นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 03 ก.ย. 2025 3:25 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: อบรมปัญญา
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 28 ส.ค. 2025 5:20 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5038
#เรื่องของปัญหา

"ปัญหา มันไม่ได้วิ่งมาหาคน คนต่างหากที่วิ่งใส่ปัญหา
คนเราเองต่างหากที่สร้างปัญหา ปัญหามันสร้างเองไม่ได้
ถ้าคนไม่สร้างมันขึ้นมา คนนั้นก็บอกว่ามีปัญหา คนนี้ก็บอกมีปัญหา เนี่ยคนเราสร้างปัญหาขึ้นมาเองทั้งนั้น ให้เอาธรรมะแก้ไขปัญหา พุทโธ พุทโธ พุทโธ เนี่ย...เข้าใจไหม"

#หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร






คาคา 3 ดี ของหลวงปู่จื่อ
1.ให้เฮ็ดดี อย่าหวังแนวตอบแทน บ่วาสิเป็นคำยอกะตาม
2.ให้เฮ็ดดี ให้มันดี บ่วาผลงานออกมาบ่ดี กะถือวาเฮาเฮ็ดดีที่สุดแล้ว
3.ให้เฮ็ดดี แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนกะมีดีบ่คือกัน

นี่ละคาถาความดี ท่องจำแล้วนำไปเฮ็ด
ไผเฮ็ดได่ทุกมื้อผุนั้นสิเจริญ และมีความสุขเนาะ"

....แปลความ....
1.จงทำดี อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตา
2.จงทำดี ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
3.จงทำดี แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน ฃ

นี่แหละคาถาความดี ท่องจำและนำไปปฏิบัติ
ใครทำได้ทุกวันคนนั้นย่อมเจริญ และมีความสุขนะ

หลวงปู่จื่อ พนฺธมุตฺโต วัดเขาตาเงาะอุดมพร จ.ชัยภูมิ





"..บุคคลผู้มีสติปัญญาดี เมื่อได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังพระสัจธรรมอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เขาย่อมเป็นผู้มีจิตแสนฉลาด รู้ความหมายมีศรัทธาเลื่อมใส เข้าใจในอรรถในธรรม เขาทำแต่กรรมดี ละกายทุจริต ดังจิตเจตนา เว้นห่างจากบาป เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักขโมยเอาข้าวของของผู้อื่น ไม่ประพฤติผิดมิจฉาทางกาม ไม่พูดความเท็จ พูดแต่ความจริง ไม่พูดส่อเสียดให้เกิดความทะเลาะแตกความสามัคคีต่อกันไม่พูดคำหยาบ ไม่แสลงหู ทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจดี ไม่มีภัยในคำพูด พูดมั่นคงมีหลักฐาน ไม่เป็นคำเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้ประโยชน์ เป็นวาจาสะอาด นักปราชญ์นิยมชมชอบ.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส
ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร









"..การเลือกคู่ครองเพื่อหวังพึ่งเป็นพึ่งตายจริง ๆ ควรถือเป็นกรณีพิเศษกว่าสิ่งอื่นใด เพราะคู่ครองนั้นเป็นเหมือนกับใช้ลมหายใจและความเป็นอยู่ทุกด้านร่วมอันเดียวกัน ความสุข ทุกข์ น้อยมากย่อมเป็นสิ่งกระเทือนถึงกันทุกระยะ

ผู้ได้คู่ครองที่ดี แม้ตัวจะต่ำบ้างทางฐานะความรู้ความฉลาด การประพฤติ จริตนิสัย แต่ก็ยังดีที่มีผู้คอยฉุดคอยลากคอยให้คติเตือนใจเสมอ และพาประพฤติดำเนินในกิจการต่าง ๆ ทั้งทางโลกอันเป็นเครื่องส่งเสริมครอบครัวให้มั่นคงและสงบสุข และทางธรรมซึ่งเป็นความดีงามแก่จิตใจ ตลอดการงานอย่างอื่นที่พลอยมีส่วนดีงามไปด้วย ไม่มืดมิดปิดตากำดำกำขาวไปถ่ายเดียว โดยหาความแน่นอนและรับรองผลไม่ได้

