป็นตัวแทนพระองค์ท่าน สมเด็จพระบรมศาสดาก็ยังเสด็จลงปรากฏพระวรกายให้ท่านพระอาจารย์ได้เฝ้า ได้เห็นการเดินจงกรมที่ถูก ได้ฟังการปฏิบัติทางจิตใจที่ให้ผลสำเร็จสูงสุด ได้เป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาองค์สำคัญอย่างงดงามอยู่จนทุกวันนี้
ต้องไม่ลืมความสำคัญด้วยว่า นอกจากท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ไม่ปรากฏว่าสมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จลงทรงสอนครูบาอาจารย์องค์ไหนอีก แม้ว่ามีอีกมากมายหลายองค์ที่ปฏิบ้ติตามคำสอนของท่านพระอาจารย์มั่นท่านจะได้ถึงความเป็นผู้ไกลกิเลสสิ้นเชิงแล้วเช่นเดียวกัน สมเด็จพระบรมศาสดาน่าจะทรงเห็นความสำคัญของท่านพระอาจารย์มั่นที่จะแทนพระองค์ท่านได้ดีตลอดมาจนทุกวันนี้
ดังนั้นอย่าประมาท ความดีของเราทุกคนอยู่ในความรู้เห็นของท่านผู้บรรลุธรรมชั้นสูงในพระพุทธศาสนาแน่นอน ควรได้รับการช่วยเหลือเพียงใด จะได้รับจากท่านแน่นอน อย่าประมาท อย่าท้อแท้ที่จะทำความดี ที่สำคัญที่สุดคืออย่าไม่เห็นความสำคัญของการปฏิบัติเพื่อให้ไกลกิเลสให้มากที่สุด เท่าที่จะสามารถทุ่มเทสติปัญญาปฏิบัติได้ อย่าประมาท
โอวาทธรรม #สมเด็จพระสังฆราชเจ้า_กรมหลวงวชิรญาณสังวร
#ธรรมเทศนาเรื่อง "แสงส่องใจ" #เทศน์ใน วันวันวิสาขบูชา 2547
บางคนพูดสิ่งที่คนอื่นรู้ว่าไม่จริงแน่นอน แต่เมื่อได้รับการตักเตือนว่ากล่าวกลับน้อยใจ และหาว่าถูกสบประมาท ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ทำไมเขาไม่รู้สึกละอาย คำตอบก็คือเขาไม่ได้ ตั้งใจโกหกคนอื่น แต่เขาโกหกตนเองเก่ง เสียจนเขาเชื่อว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริง
ผู้ที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตนเอง มากกว่าความจริง แยกระหว่างความจริงกับ เท็จไม่ได้แล้ว อาจจะเอาตัวรอดในสังคม ปัจจุบันได้เหมือนกัน แต่ในการเวียนว่าย ตายเกิดในวัฏสงสารมีแต่จะตกต่ำ ... พระอาจารย์ชยสาโร
อารมณ์ที่ไม่ดี อย่าให้มีที่ยืนในใจ
"…เอาอะไรแบ่งปันออกไปได้ ชีวิตก็เย็นแล้ว “ทาน” รู้จักการแบ่งไว้ก่อน ชีวิตจะเบา จะสบาย ทุกข์ก็หาที่ตั้งได้ยากขึ้น
ให้วิถีชีวิตค่อย ๆ เป็นไป ขัดเกลาทีละนิดละหน่อย วัน ๆ นึงอย่าให้สูญเปล่าไป ..แบ่งปันได้ จิตใจเย็น
ให้ทานแล้วก็ต่อยอด ฟังธรรม รักษาศีล ภาวนาไปด้วย..
ถ้าชีวิต จิตใจ ไม่มีหลัก ไม่มีฐานไว้ ความทุกข์มันเกิดได้ง่าย .. ชีวิตนั้น มุ่งจะเอาอยู่แล้ว ด้วยความที่จิต มันคอยจะจับฉวย ทำอะไรก็ตาม เดี๋ยวมันก็มั่นหมายมา
ถ้าเรา #ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต มาอยู่กับ ..การแบ่งปัน การรักษาศีล การภาวนา จิตจะไม่ไปติดข้องกับเรื่องทางโลก
วิถีชีวิต ..ไม่ได้มีอะไรมาก โลกทั้งโลก มันก็ #อยู่แค่ในจิต มันอยู่ที่ว่าจิตเราไปมั่นหมาย ไปมุ่งเอาอะไร ก็เท่านั้น
ใครแบ่งได้ จะเบาไปเลย โดยเฉพาะทำอะไร แล้วไม่ได้ดำริว่าต้องเอาอะไรเข้าตัว
#การปฏิบัติ ..ไม่ใช่แค่ว่ามาภาวนา มาให้ทาน มารักษาศีลกันเท่านั้น สุดท้ายมัน #จะกลายเป็นวิถีชีวิต ที่อยู่ยังไง มันก็สงบเย็น
อริยมรรค เรียกว่าขัดเกลาโดยที่จิตไม่ต้องไปมั่นหมาย ไม่ต้องอยากสงบ ทำไปเรื่อย ๆ อุทิศไปทั้งกายทั้งใจ มีแต่ได้
อยู่ให้มันสงบเย็นไว้ จิตเขาจะเคยคุ้น จิตเขาเคยคุ้นอะไรที่เป็นไปในฟากกุศล มันก็ทำกันได้ง่ายขึ้น แล้วผลพลอยได้ ..ความสงบ เป็นอะไรที่หาได้ยาก แต่มันทำกันได้ เพื่อนทุกข์คืออะไร? มันทุกข์เหมือนกัน จะดี จะร้าย จะรู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง จะหลง จะมีปัญญา เหมือนกันเลย เป็นเพื่อนที่ต้องดิ้นรนในวัฏสงสาร
วางอย่างงี้ไว้ได้ ค่อย ๆ ฝึกไว้ ให้เมตตา ค่อย ๆ เต็มมาในจิต คือปฏิฆะอารมณ์อะไรที่ไม่ดี อย่าให้มันมีที่ยืนเลย มันไม่ใช่เรื่องที่มีแล้วจะเป็นประโยชน์
มองอย่างงี้ได้ ก็เพื่อนเหมือนกันทั้งหมด คนที่เราไม่ชอบ ก็เพื่อน คนที่เขาไม่ชอบเราก็เหมือนกัน เพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย มีเหมือนกัน ให้เมตตามันเติมไปในจิต
เพราะสุดท้าย มันสะท้อนกลับเข้ามาที่จิตใจเรา ..เราไปเบียดเบียนเขา ก็มั่นหมายไว้เลย รู้ไว้เลยว่า อนาคตเดี๋ยวเราจะทุกข์กับเรื่องที่เราทำ
บางทีทำกันไปโดยที่ไม่รู้ตัว สุดท้ายเข้าตัว ตอนนั้นก็ไม่ต้องโวย เพราะสร้างเหตุปัจจัยไว้เอง จะไปโวยวายอะไร กลับมาดีกว่า ว่า..ชีวิตมันทุกข์ทั้งนั้น อย่าไปเติมเชื้อความทุกข์ให้บุคคลอื่นเลย
ถ้าให้ความสงบเย็นไว้ได้ ให้ทาน ที่เรียกว่า ..อภัยทานไว้ได้ จิตเราก็สงบเย็น จิตผู้อื่น คนแวดล้อมรอบข้าง เขาก็สงบเย็น คือ.. อานิสงส์มันไม่ได้ตกไกลตัว เกิดแก่คนรอบข้าง แล้วก็ตัวเราเองทั้งนั้น
เรื่องธรรมะไม่ใช่แค่เรื่องทฤษฎี ..ทฤษฎีมีประกอบในจิตไว้ดีแล้ว สุดท้ายเห็นผลจริงต้องลงมือปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติ จะเห็นเลยว่า ทำแล้วใจมันสงบ จิตจะไม่ค่อยเอนไปทางทุกข์…"
