ได้มาก็อย่าดีใจ เสียไปก็อย่าเศร้าโศก ทุกอย่าง ที่อยู่ในโลกล้วนชั่วคราวทั้งนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
#โอวาทธรรมคำสอน พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
อยู่อย่างคนเป็น แสนวุ่นวาย มีปรุงแต่ง ใจเป็นทุกข์ อยู่อย่างตาย แสนสบาย บ่อยากได้ บ่ปรุงแต่ง ใจกะเป็นสุข ให้กินคือ แมว นอนง่ายอยู่ง่าย
#หลวงปู่จื่อ พนฺธมุตฺโต วัดเขาตาเงาะอุดมพร จ.ชัยภูมิ
...ก่อนที่จะศึกษาอย่างอื่น ก็ให้นึกถึง #กฎธรรมดาไว้เป็นสำคัญ ธรรมดาสําหรับเรานั่นก็คือ
๑.ชาติปิ ทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ๒.ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ ๓.มรณัมปิ ทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ ๔.โสกปริเทวทุกขโทมนัส ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ๕.ความพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจเป็นทุกข์ มีอารมณ์ขัดข้องหรือมีความปรารถนาไม่สมหวังเป็นทุกข์
...ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า #เราเกิดมาเพื่อประสบกับทุกข์ คนที่เกิดมาแล้วจะไม่มีทุกข์ไม่มี ถ้าหากว่าเรายังยึดถือร่างกายเป็นของเรา ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด #เกิดเพราะว่าจิตเราเกาะ ที่เรียกว่า #อุปาทาน
พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)
พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ท่านไม่ได้รู้ธรรมนอกเหนือจากกายกับจิต ซึ่งพวกเรากำลังหลงกันอยู่เดี๋ยวนี้
คำว่า “ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺม สพฺพนตํ นิโรธ ธมฺมํ” สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา ที่พระอัญญาโกณฑัญญะรู้ก็ดี คำว่า “วสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ” เสร็จกิจใน พระศาสนา ที่พระอรหันต์รู้ก็ดี ท่านก็รู้ในสิ่งเกิดดับภายในกายในจิตนี้เอง และท่านทำการปราบปรามกิเลสจบสิ้นลงได้ ก็ดีก็สิ้นเสร็จในจุดเดียวกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ มีอยู่ในกายในจิตอย่างสมบูรณ์ อย่าไปสงสัย ว่ามีอยู่ในที่อื่น การพิจารณาวิธีใดก็ตาม ถ้าเป็นไปเพื่อความสงบสุขภายในใจ ไม่เป็นไปเพื่อเดือดร้อน ชื่อว่าถูกทางเดิน ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ทั้งนั้น โปรดอย่า สงสัยไปอื่นจะเสียเวลา โปรดพิจารณาไป เรื่อย ๆ อย่าลดลงทางความเพียร ... หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
การถวายข้าวพระพุทธรูป ถ้าเป็นเจตนาเพื่อเป็นพุทธบูชาจริง ก็เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ตั้งใจถวายพระสงฆ์และตั้งใจถวายจริง ๆ เป็นวัตถุทานด้วย เป็น สังฆานุสสติกรรมฐาน ด้วย ถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ ยังไม่ถือเป็นทาน เราจะมีทรัพย์สิน มีเสื้อสวม มีผ้านุ่ง มีบ้านอยู่ นั่นเป็นอานิสงส์ของทานการให้ ถ้าเราบูชาพระพุทธเจ้าจัดเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ นึกถึงความดีของท่านไม่ถือว่าเป็นทาน อานิสงส์ได้คนละอย่าง
พุทธปูชา มหาเตชวัณโต การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชมีอำนาจมาก นั่นหมายความว่าถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม มีรัศมีกายสว่างไสวมาก เทวดาหรือพรหมนี่ เขาไม่ดูเครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างออกจากกาย