ถ้าต่างฝ่ายต่างดีด้วยกันก็เท่ากับต่างช่วยกันสร้างวิมานหลังใหญ่ในครอบครัว ให้อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันไปตลอดอวสาน ไม่มีการทะเลาะวิวาทถกเถียงกัน ครัวเรือนย่อมเป็นสุข ไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจมารบกวน เพราะต่างฝ่ายต่างสร้างสรรค์ ต่างฝ่ายต่างสำรวมระวัง ต่างฝ่ายต่างตั้งอยู่ในเหตุผลหลักธรรม ไม่ทำตามใจชอบที่ผิดจากหลักศีลธรรม อันเป็นหลักรับรองความร่มเย็นผาสุกต่อกัน คู่ครองแต่ละฝ่ายจึงเป็นผู้ช่วยกันสร้างกรรมดี ชั่ว สุข ทุกข์ บุญ บาป นรก สวรรค์เกี่ยวเนื่องกันแต่เริ่มต้นชีวิตร่วมกันเป็นต้นไปเหมือนลูกโซ่ ทั้งปัจจุบันชาตินี้ตลอดอนาคตของภพชาติต่อไป.."

จากหนังสือชีวประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดเกษรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) จ.อุดรธานี
(พ.ศ.๒๔๕๖-๒๕๕๔)







"..สวยเพียงผิวหนังหุ้ม.."
"..อย่างผู้ที่มีนิสัยรักสวยรักงามอย่างนี้ เป็นนิสัยติดตัวมาตั้งแต่อดีตชาติโน่น จนมาถึงปัจจุบันนี่ ยังละจริตนิสัยนั้นไม่ได้ พระศาสดาก็สอนให้มาเพ่งอัตภาพร่างกายนี้ แยกแยะออกไปเป็นชิ้นเป็นส่วนออกไปดู

ทำไมมันจึงพอใจกับร่างกายนี้นักหนา ร่างกายนี้มันวิเศษอย่างไรบ้าง มันสวยงามขนาดไหน แล้วมันเที่ยงมันยั่งยืนอย่างไร จึงมาชอบใจพอใจนักหนา นี่ก็ต้องเพ่งดูแหละ

เพ่งดู เมื่อจะเพ่งแบบง่ายๆ นี่ สมมติว่า คนเรานี่มองตัวเองก็ดี หรือมองผู้อื่นก็ดี เห็นว่า สวยงามนี่ มันก็มอง "ผิวหนัง" เนี่ยก่อนอื่นใด

เมื่อมองเห็นผิวหนังขาวๆ นิ่มนวล เข้าไปเท่านี่ก็ชอบใจแล้ว ก็วิตกแล้วว่า แหม.. รูปนี้สวยงามจริงๆ ตรงกันข้าม ถ้ามองดูผิวหนังเนี่ยคร่ำคร่า ไม่นิ่มนวล ไม่เปล่งปลั่ง อย่างนี้นะ ซูบซีด ทีนี้แทบจะไม่เหลียวไปอีกเป็นครั้งที่สองเลย

พอเหลือบไปเห็นทีแรกเท่านั้นเมินหน้าหนีแล้ว รูปนี้ไม่สวย ไม่งาม นี่แหละเพราะฉะนั้นจึงว่า เพียงมามองดูผิวหนังนี้มันก็เป็นอุบายคลายความยินดีพอใจในรูปนี้ออกไปได้ทีเดียว