ธรรมบรรยาย โดย พระชยากร ภัททธัมโม เช้าวันอังคารที่ 1 เมษายน 2568
#พุทธศาสนาตัวแท้
ไม่ใช่หนังสือ ไม่ใช่คัมภีร์ ไม่ใช่เสียงบอกเล่าตามพระไตรปิฎก หรือตัวพิธีรีตองต่างๆ ซึ่งไม่ใช้ตัวแท้ของพระพุทธศาสนา ตัวแท้ต้องเป็น ตัวการปฎิบัติด้วยกายวาจาใจ ชนิดที่จะทำลายกิเลสให้ร่อยหรอ หรือหมดสิ้นไปในที่สุด ไม่จำเป็นต้องเนื่องด้วยหนังสือ ด้วยตำรา ไม่ต้องอาศัยพิธีรีตอง หรือสิ่งภายนอก เช่นผีสางเทวดา แต่ต้องเนื่องด้วยกาย วาจา ใจ โดยตรง คือจะต้องบากบั่นกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไป จนเกิดความรู้แจ่มแจ้ง สามารถทำอะไรให้ถูกต้องได้ด้วยตนเอง ไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนอวสาน นี่แหละคือตัวแท้ของพระพุทธศาสนา ในส่วนที่เราจะต้องเข้าถึงให้จงได้ อย่าได้ไปหลงยึดเอาเนื้องอกที่หุ้มห่อพระพุทธศาสนามาถือว่าเป็นตัวพระพุทธศาสนากันเลย...
โอวาทธรรม #พุทธทาสภิกขุ
#ที่มา บางตอนจากคู่มือมนุษย์ โดย พุทธทาสภิกขุ
โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่ฟัก สันติธัมโม
“..สมบัติค้างโลก ทำไมทำได้ทั้งวันทั้งคืน สมบัติที่ติดตัวไป แค่สองชั่วโมง ทำไมทำไม่ได้..”
“..พวกเราไม่เคารพไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เป็นการไม่รักตัวเองที่ชอบด้วยธรรม แต่เป็นการรักในกิเลสตัณหาโลภะอย่างไม่มีขอบเขต จึงทำลายตนเองและส่วนรวมอย่างสิ้นเชิง..”
“..อดีตผ่านมาแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ เริ่มต้นกันใหม่ที่ปัจจุบัน ให้ถูกต้องและสมบูรณ์ อนาคตคือวันข้างหน้า ถ้าต้นถูก ปลายมันก็จะถูก..”
“..ให้หมั่นสวดคาถาท่านพ่อลี
“…อะระหัง พุทโธ อิติปิโส ภะคะวา นะมามิหัง…”
เอาสัก ๓ รอบหรือ ๕ รอบ ถ้าเวลาไม่พอเอารอบเดียวเป็นนิจศีลนะ แล้วจึงนั่งสมาธิ ๕ นาทีหรือกว่านั้น แล้วแต่เวลา แล้วแผ่บุญตามแบบแล้วจึงค่อยนอนนะ ความเป็นมงคลกลับมาหาเราหมด ความดีนี้กลับมาหาเราหมด ไปที่ไหนมีแต่ความสุข..”
#นับอสงไขยไม่ได้_นับล้านอสงไขยไม่ถ้วน.
เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ มาตั้งแต่อดีต. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นเรื่องของสังขาร. รู้เท่าสังขาร รู้เท่าสมมุติ วางสังขารหมด วางสมมุติหมด ก็โลกวิทูรู้แจ้งโลก. รู้แจ้งโลกแล้วก็รู้แจ้งซึ่งธรรม. ฉะนั้น ไม่ให้ประมาท ให้ค้นอยู่ในก้อนธรรมเมาอันนี้ล่ะ.( สังขารร่างกาย)
โอวาทธรรม #หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ
|