ธัมมปูชา มหาปัญโญ การบูชาพระธรรม มีปัญญามาก คือใคร่ครวญในพระธรรมจนเกิดปัญญา จิตเป็นสมาธิ
สังฆปูชา มหาโภคาวะโห สงเคราะห์พระสงฆ์ เกิดไปรวยมาก เพราะเราใช้วัตถุเป็นเครื่องถวาย
อานิสงส์ต่างกัน แต่ต้องทำ ๓ อย่าง ไม่อย่างนั้นหลวงพ่ออด
จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๒ หน้าที่ ๑๘๔ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
เราไม่เกาะร่างกาย เราไม่เกาะกายของบุคคลอื่น เราไม่เกาะทรัพย์สินทั้งหลายในโลกทั้งหมด เราจะปลดโดยคิดว่า ถือชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะเกิดมาเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม เมื่อชีวิตคือร่างกายสิ้นชีพลงไป เมื่อไหร่ จิตใจของเราจะปลดทั้งหมด นั่นก็คือ ปลดความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องการความเป็นมนุษย์อีก ปลดความเป็นเทวดาหรือพรหม ขึ้นชื่อว่าเทวดา หรือพรหม เราไม่ต้องการ ดินแดนที่เราต้องการก็ได้แก่พระนิพพาน คือดินแดนที่มีเอกันตบรมสุข
จากหนังสือ พ่อสอนลูก เล่มที่ ๑๑ หน้าที่ ๑ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
#ชีวิตเหมือนเทียนไข
เปรียบชีวิตเหมือนเทียนไขเล่มหนึ่ง สมมุติว่าคนเราเกิดมามี อายุ ๘๐ ปี เปรียบกับเทียนไขที่สว่าง เราแบ่งเทียนเป็น ๘ ส่วน ที่เราใช้ชีวิตมาตอนนี้ พวกเราใช้ไปกี่ส่วนกันแล้ว ยังเหลือเทียนอีกแค่ไหน เวลาที่ผ่านมาได้ทำความดี ถือศีล ภาวนา ละเว้นความชั่ว เก็บเกี่ยวทรัพย์ภายในได้แค่ไหนแล้ว
อย่าประมาท ว่าแสงสว่างของเทียนจะถึงส่วนสุดท้ายทุกคน ลมพัดแรงเทียนก็ดับก่อนได้ ชีวิตก็ไม่ได้หมายความว่าจะถึง ๘๐ ปีกันทุกคน อย่ามัวหลงเพลิดเพลินปล่อยวันคืนล่วงไป โดยเปล่าประโยชน์ จงเร่งประพฤติปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนทรัพย์ภายนอกให้เป็นอริยะทรัพย์ภายใน เพื่อเป็นเสบียงในการเดินทางต่อไป
หนทางข้างหน้าในการพ้นทุกข์ยังอีกยาวไกล ต้องเวียนว่ายตายเกินอีกไม่รู้เท่าไหร่ จงเร่งสะสมบุญ อย่ามัวคิดว่าอายุยังน้อยเดี๋ยวค่อยทำตอนแก่ก็ได้ โรคภัยไข้เจ็บตัดรอนก็ทำให้เสียชีวิตไปก่อนได้ เกิดอุบัติเหตุก็ทำให้เสียชีวิตไปก่อนได้ ฉะนั้นแล้วจงอย่าประมาทในการปล่อยให้วันคืนล่วงไปเปล่าประโยชน์เลย.
โอวาทธรรม #หลวงพ่ออัครเดช(ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี
#เวลาที่กรรมมันไล่มาถึงแล้ว... #ต่อให้บินเหาะหนีไปบนฟ้าก็ต้องร่วงลงสู่กรรม
"ถ้าเราเห็นกรรมเก่าของตน จะเหมือนดูละคร มันจะบ่กล้าทำบาปใหม่ให้เผาผลาญใจของตนเองดอก เพราะพ่อแม่กิเลสปิดจิตบังใจเอาไว้ พวกลูกกำพร้าธรรมมันถึงบ่ฮู้ความจริงของบาปบุญคุณโทษ เวลาที่กรรมมันไล่มาถึงแล้ว ไม่มีใครหลีกลี้หนีพ้นได้ ต่อให้บินเหาะหนีขึ้นไปอยู่บนฟ้านภากาศ ก็ต้องร่วงลงสู่กรรม".
โอวาทธรรม #หลวงปู่ชอบ_ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ จังหวัดเลย
"..เวลานั่งสมาธิ อย่านึกว่าเรามานั่งที่ศาลานี้ ให้นึกว่าเรานั่งอยู่ในป่าลึกคนเดียว ตัดปลิโพธกังวล ไม่คิดถึงหมู่คณะและใครทั้งหมด เรื่องดี ชั่ว มี จน ก็ไม่ต้องคิด คิดแต่เรื่องในกายของตัวเอง และตั้งสติสูดลมหายใจของตนอย่างเดียว
หรือมิฉะนั้นก็ให้คิดว่าเวลานี้เรากำลังนั่งอยู่เฉพาะพักตร์พระพุทธเจ้า เราจะต้องระวังตัวระวังมารยาทของเราให้ดี ไม่ทำกิริยาลุกลิกลุกลน หรือแกะโน่น เก่านี่ กายก็ตรง ใจก็ตั้งเที่ยงเฉพาะพระองค์ หรือ “พุทโธ” อย่างเดียว มีสติทุกลมหายใจเข้าออก ไม่วอกแวกไปไหน..."