ดังนั้นในกรรมฐาน ๕* พระศาสดาจึงสอนให้พิจารณาส่วนรอบนอกนี้ รอบนอกของร่างกายนี้ก่อน เมื่อเห็นรอบนอกของร่างกายนี้ชัดเจนลงไปแล้ว มันก็คลายความยินดีออกไปได้.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระสุธรรมคณาจารย์ วิ.
(หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต
ต.บ้านหม้อ
อ.ศรีเชียงใหม่
จ.จังหวัดหนองคาย (*กรรมฐาน ๕ ได้แก่ เกศา-ผม โลมา-ขน นขา-เล็บ ทันตา-ฟัน ตโจ-หนัง)

#หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ









ผิดหวัง ให้เริ่มใหม่
ผิดใจ ให้พูดจากัน
ผิดพลาด ให้โอกาสกัน
“ผิดมหันต์จงยอมรับ ผลกรรม”

#โอวาทธรรมคำสอน
พระธรรมวิสุทธิมงคล
(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี








"ดูใจเรานั้นแหละ พัฒนาตัวเองนั้นแหละ
ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ
หัดฝึกปล่อยวาง นั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก
ไม่มีอะไรสำคัญกว่ากการตามรักษาจิตของเรา
คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข"

หลวงปู่ชา สุภัทโท







“ของดีคืออะไร อะไรคือของดี
ของดีมีอยู่ด้วยกันทุกคนแล้ว
การที่มีร่างกายแข็งแรง
ไม่เจ็บไม่ไข้ได้พยาธินั้น ก็มีของดีแล้ว
การมีร่างกายแข็งแรง มีอวัยวะครบถ้วน
ไม่บกพร่องพิกลพิการ อันนี้ก็มีของดีแล้ว
จะต้องไปหาของดีที่ไหนกันอีก"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ






การภาวนา เรื่องสมถะถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก ๆ เราจะหนีจากต้นตอสมถะไม่ได้ อย่างพระพุทธเจ้า ท่านก็กำหนดลมหายใจเข้ารู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก นั่นแหละคือสมถะเป็นเบื้องต้น

อันนี้ก็เหมือนกัน การที่เราจะมาภาวนาเป็นเบื้องต้น เราจะพิจารณาหรือจะทำอย่างอื่นไม่ได้ เราต้องกำหนดลมหายใจบริกรรม พยายามบริกรรมอยู่กับพุทโธตลอด หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ ให้มีสติสัมปชัญญะ พยายามนั่งให้นาน นั่งทีแรกนั่งไม่ได้นานที่ ๒๐-๓๐ นาที ต่อไปนั่งขยับขึ้นอีกเป็นชั่วโมง ต่อไปนั่ง ๒ ชั่วโมง นั่งในที่โล่ง ๆ นั่งกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออก บางทีก็เดินจงกรม หน้าที่ของเราคือมันมีเพียงแค่นี้นะ ไม่มีอย่างอื่น คือนั่งภาวนากับเดินจงกรม แล้วก็ปฏิบัติ จะทำอย่างไรจะยกจิตใจของเราให้ได้รับความสงบ เป็นพระอริยบุคคลต่อไปภายภาคหน้า พยายามทำจิตใจให้นิ่ง ทำจิตใจให้สงบ เมื่อจิตใจสงบเป็นหนึ่งแล้ว นำมาพิจารณาทางวิปัสสนาปัญญา พิจารณาแยกแยะดูร่างกายสังขาร อันนี้ทำเป็นขั้นตอนต่อไป

อันดับแรกเลยคือเรื่องสมถะนี่แหละ เป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ เราต้องนั่งภาวนา กำหนดลมหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ พยายามนั่งให้นาน นั่งอยู่ตามลำพังก่อนหลับก่อนนอน หรือว่าตื่นนอนขึ้นมา ถ้าไม่มีอะไรก็นั่งภาวนาอีก นี่แหละเรื่องการภาวนาเป็นหัวใจของเรา ถ้าเรานั่งภาวนาแล้วจิตใจเข้าสู่ความสงบ จิตใจนิ่งจิตใจสงบ จิตใจมีความเยือกเย็นในจิตในใจแล้วนะ นั่นแหละมันฝังลึกนะลูกหลานนะ ฝังลึกในจิตในใจ เชื่อมั่นในหลักธรรมคำสอนของพุทธะ ท่านแนะแนวแนะนำให้จิตใจเข้าสู่ความสงบ มีความสุขจริงในจิตใจสงบ สมกับหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสกล่าวไว้ว่า นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ ความสุขอื่นยิ่งกว่าจิตใจสงบไม่มี นั่นแหละพระองค์ได้ตรัสได้กล่าวไว้ จิตใจสงบจิตใจนิ่งมีความสุขจริง

หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “พระวินัยไม่ได้ละเว้นใคร”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๘







หลวงปู่ปานแนะเคล็ด​ทำให้ร่ำรวย

พระคุณหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระนครศรีอโยธยา ท่านได้เคยเมตตาสั่งสอนแนะนำลูกหลานไว้ว่า หากลูกหลานต้องการมีความคล่องตัวไว ร่ำรวยไว ก็ให้ปฏิบัติ ดังนี้

๑. ก่อนที่จักเดินทางไกล ให้ทำทานก่อน จักใส่บาตรพระก็ได้ มอบเงินให้พ่อแม่ก็ได้ เอาข้าวให้ลูกหมาลูกแมวก็ได้ เรียกว่าทำทานก่อนไป

๒. หากพบพระสงฆ์กำลังฉันภัตตาหารในร้าน ให้เข้าไปปวารณาถวายค่าภัตตาหารมื้อนั้นกับท่าน ฤานำปัจจัยไปจ่ายให้กับแม่ค้า แล้วจึงไปบอกกล่าวกับพระท่าน

๓. หากพบเห็นพระสงฆ์ในระหว่างที่เรากำลังเดินทาง ให้จอดรถลงไปถวายของกับท่าน เช่น​ ภัตตาหาร น้ำดื่ม เป็นต้น หากเป็นเพลาหลังเพลแล้ว​ ให้ถวายน้ำดื่ม เครื่องดื่ม ผลสมอ มะขามป้อม ฯลฯ กับท่าน

๔. ให้เป็นเจ้าภาพถวายผ้าไตร อย่างน้อย ๑ ไตร ในงานกฐินทุกปี

หากทำได้เช่นนี้ ใครอื่นจน ใครอื่นลำบาก ลูกหลานทุกคนก็จักไม่ลำบากยากจนเหมือนคนอื่นๆ เขา

แถมอีกนิด..พระคุณหลวงปู่ปาน ยังได้เคยกล่าวไว้อีกว่า

"ข้าไม่เคยเห็นใครที่ซื้อโลงศพแจกเขา ฤาทำบุญบริจาคโลงศพแล้วจักจนลงเลย เห็นมีแต่คล่องตัว ร่ำรวยขึ้นๆ"

ผู้ใดปรารถนาความคล่องตัว ร่ำรวยขึ้น ก็ให้พากันปฏิบัติตามที่พระคุณหลวงปู่ได้เมตตาแนะนำสั่งสอนนะลูก

หลวงพ่อพระธัมมสรโณ






การหลงในร่างกายของตัวเองก็ดี หลงในร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี คิดว่ามันจะไม่แก่ มันจะไม่ตาย มันจะไม่ป่วยคิดไม่ถูกต้อง เนื้อแท้จริง ๆ แล้วคนก็ดีสัตว์ก็ดีเกิดมาในโลก เมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงเป็นของธรรมดาคือแก่ลงไปทุกวัน แล้วก็ตายในที่สุด เมื่ออารมณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอารมณ์หลงในร่างกายก็น้อยลง.

จากหนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๔๓ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน







ธัมมานุธัมปฏิบัติ :หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ถาม:
อวิชชา กับ โมหะ ๒ อย่างนั้นเหมือนกันหรือต่างกัน

ตอบ:
ต่างกัน
อวิชชาคือความไม่รู้อริยสัจ ๔ และปฏิจสมุปบาท ไม่ประกอบด้วยเจตนา เป็นกิเลสวัฏฏ์

โมหะความหลง ประกอบด้วยเจตนา เป็นกรรมวัฏฏฝ่ายอกุศลเป็นกรรมดำ

ถาม:
โมหะความหลงนั้น หลงอะไร ขอท่านจงอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ

ตอบ:
อทุกขมสุขเวทนาเกิดขึ้น ผู้ที่ไม่รู้ความจริงของเวทนาขันธ์ ไม่ประกอบด้วยเจตนา อวิชชานุสัยย่อมตามนอน แค่นี้เป็นกิเลสวัฏฏ์

ต่อนี้ไปไม่มีสติ ประกอบด้วยเจตนา ปล่อยให้ใจฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ แค่นี้เป็นโมหะ

ความหลงและมืด ไม่เห็นธรรมความดี ความชอบ ประกอบด้วยความประมาท และสงสัย ในธรรมทั้งปวง ถ้าไม่สงสัย ไม่ฟุ้งก็ง่วง ถ้าจะกล่าววาจาก็เป็นติรัจฉานกถา

ถาม:

โมหะมีลักษณะฟุ้งไปในอารมณ์ต่างๆ ที่จะเป็นความประมาท ก็เป็นธรรมดาของใจ จะให้นึกแน่วอยู่ในอารมณ์เดียวจะอยู่ได้หรือ จำเป็นจะต้องนึกถึงเรื่องโน้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ถ้าผู้ที่มีธุระหลายๆ อย่างก็จำเป็นจะต้องนึกถึงสิ่งเหล่านั้นมิเป็นโมหะ ความหลง และประกอบด้วยความประมาทไปหมดหรือ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจไม่ได้ความในคำตอบ ขอท่านจงอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ จะได้หายมัวเมาในเรื่องโมหะ

ตอบ:

โมหะความหลงฟุ้งไปในอารมณ์ต่างๆ และประกอบด้วยความประมาท หมายฟุ้งไปในเหล่าอกุศล เช่นกามฉันทะหรือพยาบาท
ถ้าเกิดความกำหนัดยินดีก็ เป็นกามฉันทนิวรณ์
ถ้าเกิดความโกรธประทุษร้าย ก็เป็นพยาบาทนิวรณ์
อาการที่ฟังไปในระหว่างยังไม่รักไม่โกรธนั่นแหละ เป็นโมหะและเป็นไปเพื่อเบียนตนเบียนคนอื่น ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ในโลกนี้โลกหน้า นี่แหละชื่อว่าความประมาท หรือโมหะ ความหลง และประพฤติกายทุจริต วจีทุจริตได้

ดั่งพระพุทธภาษิตที่ทรงแสดงไว้ในกาลามสูตร ส่วนความคิดที่ประกอบ ด้วยประโยชน์ในโลกนี้โลกหน้า หรือคิดอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศล เช่น คิดอยู่ในเรื่องสัมปทาประโยชน์โลกนี้ ๔ อย่าง โลกหน้า ๔ อย่าง บุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ สติปัฏฐาน ๔ ก็มีมากอารมณ์ แต่ก็เป็นกุศลประกอบด้วยประโยชน์โลกนี้โลกหน้า
จึงไม่ชื่อว่าโมหะความหลงและความประมาท

ถาม:
ข้าพเจ้าฟังท่านอธิบายในส่วนประโยชน์โลกหน้า ก็พอจะเห็นด้วยว่า ไม่หลง ไม่ประมาท เพราะระลึกอยู่ในส่วนกุศล แต่ประโยชน์โลกนี้ ๔ อย่างนั้น ถ้าใจไปหมกมุ่นเข้า จะไม่เป็นความหลงและความประมาทหรือ เพราะประโยชน์โลกนี้ ๔ อย่างนั้นเป็นกาม ถ้าไปกำหนัดยินดีในทรัพย์สมบัติเหล่านี้ ก็ชื่อว่ากำหนัดในวัตถุกาม ขอท่านจงอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ

ตอบ:

พระอริยสาวกไม่ได้ประกอบแต่ประโยชน์โลกนี้ ๔ อย่างเท่านั้น ท่านถึงพร้อมด้วยประโยชน์โลกหน้า ๔ อย่างด้วย เพราะประโยชน์โลกหน้า มีปัญญาสัมปทาอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่หลงและไม่ประมาทส่วนผู้ประกอบแต่ประโยชน์โลกนี้ ๔ อย่าง ไม่ถึงพร้อมด้วยประโยชน์โลกหน้า ๔ อย่าง ก็ต้องหลงและประมาท เป็นธรรมดาเพราะไม่มีสัมมาปฏิบัติ







โรคทางกายก็ดี
โรคทางจิตก็ดี

โรคทางวิญญาณก็ดี
หรือโรคชนิดไหน ๆ ก็ดี

ถ้ารู้วิธีทำให้ว่าง
เป็นสุญญตาไปเสีย

ก็จะกลายเป็นความไม่มีโรค
จึงจัดเป็นลาภอย่างยิ่ง

———

ฉะนั้น…
“ความไม่มีโรค” ที่ถูกต้อง

จึงหมายถึงการทำให้
หายจากโรค

คือ ต้องมีโรคเกิดขึ้นก่อน
แล้วใช้ปัญญาทำให้โรคนั้น
หายไป กลายเป็น
ความว่างจากโรค

———

การเข้าถึงจุดหมาย
ของอาศรมคฤหัสถ์

จึงอยู่ที่ ความเข้มแข็ง
อดทน และเฉลียวฉลาด.

#พุทธทาสภิกขุ จากหนังสือ สุญญตาธรรม (ฉบับย่อ)








ความรู้ที่ออกจาก "จิต" ที่สงบนั่นแหละ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งที่สุด

ให้มันรู้ออกมาจาก "จิต" เองนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ ทำจิตให้มันเกิด "อารมณ์อันเดียว"

อย่าส่งจิตออกนอก ให้ "จิต" อยู่ใน "จิต" แล้วให้ "จิต" ภาวนาเอาเอง ให้จิตเป็นผู้บริกรรม พุทโธ พุทโธ อยู่นั่นแหละ

แล้วพุทโธ นั่นแหละ จะผุดขึ้นในจิตของเรา เราจะได้รู้จักว่า "พุทโธ" นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง

เท่านี้แหละไม่มีอะไรมากมาย..

นิพพาน มันเป็นของว่าง การปฏิบัติ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร

“การปฏิบัติ ให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อความละ เพื่อคลายความกำหนัดยินดี

เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน หรือ แม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น

ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร

เพราะนิพพานมันเป็นของว่าง ไม่มีตัวมีตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบเทียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง”

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์








"... อันหนึ่งสมถะ อันหนึ่งวิปัสสนา มันถูกกับจริตอันใด การภาวนามันสบายก็ให้เอาอันนั้น ถ้ามันถูกกับจริตก็สงบสบายไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น จิตรวมอยู่ นั่นแหละมันถูกนิสัย

... ครั้นมันไม่ถูกนิสัยแล้ว นึกพุทโธหรือ
อันใดมันก็ฟุ้งซ่าน หายใจยาก หายใจฝืดเคือง หมายความว่ามันไม่ถูกจริตของตน อันใดมันถูกจริตมันก็สบายใจ ใจสว่าง จิตไม่ฟุ้งซ่าน

... เบื้องต้นใครเอาอันใดก็ต้องเอาอันนั้นเสียก่อน พิจารณาอาการ ๓๒ นี่เรียกว่าวิปัสสนา เรียกว่าค้นคว้า เมื่อเราบริกรรม
พุทโธหรืออะไรก็ตาม บริกรรมแล้วมันไม่สงบเราก็ต้องค้นคว้าหาอุบาย มันเป็นการอบรมกัน มันเป็นเรื่องปัญญา
จิตไม่สงบเราก็ต้องพิจารณาให้มันสงบ
มันไม่สงบแล้วมันก็ไปที่อื่น ไปสู่อารมณ์
อื่น
เราต้องเอามันมาปลอบโยนมัน ค้นคว้าให้มันพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปสุดตลอดให้มันครบถึงอาการ ๓๒

... ใช้สัญญาค้นไป ค้นไป ไม่ให้มันไปที่
อื่น ค้นไปบางทีมันลงความเห็นตามเรื่องปัญญา เราค้นไปว่าไป มันมีความเห็นตามแล้วมันก็สังเวชสลดใจ จิตมันจะสงบลง ต้องเอาอย่างนั้นเสียก่อนแล้วจึงพัก เอาอย่างนี้
ต่างฝ่ายต่างอบรมกัน สมาธิอบรมปัญญาให้เกิด ปัญญาอบรมสมาธิให้เกิด ปัญญาล้อมรอบมันแล้วมันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้มันก็ลง เรียกว่าปัญญาอบรมมัน ..."
-----------------------------------
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
(พ.ศ.๒๔๓๑-๒๕๒๖)







"ดูใจเรานั้นแหละ พัฒนาตัวเองนั้นแหละ
ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ
หัดฝึกปล่อยวาง นั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก
ไม่มีอะไรสำคัญกว่ากการตามรักษาจิตของเรา
คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข"

หลวงปู่ชา สุภัทโท







#เรื่องของปัญหา

"ปัญหา มันไม่ได้วิ่งมาหาคน คนต่างหากที่วิ่งใส่ปัญหา
คนเราเองต่างหากที่สร้างปัญหา ปัญหามันสร้างเองไม่ได้
ถ้าคนไม่สร้างมันขึ้นมา คนนั้นก็บอกว่ามีปัญหา คนนี้ก็บอกมีปัญหา เนี่ยคนเราสร้างปัญหาขึ้นมาเองทั้งนั้น ให้เอาธรรมะแก้ไขปัญหา พุทโธ พุทโธ พุทโธ เนี่ย...เข้าใจไหม"

#หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร






อันนี้เรียกว่าปฏิปทา ให้มีความรู้สึกอย่างนี้
ในการประพฤติปฏิบัติของเรา มันจะมีความ
ถูกต้องดีกว่า ถ้าคิดเช่นนี้พิจารณาเช่นนี้
อยู่ในใจ ถึงแม้ว่ามันจะไกลจากครูบาอาจารย์
มันก็ยังใกล้ครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าคนเรา
อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์แต่ร่างกายของเรา
แต่จิตใจมันเข้าไม่ถึง มันก็อยู่ไปก็เพ่งโทษ
ครูบาอาจารย์ สรรเสริญครูบาอาจารย์
ครูบาอาจารย์ทำถูกใจเราก็ว่าท่านดี
ถ้าทำไม่ถูกใจเราก็ว่าไม่ดี ก็ไปปฏิบัติอยู่
แค่นั้นแหละ ไม่เห็นมันได้อะไร ไปมองดู
คนอื่นว่า คนนั้นดี คนนั้นไม่ดี อยู่อย่างนั้นแหละ
ไม่เห็นมันได้อะไรมากมาย ถ้าเราเข้าใจ
ในธรรมะข้อนี้ เราจะเป็นพระขึ้นเดี๋ยวนี้แหละ
มิฉะนั้นเหตุผลที่ว่าอาตมาห่างไกล
จากลูกศิษย์ ปีนี้ พรรษานี้ทั้งพระเก่า
พระใหม่ พระนวกะ ไม่ค่อยให้ความรู้
ความเห็น ก็เพื่อให้พิจารณาเอาเองให้มันมาก
นั่นเอง พระใหม่ที่จะเข้ามา อาตมาบอกข้อ
กฎอยู่หมดแล้วว่าอย่าไปคุยกัน อย่าไปฝ่าฝืน
ข้อกติกาที่ทำไว้แล้วนั่นนะ คือทางมรรค ผล
นิพพาน นั่นแหละ ถ้าใครไปฝ่าฝืนข้อกติกา
อยู่มันก็ไม่ใช่พระ ไม่ใช่คนตั้งใจมาปฏิบัติ
เท่านั้นแหละ มันจะเห็นอะไร ถึงแม้จะนอนอยู่
กับอาตมาทุกคืนทุกวัน ก็ไม่เห็นหรอก
จะนอนอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เห็น
พระพุทธเจ้าหรอก ไม่ได้ปฏิบัติ เท่านี้แหละ ...

พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)







รูปแบบ วิธีการ คือเหยื่อล่อ

"คำว่า...พุทโธ ก็ดี
อานาปานสติ ก็ดี
ก็เปรียบเหมือนกับเหยื่อล่อปลานั่นเอง
ถ้ามีแต่เบ็ด ปลาก็ไม่กิน ต้องเอาเหยื่อมาล่อ เพื่อให้ปลากินเบ็ด ถ้ามีแต่จิตเฉยๆ ก็หาที่ยึด ไม่ได้ ต้องอาศัยอานาปานสติ คือลมหายใจเข้า-ออกเป็นอารมณ์ของใจ
หรือต้องอาศัยคำบริกรรมมีพุทโธ เป็นต้น
ให้เป็นที่ยึดของใจ

พอจิตรวมตัวเข้าไปเป็นอันเดียว
มีความทรงตัว หรือมีความเป็นตัวของตัว
โดยเอกเทศแล้ว...
คำบริกรรม อันนั้น...ก็หมดปัญหาไปเอง
เช่นลมหายใจ ก็หมดปัญหาไป
คำว่าพุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ อะไร ก็ตาม
ซึ่งเป็นคำบริกรรม มากน้อย ก็หมดปัญหาไปเหลือแต่...ความรู้ล้วนๆ

วิธีแห่งการภาวนา...
จงพิจารณาให้ชัดต่อความเกิด-ดับของใจ
จงดูความเคลื่อนไหวของใจ ที่แสดงความเคลื่อนไหว อยู่...ตลอดเวลา
อาการของใจ มันเกิดไปถึงไหน และดับไป
ถึงไหน มันเกิดที่ไหน มันก็...ดับ ที่นั่นเอง

จงพิจารณาให้ชัดต่อความเกิด-ดับของใจ
ความเกิด กับความดับ ที่ปรากฏขึ้นจากใจ ไม่ใช่...เป็นสิ่งที่ควรถือเอา
จงฆ่าแม่...คือใจให้ตาย ลูก คืออาการ
ก็จะหมดปัญหา ทันที
แม้จะปรากฏเกิดๆ ดับๆ ก็ไม่เป็นปัญหา
และไม่มีพิษสงอะไร ต่อไปอีก

อาการของใจ จึงกลายเป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มี...กิเลสเจือปน จะหมดกังวลใดๆ
ลงทันที อาการทั้งหมดที่เกิดจาก ผู้รู้...ก็ดี
ตัวผู้รู้...ก็ดี นี่คือ สิ่งหลอกลวงให้คนโง่หลงนั่นเอง"
-----------------------------
องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.






#กินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อหากิน
เป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไป ตราบใดที่เรายังเกิดอยู่
เราไม่เบียดเบียนเขา เขาก็เบียดเบียนเรา
เป็นอยู่อย่างนี้..เพราะโลกพร่องอยู่เป็นนิจ..พยายามยอมรับกฏของความจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วเราจะสบายใจ

#หลวงพ่อหนุน สุวิชโย


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO