นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 16 ก.ย. 2025 8:38 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พิจารณาระลึก
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 08 ก.ย. 2025 9:49 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5053
มาสว่างไปมืดนี้ ก็มีมากหลงเกิดตาย หลงเวียนวัฏฏะทุกจิตทุกดวง วิญญาณทุกดวงนะ ที่เป็นเทวดานางฟ้า เวลาจุติลงมาจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ตั้งใจไว้ว่า เมื่อได้เกิดแล้วจะสร้างบุญสร้างกุศล สร้างคุณงามความดี ให้ดีกว่าเดิม เพื่อจะได้ดีกว่าเดิมดังที่เป็นอยู่

แต่พอได้เกิดแล้วส่วนมากลืม ลืมในสิ่งที่ตนเองตั้งใจไว้ ลืมหมดเพราะหลงแทนที่ จะสร้างบุญสร้างคุณงามความดีกันต่อ กลับไปสร้างบาปสร้างกรรมเสียแล้วทำ ให้ชีวิตตนเองตกต่ำเข้าไปอีก นี่แหล่ะคนเรา

มนุษย์เรามีจำพวกเดียวที่ไม่หลงในชีวิตคือจำพวกที่เป็นพระอริยบุคคล ชั้นพระโสดาบันที่ลงมาเกิด นอกนั้นหลงหมด ลืมหมด

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป





"อย่าคิดว่าตัวเองบุญน้อยวาสนาน้อย
แล้วมาพูดให้ตัวเองท้อแท้ คิดแบบนั้นมันไม่ถูก
ถ้าคิดว่าตัวเองบุญน้อยวาสนาน้อย
ก็รีบสร้างเสริมบารมีให้กับตัวเองให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป
ทำให้เต็มที่ที่ตัวเองทำได้ คนที่เขามีปัญญา
เขาจะมุ่งหน้าทำเอา คนไม่มีปัญญา ก็รอเอา
แต่ลมแต่แล้ง สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์"

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม





“ถ้าให้อภัย ไม่ถือสา คิดเสียว่าสิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งที่เขาทำ ก็ผ่านไปแล้ว ย้อนกลับไปลบมันไม่ได้
แต่เราลบมันออกจากใจเราได้ ด้วยการให้อภัย
พอให้อภัยแล้ว ใจก็จะสงบเย็น”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






….ในเรื่องความรักและกิเลสตัณหาต่างๆ นี้หลวงปู่เจี๊ยะได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ถูกที่สุดว่า….
“ผู้ใดขยี้กามราคะ ตัณหา อันเป็นเหมือนเปือกตมได้
ขยี้หนามคือกามราคะ ตัณหาไปเสียได้ ผู้นั้นนับได้ว่าเป็นผู้หมดโมหะไม่สะทกสะท้านในนินทา สรรเสริญ ทุกข์หรือสุข
ถ้าใครปฏิบัติได้มันก็เป็นอย่างนั้น”

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท






“... สิ่งใดเป็นไปเพื่อทุกข์ เป็นไป
เพื่อโทษ ก็รีบชำระสะสางให้หมดสิ้นไป
จากดวงใจของเรา
ให้พึงเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอมิใช่
ว่าเราไม่รู้ คือให้รู้ภายในจิตใจของตน
อย่าส่งรู้ออกภายนอกจิตใจของตน
ให้พากันดูให้พากันฟัง สมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีอยู่ในตัว
เราทุกคนครบบริบูรณ์

... ขณะนี้เราอยู่ในสมถกรรมฐาน คือ
ความสงบ วางอารมณ์ภายนอกทั้งหมดได้ ไม่กำหนัดรักใคร่ยินดี
ใจไม่หงุดหงิด ไม่ซึมเซา ไม่ท้อแท้ และ
ไม่งมงาย เราอยู่ในวิปัสสนากรรมฐาน
ก็ตัดหมด ตัดภพ ตัดชาติทั้งหลาย

... อารมณ์สัญญาที่เป็นไปตามกระแส
โลกตัดหมด ไม่มีเหลือ เป็นเรื่องสมมติ
นิยมกันเท่านั้น
จิตของเราเป็นวิมุติ หลุดพ้นไปหมด
เรื่องภพ เรื่องชาติ เรื่องทุกข์ เรื่องภัย
ไม่มีอีกแล้ว นี้แหละเป็นข้อปฏิบัติ ...”
------------------------------
#หลวงปู่ฝั้น_อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม
จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)