โอวาทธรรมคำสอน พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ (พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔)
"สังขารของเรามันล่วงไปทุกวันทุกเวลาทุกนาที เราจะเอาอันใดเป็นสรณะที่พึ่งได้ ให้พิจารณาให้มันรู้มันเห็น ที่พึ่งของตน
ที่เราทั้งหลายมาอย่างนี้ ก็เพราะต้องการแสวงหาที่พึ่งของตนอันแท้จริง
เราจะเอาอะไร เป็นสรณะที่พึ่งของเรา ใน 3 โลกนี้ ไม่มีสิ่งอื่นนอกจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ เท่านี้หละเป็นที่พึ่งของเรา"
- หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
#ใช้ประโยชน์ของการได้เกิดเป็นมนุษย์_ให้เกิดประโยชน์สูงสุด . ชีวิตมีค่าเวลามีคุณ อย่าผลัดวันประกันพรุ่งอย่ามัวยุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตน อย่าขวนขวายแต่ประโยชน์ในโลกนี้
โลกข้างหน้านั้น ยาวไกลเนิ่นนาน น่ากลัวกว่าที่คิดไว้หลายร้อยหลายพันเท่านัก ชีวิตบนโลกมนุษย์มันสั้นนักเปรียบเสมือนน้ำค้างที่อยู่บนใบบอน พอพระอาทิตย์ทอแสงมาเมื่อไหร่ น้ำนั้นก็ระเหยหายไป
ชีวิตเราก็สั้นเท่านั้นแหละ อยู่บนโลกนี้ต้องใช้ประโยชน์ในโลกนี้ให้ได้ เกิดเป็นมนุษย์ต้องใช้ประโยชน์ของความเป็นมนุษย์ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
มนุษย์นี้จะประเสริฐกว่าเปรต จะประเสริฐจะเลิศกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะประเสริฐกว่าอสุรกาย จะประเสริฐกว่าเทวดาอินทร์พรหม ยม ยักษ์ทั้งหลายนั้น ก็เพราะเรานั้นฝึกจิตฝึกใจให้มั่นคง ไม่ว่าอะไรก็ไม่สามารถที่จะมาทำลายล้างเราได้
ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าก็เกิดเป็นมนุษย์ฝึกตนจนเทวดาอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ต้องลงมากราบมาไหว้ ดูอย่างพระอริยเจ้าอริยสงฆ์ องค์หลวงปู่แหวนเป็นต้น บำเพ็ญเพียรจนกลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม มันหอมฟุ้งกระจายไปทั่วสารทิศ ทั่วอนันตจักรวาล
เมื่อท่านเจ็บไข้ได้ป่วย อาพาธ อยู่ในป่าอยู่ในดง เทพ พระอินทร์ พระพรหม เหล่าผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย ผู้มีบุญญาธิการ ผู้มีกายทิพย์ ทั้งหลายนั้น ที่ดูแลอยู่ในบริเวณนั้น ก็จะร้อนรนทนไม่ไหว ต้องไปดลจิตดลใจบันดาลให้คนมารับท่านไปดูแลในที่สมควร นี่แหละ...คือการฝึกตน
โอวาทธรรม หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร วัดสันติวนาราม อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี
"..เวลานั่งสมาธิ อย่านึกว่าเรามานั่งที่ศาลานี้ ให้นึกว่าเรานั่งอยู่ในป่าลึกคนเดียว ตัดปลิโพธกังวล ไม่คิดถึงหมู่คณะและใครทั้งหมด เรื่องดี ชั่ว มี จน ก็ไม่ต้องคิด คิดแต่เรื่องในกายของตัวเอง และตั้งสติสูดลมหายใจของตนอย่างเดียว
หรือมิฉะนั้นก็ให้คิดว่าเวลานี้เรากำลังนั่งอยู่เฉพาะพักตร์พระพุทธเจ้า เราจะต้องระวังตัวระวังมารยาทของเราให้ดี ไม่ทำกิริยาลุกลิกลุกลน หรือแกะโน่น เก่านี่ กายก็ตรง ใจก็ตั้งเที่ยงเฉพาะพระองค์ หรือ “พุทโธ” อย่างเดียว มีสติทุกลมหายใจเข้าออก ไม่วอกแวกไปไหน..."
โอวาทธรรมคำสอน พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ (พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔)
|