“การให้ธรรมเป็นทาน คือการให้อันยอด
เพราะเป็นการช่วย ' หงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
หรือส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า
คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ' ใครมีส่วนร่วม
ในการส่งเสริม ศรัทธา ศีล จาคะ และ
ปัญญาในจิตใจของเพื่อนมนุษย์
ย่อมได้บุญอย่างยิ่ง” ...
...
พระอาจารย์ชยสาโร ( ๑ สิงหาคม ๒๕๕๗ )





"..ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ ถ้าใจหยาบทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นของหยาบไปด้วย เช่นเดียวกับร่างกายสกปรก แม้สิ่งที่มาคละเคล้ากับกายจะเป็นของสะอาดสวยงามเพียงไร ก็กลายเป็นของสกปรกไปตามร่างกายที่สกปรกอยู่แล้ว ฉะนั้นธรรมจึงอดจะหยาบไปตามใจที่สกปรกไม่ได้ ถึงจะเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หมดจด แต่พอคนมีใจโสมมเข้าไปเกี่ยวข้อง ธรรมก็กลายเป็นธรรมอับเฉาไปตาม เหมือนผ้าที่สะอาดตกลงไปคลุกฝุ่น หรือคนชั่วแบกคัมภีร์ธรรมอวดโลกให้เขารับนับถือ ซึ่งทั้งสองนี้ไม่มีผลดีต่างกันเลย คนที่มีใจหยาบกระด้างต่อศาสนาก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน จึงไม่มีทางได้รับประโยชน์จากศาสนธรรม แม้เป็นของวิเศษเพียงไรเท่าที่ควร เอาแต่ชื่อออกประกาศกันว่าตนนับถือศาสนา แต่ไม่ทราบว่าศาสนาคืออะไร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้นับถืออย่างไรบ้าง ถ้าประสงค์อยากทราบข้อเท็จจริงจากศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว ตนกับศาสนาก็เป็นอันเดียวกัน ความสุขทุกข์ที่เกิดกับตนย่อมกระเทือนถึงศาสนาด้วย ความประพฤติดีชั่วก็กระเทือนถึงศาสนาเช่นกัน คำว่าศาสนา คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิตนั่นแล จะเป็นอื่นมาจากไหน ถ้าคิดว่าศาสนาอยู่ที่อื่นนอกจากตัว ก็ชื่อว่าเข้าใจศาสนาผิดจากความจริง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






พุทธศาสนิกชนส่วนมากจะรู้จัก
การให้ทาน และการรักษาศีลกัน
พอสมควรแล้ว แต่อาจยังสงสัยว่า
การเจริญภาวนาคืออะไร โอกาสนี้
จึงขอเน้นย้ำเรื่องการภาวนา
‘ภาวนา’ หมายถึงการเจริญ การอบรม
การทำให้มีให้เป็นขึ้น ภาวนาไม่ได้
แปลว่าบริกรรมหรือท่องมนต์คาถา
โดยไม่รู้ความหมาย อย่างที่หลายคน
เข้าใจผิด หากแต่ในทางพระพุทธศาสนา
ย่อมหมายถึง การทำจิตใจให้สงบและ
ทำให้เกิดปัญญาขึ้น เพราะถ้าไม่มีปัญญา
เสียแล้ว ทานก็ให้ผิด ศีลก็รักษาไม่ถูก
เพราะไม่มีปัญญาพิจารณาด้วยเหตุผล
ที่ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ วิธีการเจริญภาวนา
จึงได้แก่การศึกษาอบรมให้รู้แจ้ง
ในพระสัทธรรม ...

พระคติธรรม สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก







ชาตินี้เราได้มีโอกาสฟังธรรมะ
ก็พยายามปรับความเห็นของตนเองให้ตรง
เชื่อบุญเชื่อบาป เชื่อผลบุญผลบาป
เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
เชื่อว่าเรามีกรรมเป็นของของตน

แล้วก็พยายามสะสมบุญกุศล
อะไรที่เป็นบาปเป็นอกุศลก็พยายามละ
แล้วก็รู้ รู้เท่าทันด้วย

#การที่บุคคลจะลงมือทำบาป
ทางกายทางวาจาหรือทางใจ
#มันต้องเกิดขึ้นในใจก่อน
#มันต้องมีอกุศลเกิดขึ้นในใจก่อน
#เป็นโลภะ #เป็นโทสะ #เป็นโมหะ
#เป็นมานะ #เป็นทิฏฐิ #เป็นอิจฉาริษยาขึ้นมา
#มันก็จึงลงมือกระทำบาปไปทางกายวาจาหรือทางใจ

บางคนโกรธพยาบาทก็แช่งเขาให้เขาเดือดร้อน
คิดร้ายก็เป็นอกุศลกรรมบถได้

บางคนมีความโลภก็คิดวางแผนจะทำทุจริตฉ้อโกง
ก็เป็นอกุศลกรรมบถได้

“กรรมบถ” หมายถึงเป็นบาทเป็นทางนำไปสู่อบาย
อกุศลกรรมบถสามารถนำไปปฏิสนธิในอบายภูมิ

#แต่ถ้าเป็นความโกรธธรรมดา #เป็นความโลภธรรมดา #เป็นความหลงธรรมดา
เช่น เสียใจ น้อยใจ
#ไม่ได้พยาบาทอาฆาต
#ไม่ได้ไปคิดวางแผนคิดร้ายโดยการพยาบาทอาฆาต
#ก็เป็นอกุศลธรรมดาๆ
#ไม่ถึงขนาดนำไปเกิดในอบายภูมิ
#กำลังไม่แรงพอแต่มันก็เป็นอกุศล
#จิตผู้นั้นก็เศร้าหมองเป็นอกุศล
#สะสมไว้มากๆมันก็ไปให้ผลในปวัตติกาลได้

“ปวัตติกาล” หมายถึงให้ผลตอนที่เกิดแล้ว
แต่ไม่สามารถให้ผลในปฏิสนธิกาล
คือนำไปปฏิสนธิ นำไปเกิดไม่ได้
แต่ถ้าเกิดแล้ว มันตามไปให้ผลได้เหมือนกัน
แล้วแต่หนักเบา หรือสะสมไว้มากน้อยขนาดไหน

ฉะนั้นบุญกุศลที่เราทำก็เหมือนกัน
ก็ตามส่งผลให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา
มีเจตนาดี ๓ กาล มีปัญญาเข้าประกอบ
ก็เป็นมนุษย์เป็นเทวดาที่มีไตรเหตุ
เป็นติเหตุกบุคคล
เทวดาชั้นต้นยังเป็นทวิเหตุกบุคคลก็มี
เป็นสุคติอเหตุกบุคคลก็พิกลพิการได้

ฉะนั้นเราฟังธรรมก็ฝึกหัดปฏิบัติ ฝึกเจริญสติ
คอยพิจารณาสังเกตสภาพของจิตใจตัวเอง
อกุศลธรรมเกิดขึ้น
กุศลธรรมเกิดขึ้น
อัพยากตธรรมเกิดขึ้น

“อัพยากตธรรม” ก็คือธรรมที่ไม่จัดเป็นบุญเป็นบาป
แต่ก็เป็นสภาพธรรม เป็นธรรมชาติ
ก็คือพวกอกุศลวิบาก หรือกุศลวิบาก หรือรูปธรรมทั้งหมด
เป็นอัพยากตธรรม

การเห็นคือผลของบุญ ผลของบาป
การเห็นดีเป็นผลบุญ เห็นไม่ดีเป็นผลบาป
ยังไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป
มันเป็นผล

ได้ยินเสียงเป็นผล
ได้ยินเสียงดี ได้ยินเสียงไม่ดี แล้วแต่บุญและบาปส่งผล
ได้กลิ่นเหม็น ได้กลิ่นหอม
ได้ลิ้มรสอร่อย ลิ้มรสไม่อร่อย
ได้สัมผัสทางกายที่ดี ไม่ดี

ถ้าอกุศลส่งผลทางกายก็ให้สัมผัสไม่ดี
ต้องปวดต้องเจ็บ ต้องร้อนต้องหนาว ต้องไม่สบายกาย
ถ้าบุญส่งผลก็ได้สัมผัสที่ดี
เย็นสบาย ร้อนก็มีความเย็น หนาวก็มีเครื่องอบอุ่น
ได้สัมผัสที่ดี

อย่างนี้มันเป็นวิบาก ยังไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป
เรียกว่าเป็นผลบุญผลบาปเกิด
ก็ต้องกำหนดรู้
รู้การเห็น ระลึกรู้สภาพได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส เป็นอัพยากตธรรม
ถ้าเลยจากนั้น พอได้ยินแล้วมันจะเลยไปเป็นกุศลอกุศลถ้าเราไม่มีสติ
เห็นแล้วไม่มีสติ เดี๋ยวก็โลภบ้าง โกรธบ้าง หลงบ้าง

ได้ยินถ้าไม่มีสติ เดี๋ยวก็ยินดียินร้าย
โลภะ โมหะ โทสะ มานะ ทิฏฐิเข้ามา

เวลาได้ยินเสียงด่าเป็นผลบาป
ใจยังไม่เป็นบาป เพียงแค่เสวยผลบาป
แต่พอเราโกรธพยาบาทอาฆาตคิดแก้แค้นเป็นบาปแล้วตอนนี้
เป็นอกุศล อกุศลธรรม
ได้ยินนั้นเป็นอัพยากตธรรม

นี้เป็นสภาวะเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น
ก็ต้องพิจารณาระลึกใส่ใจสังเกต ศึกษาพิจารณา
ให้เห็นว่า
จริง ๆ แล้วกุศล อกุศล อัพยากตเหล่านี้
มันก็เป็นเพียงสักแต่ว่าธรรมชาติ
มันก็ไม่ใช่ตัวตนอะไร ไม่ใช่ตัวเราของเรา
เห็นก็ไม่ใช่ตัวเรา ได้ยินก็ไม่ใช่ตัวเรา
รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา

ถ้าเราปฏิบัติไป ๆ ปัญญาเกิดขึ้น
ก็จะรู้เห็นว่ามันเป็นเพียงสักแต่ว่า
ธรรมชาติที่เกิดที่ดับ ที่หมดไป
เสื่อมสิ้น หมดไปสิ้นไป
จะได้ละความยินดียินร้าย ความยึดมั่นถือมั่น
อันเป็นทางแห่งความหลุดพ้นจากอาสวกิเลสได้

ธรรมบรรยาย จิตเป็นที่เกิดของธรรมทั้งหลาย
(รวมพระธรรมเทศนา หมวดกรรมฐาน ชุดที่ ๔)
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา







"..ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ ถ้าใจหยาบทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นของหยาบไปด้วย เช่นเดียวกับร่างกายสกปรก แม้สิ่งที่มาคละเคล้ากับกายจะเป็นของสะอาดสวยงามเพียงไร ก็กลายเป็นของสกปรกไปตามร่างกายที่สกปรกอยู่แล้ว ฉะนั้นธรรมจึงอดจะหยาบไปตามใจที่สกปรกไม่ได้ ถึงจะเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หมดจด แต่พอคนมีใจโสมมเข้าไปเกี่ยวข้อง ธรรมก็กลายเป็นธรรมอับเฉาไปตาม เหมือนผ้าที่สะอาดตกลงไปคลุกฝุ่น หรือคนชั่วแบกคัมภีร์ธรรมอวดโลกให้เขารับนับถือ ซึ่งทั้งสองนี้ไม่มีผลดีต่างกันเลย คนที่มีใจหยาบกระด้างต่อศาสนาก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน จึงไม่มีทางได้รับประโยชน์จากศาสนธรรม แม้เป็นของวิเศษเพียงไรเท่าที่ควร เอาแต่ชื่อออกประกาศกันว่าตนนับถือศาสนา แต่ไม่ทราบว่าศาสนาคืออะไร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้นับถืออย่างไรบ้าง ถ้าประสงค์อยากทราบข้อเท็จจริงจากศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว ตนกับศาสนาก็เป็นอันเดียวกัน ความสุขทุกข์ที่เกิดกับตนย่อมกระเทือนถึงศาสนาด้วย ความประพฤติดีชั่วก็กระเทือนถึงศาสนาเช่นกัน คำว่าศาสนา คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิตนั่นแล จะเป็นอื่นมาจากไหน ถ้าคิดว่าศาสนาอยู่ที่อื่นนอกจากตัว ก็ชื่อว่าเข้าใจศาสนาผิดจากความจริง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







#อานาปานสติ

หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ"
ในเวลาที่เราทำกรรมฐานอยู่นั้น ในเวลาที่เรา
กำหนดลมอยู่นั้น ท่านไม่ให้ส่งจิตไปทางอื่น
ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว
ออกไปแล้วเข้ามา เข้ามาแล้วก็ออกไป

ไม่ต้องอยากรู้อะไรมาก ไม่ต้องอยากเห็นอะไร
ต่อไป ให้จิตของเรารู้เฉพาะลมที่มันเข้า
หรือมันออก เรียกว่าการกำหนดลม เป็น
“อานาปานสติ”

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ชา_สุภัทโท





"..ความสำคัญของทุกสิ่งในโลกก็คือใจ ถ้าใจหยาบทุกสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็กลายเป็นของหยาบไปด้วย เช่นเดียวกับร่างกายสกปรก แม้สิ่งที่มาคละเคล้ากับกายจะเป็นของสะอาดสวยงามเพียงไร ก็กลายเป็นของสกปรกไปตามร่างกายที่สกปรกอยู่แล้ว ฉะนั้นธรรมจึงอดจะหยาบไปตามใจที่สกปรกไม่ได้ ถึงจะเป็นธรรมที่บริสุทธิ์หมดจด แต่พอคนมีใจโสมมเข้าไปเกี่ยวข้อง ธรรมก็กลายเป็นธรรมอับเฉาไปตาม เหมือนผ้าที่สะอาดตกลงไปคลุกฝุ่น หรือคนชั่วแบกคัมภีร์ธรรมอวดโลกให้เขารับนับถือ ซึ่งทั้งสองนี้ไม่มีผลดีต่างกันเลย คนที่มีใจหยาบกระด้างต่อศาสนาก็เป็นคนในลักษณะนี้เหมือนกัน จึงไม่มีทางได้รับประโยชน์จากศาสนธรรม แม้เป็นของวิเศษเพียงไรเท่าที่ควร เอาแต่ชื่อออกประกาศกันว่าตนนับถือศาสนา แต่ไม่ทราบว่าศาสนาคืออะไร และมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้นับถืออย่างไรบ้าง ถ้าประสงค์อยากทราบข้อเท็จจริงจากศาสนาอย่างแท้จริงแล้ว ตนกับศาสนาก็เป็นอันเดียวกัน ความสุขทุกข์ที่เกิดกับตนย่อมกระเทือนถึงศาสนาด้วย ความประพฤติดีชั่วก็กระเทือนถึงศาสนาเช่นกัน คำว่าศาสนา คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งการดำเนินชีวิตนั่นแล จะเป็นอื่นมาจากไหน ถ้าคิดว่าศาสนาอยู่ที่อื่นนอกจากตัว ก็ชื่อว่าเข้าใจศาสนาผิดจากความจริง.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ.สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







"ยอดของบารมี"

" .. หลวงปู่ฯ เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของ "การปฏิบัติการภาวนา" ว่าเป็นหนทางอันสูงสุดที่ทำให้ทุกคนพ้นทุกข์,"เรื่องการภาวนา เป็นยอดของบารมีทั้งหลาย" เป็นการเสริมสร้างกำลังใจ กำลังปัญญาให้เข้มแข็ง สามารถต่อสู้เอาชนะกิเลสน้อยใหญ่ได้

"เมื่อไม่รู้จักภาวนา ก็ปล่อยให้พวกกิเลสเป็นเจ้านายผู้บงการการกระทำของตน" ตนก็เลยเป็นทาสของกิเลส "เป็นเหตุให้ทำกรรมไม่ดี" สะท้อนเอาทุกข์ยากมาสู่ตน .. "

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร







ชาตินี้เราได้มีโอกาสฟังธรรมะ
ก็พยายามปรับความเห็นของตนเองให้ตรง
เชื่อบุญเชื่อบาป เชื่อผลบุญผลบาป
เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
เชื่อว่าเรามีกรรมเป็นของของตน

แล้วก็พยายามสะสมบุญกุศล
อะไรที่เป็นบาปเป็นอกุศลก็พยายามละ
แล้วก็รู้ รู้เท่าทันด้วย

#การที่บุคคลจะลงมือทำบาป
ทางกายทางวาจาหรือทางใจ
#มันต้องเกิดขึ้นในใจก่อน
#มันต้องมีอกุศลเกิดขึ้นในใจก่อน
#เป็นโลภะ #เป็นโทสะ #เป็นโมหะ
#เป็นมานะ #เป็นทิฏฐิ #เป็นอิจฉาริษยาขึ้นมา
#มันก็จึงลงมือกระทำบาปไปทางกายวาจาหรือทางใจ

บางคนโกรธพยาบาทก็แช่งเขาให้เขาเดือดร้อน
คิดร้ายก็เป็นอกุศลกรรมบถได้

บางคนมีความโลภก็คิดวางแผนจะทำทุจริตฉ้อโกง
ก็เป็นอกุศลกรรมบถได้

“กรรมบถ” หมายถึงเป็นบาทเป็นทางนำไปสู่อบาย
อกุศลกรรมบถสามารถนำไปปฏิสนธิในอบายภูมิ

#แต่ถ้าเป็นความโกรธธรรมดา #เป็นความโลภธรรมดา #เป็นความหลงธรรมดา
เช่น เสียใจ น้อยใจ
#ไม่ได้พยาบาทอาฆาต
#ไม่ได้ไปคิดวางแผนคิดร้ายโดยการพยาบาทอาฆาต
#ก็เป็นอกุศลธรรมดาๆ
#ไม่ถึงขนาดนำไปเกิดในอบายภูมิ
#กำลังไม่แรงพอแต่มันก็เป็นอกุศล
#จิตผู้นั้นก็เศร้าหมองเป็นอกุศล
#สะสมไว้มากๆมันก็ไปให้ผลในปวัตติกาลได้

“ปวัตติกาล” หมายถึงให้ผลตอนที่เกิดแล้ว
แต่ไม่สามารถให้ผลในปฏิสนธิกาล
คือนำไปปฏิสนธิ นำไปเกิดไม่ได้
แต่ถ้าเกิดแล้ว มันตามไปให้ผลได้เหมือนกัน
แล้วแต่หนักเบา หรือสะสมไว้มากน้อยขนาดไหน

ฉะนั้นบุญกุศลที่เราทำก็เหมือนกัน
ก็ตามส่งผลให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา
มีเจตนาดี ๓ กาล มีปัญญาเข้าประกอบ
ก็เป็นมนุษย์เป็นเทวดาที่มีไตรเหตุ
เป็นติเหตุกบุคคล
เทวดาชั้นต้นยังเป็นทวิเหตุกบุคคลก็มี
เป็นสุคติอเหตุกบุคคลก็พิกลพิการได้

ฉะนั้นเราฟังธรรมก็ฝึกหัดปฏิบัติ ฝึกเจริญสติ
คอยพิจารณาสังเกตสภาพของจิตใจตัวเอง
อกุศลธรรมเกิดขึ้น
กุศลธรรมเกิดขึ้น
อัพยากตธรรมเกิดขึ้น

“อัพยากตธรรม” ก็คือธรรมที่ไม่จัดเป็นบุญเป็นบาป
แต่ก็เป็นสภาพธรรม เป็นธรรมชาติ
ก็คือพวกอกุศลวิบาก หรือกุศลวิบาก หรือรูปธรรมทั้งหมด
เป็นอัพยากตธรรม

การเห็นคือผลของบุญ ผลของบาป
การเห็นดีเป็นผลบุญ เห็นไม่ดีเป็นผลบาป
ยังไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป
มันเป็นผล

ได้ยินเสียงเป็นผล
ได้ยินเสียงดี ได้ยินเสียงไม่ดี แล้วแต่บุญและบาปส่งผล
ได้กลิ่นเหม็น ได้กลิ่นหอม
ได้ลิ้มรสอร่อย ลิ้มรสไม่อร่อย
ได้สัมผัสทางกายที่ดี ไม่ดี

ถ้าอกุศลส่งผลทางกายก็ให้สัมผัสไม่ดี
ต้องปวดต้องเจ็บ ต้องร้อนต้องหนาว ต้องไม่สบายกาย
ถ้าบุญส่งผลก็ได้สัมผัสที่ดี
เย็นสบาย ร้อนก็มีความเย็น หนาวก็มีเครื่องอบอุ่น
ได้สัมผัสที่ดี

อย่างนี้มันเป็นวิบาก ยังไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป
เรียกว่าเป็นผลบุญผลบาปเกิด
ก็ต้องกำหนดรู้
รู้การเห็น ระลึกรู้สภาพได้ยิน รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส เป็นอัพยากตธรรม
ถ้าเลยจากนั้น พอได้ยินแล้วมันจะเลยไปเป็นกุศลอกุศลถ้าเราไม่มีสติ
เห็นแล้วไม่มีสติ เดี๋ยวก็โลภบ้าง โกรธบ้าง หลงบ้าง

ได้ยินถ้าไม่มีสติ เดี๋ยวก็ยินดียินร้าย
โลภะ โมหะ โทสะ มานะ ทิฏฐิเข้ามา

เวลาได้ยินเสียงด่าเป็นผลบาป
ใจยังไม่เป็นบาป เพียงแค่เสวยผลบาป
แต่พอเราโกรธพยาบาทอาฆาตคิดแก้แค้นเป็นบาปแล้วตอนนี้
เป็นอกุศล อกุศลธรรม
ได้ยินนั้นเป็นอัพยากตธรรม

นี้เป็นสภาวะเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น
ก็ต้องพิจารณาระลึกใส่ใจสังเกต ศึกษาพิจารณา
ให้เห็นว่า
จริง ๆ แล้วกุศล อกุศล อัพยากตเหล่านี้
มันก็เป็นเพียงสักแต่ว่าธรรมชาติ
มันก็ไม่ใช่ตัวตนอะไร ไม่ใช่ตัวเราของเรา
เห็นก็ไม่ใช่ตัวเรา ได้ยินก็ไม่ใช่ตัวเรา
รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา

ถ้าเราปฏิบัติไป ๆ ปัญญาเกิดขึ้น
ก็จะรู้เห็นว่ามันเป็นเพียงสักแต่ว่า
ธรรมชาติที่เกิดที่ดับ ที่หมดไป
เสื่อมสิ้น หมดไปสิ้นไป
จะได้ละความยินดียินร้าย ความยึดมั่นถือมั่น
อันเป็นทางแห่งความหลุดพ้นจากอาสวกิเลสได้

ธรรมบรรยาย จิตเป็นที่เกิดของธรรมทั้งหลาย
(รวมพระธรรมเทศนา หมวดกรรมฐาน ชุดที่ ๔)
.............................
ธัมโมวาท โดยหลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา






#ผัวตายไปเกิดเป็นตุ๊กแก

พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร เล่าว่า …. สมัยที่ท่านยังเที่ยวธุดงค์ ช่วงหนึ่งไปอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย
ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนมีฐานะดี
สามีซึ่งอายุมากตายจากไป สามีห่วงหวงภรรยามาก
ผู้หญิงสังเกตว่า พอสามีตายไปไม่นาน
ไม่ว่าเขาจะไปไหนในบ้าน จะมีตุ๊กแกตัวหนึ่งตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง มีกระทั่งเข้าห้องนํ้า
มันก็ตามเข้าไป เขาเงยขึ้นดูตุ๊กแกทีไร
ก็พบมันมองเขา ตาไม่กระพริบทุกที

เขาถามหลวงปู่ขาวว่า
เป็นไปได้หรือเปล่าว่าสามีไปเกิดเป็นตุ๊กแก ?
หลวงปู่ขาวไม่ได้ตอบอะไรเขา
แต่สอนให้เมตตาให้ตุ๊กแกไป
อย่าเอาใจใส่ไปรําคาญ หรือข้องติดอยู่กับมัน

ตกกลางคืน หลวงปู่ขาวท่านเทศน์พระเณรว่า...

“เห็นหรือยังว่า จิตที่ไม่มีสติระวังรักษามัน
ไปห่วงหวงอะไรอยู่ ก็กลับมาเกิดตรงนั้น คอยจะมาเข้าท้องเขาเป็นลูกก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้แต่งงานใหม่ จะมาเกิด ที่ไหนในละแวกนั้นก็ไม่ทันใจ ก็เลยเกิดเป็นตุ๊กแก ชาวบ้านที่ห่วงที่นา ก็มาเกิดเป็นปูนา แล้วก็ถูกลูกหลานจับไปดองกิน ใจที่ไปห่วงผูกพันอยู่กับอะไรก็จะไปเกิดกับอย่างนั้น

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู






#พวกเราคือพวกตื่นเงาตัวเอง

พวกเล่นกับเงาตัวเอง
ก็เงาเราน่ะสิ อารมณ์น่ะ ไม่รู้หรือ ?
อารมณ์อดีต เป็นมาสักกี่ปี กี่เดือน
ดี-ชั่วอะไร ยังมาครุ่นมาคิด มาคุกรุ่น รอยู่...
ในใจ เผาเจ้าของให้ยุ่งไปหมด

ทั้งนี้! ส่วนมาก
ไม่ใช่ของดี มีแต่...ของชั่วแทบทั้งนั้น

อารมณ์อดีต ไปคิดขึ้นมายุ่งเจ้าของ
ยิ่งกว่า...สุนัขเกาหมัด
อยู่ที่นั้น...ก็ว่าไม่สบาย อยู่ที่นี่...ก็ว่าไม่สบาย จะสบายได้อย่างไร มัวเกาแต่อารมณ์ ทั้งอดีต อนาคต ยุ่งไปตลอดเวลา และอิริยาบถ

เอ้า! เป็นก็เป็น ตายก็ตาย
ทีนี้! มอบได้แล้ว...ตาย กับธรรมอย่างเดียว
ไม่เกาะเกี่ยวกับอะไร มีสติสตางค์ อยู่...ตลอดเวลา เดินอยู่ ในสถานที่ใด นั่งอยู่ ในสถานที่ใด เป็นกับตาย ไม่ต้องเอามายุ่ง
ขอให้รู้เรื่องจิต ที่กระดิกตัวออกมาหลอกลวงตัวเอง ว่ามันปรุงเรื่องอะไร ปรุงเรื่องเสือ เรื่องช้าง เรื่องอันตราย เรื่องงู เรื่องอะไร ก็แล้ว

มันแต่ง มันปรุงขึ้นตรงไหน ก็แล้วกัน
มันปรุงขึ้นที่ใจ ตัวนี้...เป็นตัวหลอกลวง
จิต ขยับเข้าไปตรงนี้...
เรื่องว่าเสือ ว่าช้าง ที่เป็นอันตรายภายนอก
มันเลยหายกังวล
เพราะตัวนี้..เป็นตัวต่อกรรม เป็นตัวหลอกลวง

สติปัญญา โหมตัวเข้ามาจับจุดที่ตรงนี้
ซึ่งเป็นตัวโจรผู้ร้าย ยุแหย่ ก่อกวนจนถึงที่
เมื่อเห็นจุดสำคัญ ที่เป็นตัวก่อเหตุแล้ว...
จุดที่ก่อเหตุ ก็ระงับตัวลงได้ เพราะอำนาจ
ของสติ อำนาจของปัญญา ค้นคว้าลงไป
จนข้าศึกที่ปรุงเป็นเสือ เป็นช้าง เป็นต้น
หมอบราบลง เรื่องความกลัวหายหมด จะไม่
หายได้ยังไง ก็ผู้ไปปรุง มัน...ไม่ปรุง

นี่! เพราะมันรู้ตัวของมันแล้วว่า...
นี่! ตัวอันตราย อยู่...ที่นี่! ไม่ได้ อยู่กับเสือ
กับช้างที่ไหน
ถึงความตาย อยู่...ที่ไหนก็ตายคนเรา
มีป่าช้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกอิริยาบถ แน่ะ.

โอวาทธรรม
#หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน





#เรื่องปฏิบัตินี้อาตมาค้นคิดเหลือเกิน_เอาชีวิตเป็นเดิมพัน

เพราะเชื่อตามที่
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มรรค ผล นิพพาน มีอยู่
มันมีอยู่ตามพระองค์ตรัสสอน แต่ว่า
สิ่งเหล่านั้นเกิดจากการปฏิบัติ เกิดจากการ
ทรมาน กล้าหาญ กล้าฝึก กล้าหัด กล้าคิด
กล้าแปลง กล้าทำ การทำนั้นทำอย่างไร
ท่านให้ฝืนใจตัวเอง ใจเราคิดไปทางนี้
ท่านให้ไปทางโน้น ใจเราคิดไปทางโน้น
ท่านให้มาทางนี้ ทำไมท่านจึงให้ฝืนใจ
เพราะใจถูกกิเลสเข้าพอกมาเต็มที่แล้ว
มันยังไม่ได้ฝึกหัดดัดแปลง มันยังไม่เป็นศีล
ยังไม่เป็นธรรม เพราะใจมันยังไม่แจ้ง
ไม่ขาว จะไปเชื่อมันอย่างไรได้

โอวาทธรรม
#พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO