นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 03 ก.ย. 2025 5:16 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: นิวรณ์ 5
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 23 ส.ค. 2025 1:01 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5038
.

#อานาปานุสสติ

ทีนี้
อานาปานุสสตินี่พอจิตเข้าถึงปฐมฌานแล้ว เขาไม่พิจารณาฌานที่ ๒ และ ฌานที่ ๓
ว่านี่เราจับมุมได้แล้ว
จับอาการของฌานได้แล้ว
ว่านี่ฌานที่ ๑ ตั้งได้แล้ว

ทีนี้เราก็พยายามฝึกอาการทรงฌาน
วิธีฝึกอาการทรงฌานก็เป็นไปตามที่กล่าวมา คือตั้งเวลาไว้โดยเฉพาะอย่าให้มากเกินไป เอาเฉพาะเวลาสั้นๆ
อย่างมากที่สุดในระยะต้น
ควรจะตั้งไว้ไม่เกิน ๑๐ นาที
หรือว่าจะใช้วิธีการ นับลมหายใจเข้า
ลมหายใจออกตามที่เราต้องการก็ได้
นี่เป็นวิธีการทรงฌานโดยเฉพาะ
มีประโยชน์มาก

พอเราได้สมาธิดีแล้ว
จิตมันสามารถจะทรงได้ตามที่เรากำหนด เวลาสั้นๆ
เราทรงได้ตามโอกาสนั้นที่เราต้องการ
ก็ขยับให้มันยาวไปอีกนิดเมื่อชิน
เมื่อเข้าได้แล้วตั้งอยู่ได้ตามลำดับนั้น
ได้ครึ่งเดือนหรือเดือนหนึ่ง
ก็ขยับให้ยาวไปอีกหน่อย

ต่อไปถ้าบังเอิญเราได้ทิพยจักขุญาณ
อาศัยที่การทรงฌานมีการทรงตัวดี
ถ้าเราเห็นผี เห็นเทวดา เห็นพรหม
หรือเห็นสัตว์นรก
เราจะคุยกันได้เหมือนคนธรรมดา
เราจะคุยกันนานเท่าไรก็ได้
เห็นได้แล้ว เราคุยกัน
ความเพลินมันก็ปรากฎ ธรรมปีติมันปรากฎ
ฌานมันก็ทรงนานยิ่งขึ้น
นี่ว่ากันถึงตอนถึงปฐมฌาน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
จากหนังสือ "ธรรมะปกิณกะ ๒" หน้า ๗






"... จิตเป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเรา
ที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บ
รักษาให้ดี
ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิตอันเป็นสมบัติ
ที่มีค่ายิ่งของตน
วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือภาวนา

... ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร
ตรวจดูจิตว่ามีอะไรบกพร่องและเสียไป
จะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่งของจิต
ว่าคิดอะไรบ้าง
มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิดถูกของตัว
บ้างไหม ?

... พิจารณาสังขารภายนอกว่า
มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลา
ที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการ
ให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่
เจ็บ ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน ..."

#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง
จ. สกลนคร (พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒)







"..จะตัดบาปตัดกรรม ไม่มีวิธีอื่น เราต้องทำจิตให้สงบ ถ้าจิตเราไม่สงบแล้ว มันก็ไปก่อกรรม ก่อภัย ก่อเวร พอจิตเราสงบแล้ว มันก็ไม่มีกรรม ความชั่วทั้งหลายไม่มี มีแต่ความสุข ความสบาย เราต้องการความสุข ความสบาย จะไปหากับทรัพย์สมบัติไม่มีหรอก มีแต่ที่ใจเราสงบ พอใจเราสงบแล้ว มันได้รับความสุข ความสบาย.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๔๒-๒๕๒๐)







คนที่เข้าฌานตาย
ธรรมทาน #คำสอนหลวงพ่อ

ถึงบอกว่าเวลาจะตายเขาเข้าฌานตายกัน
คนที่เข้าฌานตายมันไม่ตายเหมือนชาวบ้านเขา อาการตายเหมือนกัน แต่ความหนักใจของบุคคลผู้ทรงฌานไม่มี

ทั้งนี้เพราะถ้าจิตทรงฌานอารมณ์ก็เป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์เป็นทิพย์แล้วก็จะสามารถเห็นในสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ เห็นรูปที่เป็นทิพย์ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ ในเมื่อเราเห็นรูปที่เป็นทิพย์ได้ ได้ยินเสียงที่เป็นทิพย์ได้ เราก็รู้สภาวะความเป็นทิพย์ของเราได้ นี่คือ คนที่เขาเข้าฌานตาย

นี่เขาเลือกไปเอาตามอัธยาศัย
ว่าเขาจะไปจากร่างกายอันนี้แล้วเขาจะไปอยู่ที่ใหม่ เขาจะไปอยู่ที่ไหนนี่รู้ก่อน
คนที่ทรงฌานจริง ๆ สถานที่ที่จะพึงอยู่ได้คือ พรหมโลก ถ้าหากว่าเราจะไม่อยากอยู่พรหม อยากจะอยู่สวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งที่ต่ำลงมา
อันนี้ก็เลือกได้ แต่ว่าเลือกสูงขึ้นไปไม่ได้

จากหนังสือธัมมวิโมกข์ พ.ศ ๒๕๖๔, ๔๗๙







เทวดาเขาบ่ได้มักมนุษย์ที่กาย

เทวดาเขามักมนุษย์ ที่ศีลธรรมของผู้นั่น ”ผู้มีศีลธรรมในใจ” เทวดาเขาสิเห็น

รัศมีในจิตของผู้นั่น จิตผู้มีธรรมนี่ ใจมันสิงามในใสกว่ากายนอก

เทวดาผู้เขามีใจทิพย์ใจธรรม เห็นมนุษย์ผู้นั่นแล้ว เขากะฮักกะหอมอยากเข้าใกล้

คำสอน
#หลวงปู่ชอบ ฐานสโม








การเมตตาตัวเองทำอย่างไรล่ะ ...
นั่นก็คือการตั้งใจรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
การรักษาศีลนี้ เมื่อทำแล้วได้ประโยชน์
ทั้ง ๒ ฝ่าย ผู้อื่นก็มีความสุข
ตัวเองก็มีความสุข ตายแล้วเกิดมา
ก็ยังมีความสุขด้วยอำนาจของศีลนี้เอง

แต่ถ้าจะให้ดีถึงที่สุด ก็ปฏิบัติทาน ศีล ภาวนา
ให้ครบถ้วนไปเลย เพื่อเข้าถึงที่สุดของความ
เมตตา ใครดีกับเรา เราก็รักเขา
ใครจะเลวกับเรา เราก็ปล่อยวาง ...
...
พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร








...#ธรรมมะทั้งหมดนี้ ท่านต้องการให้ปล่อยวาง ปล่อยวางจะเกิดขึ้นมานั้นต้องรู้ความเป็นจริง ถึงจะปล่อยวางได้ ถ้าความรู้ไม่เกิด ก็ต้องมีการอดทน มีการพยายาม มีการปฏิบัติธรรมอยู่ มันต้องใช้ทุนอยู่เสมอทีเดียว เรียกว่า #ต้องปฏิบัติธรรม

...แต่เมื่อมันรู้เห็นหมดแล้ว #ธรรมะก็ไม่ได้แบกเอาไปด้วย อย่างเลื่อยคันนี้ เขาจะเอาไปตัดไม้ เมื่อเขาตัดไม้หมดแล้ว อะไรก็หมดแล้ว เลื่อยก็เอาวางไว้เลย ไม่ต้องไปใช้อีก เลื่อยคือธรรมะ ธรรมะต้องเอาไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผล ถ้าหากว่ามันเสร็จแล้วธรรมะที่อยู่ก็วางไว้ เหมือนเลื่อยที่เขาตัดไม้ ท่อนนี้ก็ตัด ท่อนนี้ก็ตัด ตัดเสร็จแล้วก็วางไว้ที่นี่ อย่างนั้นเลื่อยก็ต้องเป็นเลื่อย ไม้ก็ต้องเป็นไม้ นี่เรียกว่า ถึงหยุดแล้ว ถึงจุดของมันที่สําคัญแล้ว สิ้นการตัดไม้ ไม่ต้องตัดไม้ ตัดพอแล้ว เอาเลื่อยวางไว้

...#การประพฤติปฏิบัติต้องอาศัยธรรมะ ถ้าหากว่าพอแล้ว ไม่ต้องเพิ่มมัน ไม่ต้องถอนมัน ไม่ต้องทําอะไร ปล่อยวางอยู่อย่างนั้น เป็นไปตามธรรมชาติอันนั้น ถ้าไปยึดมั่นหมายมั่น สงสัยอันนี้เป็นอย่างนั้น มันอยู่ไกลเหลือเกิน อยู่ไกลมากทีเดียว ยังเป็นเด็กๆ อยู่ ยังเป็นเด็กอมมืออยู่นั่นแหละ ทําอะไรไม่ถูกอยู่นั่น ไม่เอาแล้วอย่างนั้น มันเป็นทุกข์ ต้องดู ต้องดูออกจากจิตใจของเรา ดูมัน ปล่อยมัน ดูว่าอะไรมันเกิดขึ้น ก็รู้ว่าอันนี้ไม่แน่ อันนี้เกิดไม่จริง อันนี้มันปลอม ความจริงมันก็อยู่อย่างนั้น ที่เราอยากให้อันนั้นเป็นอันนี้ อันนี้เป็นอันนั้น นั่นไม่ใช่ทาง มันเป็นอยู่อย่างนั้น ก็วางมันเสีย

...ความสงบเกิดขึ้นได้ เราข้ามไปข้ามมา มันไม่รู้เรื่อง ก็เป็นทุกข์ตลอดเวลา หายสงสัยเสีย อย่าไปสงสัยมัน เลิกมันเถอะ อย่าไปเป็นทุกข์หลาย พอแล้ว #ปล่อยวางมันเสีย

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)









เทคนิคการเดินจงกรมแบบเฉพาะ: การเอามือไขว้หลังเป็นเทคนิคที่ได้รับมาจากครูบาอาจารย์ (หลวงพ่อดำ) ซึ่งมีประโยชน์ทางกายภาพชัดเจน

ประโยชน์ทางกายภาพ (กายภาพภาวนา):

แก้ไขท่าทาง: ช่วยให้อกผาย ไหล่ผึ่ง หลังตรง แก้ปัญหาหลังค่อม

ระบบหายใจ: ช่วยให้หายใจเข้าออกสะดวก ลดโอกาสการเกิดโรคปอด

บุคลิกภาพ: ทำให้ดูสง่าหรือ "สมาร์ท หุ่นดี"

ประโยชน์ทางจิตใจ (จิตตภาวนา):

พัฒนาสติ: การจดจ่อกับท่าทางและการเดินทำให้มี "สติสัมปชัญญะในขณะยืน"

เกิดสมาธิ: เมื่อสติตั้งมั่น จิตก็เป็นสมาธิ

เกิดปัญญา: เมื่อมีสมาธิเป็นฐาน ย่อมนำไปสู่การเกิดปัญญา คือ การรู้เห็นตามความเป็นจริง

ความเป็นเลิศ: การปฏิบัติที่ครบวงจรทั้งกายและใจเช่นนี้ จึงเป็นการปฏิบัติที่ "ประเสริฐได้" อย่างแท้จริง คำสอนนี้ของหลวงพ่อจรัญ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากของการนำ "กายภาพภาวนา" มาเป็นฐานสำหรับการพัฒนาจิตใจ สู่ "จิตตภาวนา" และ "ปัญญาภาวนา" ตามหลักไตรสิกขา (ศีล-สมาธิ-ปัญญา)

การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องแยกออกจากการใช้ชีวิตประจำวัน และการมีสุขภาพกายที่ดี、บุคลิกภาพที่ดี ก็ไม่ใช่สิ่งขัดกับเป้าหมายทางธรรมะ แต่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์

ดังคำสอนข้อนี้ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม








การกำจัดนิวรณ์ ๕ ประการ

นิวรณ์ตัวที่ ๒ โทสะความโกรธ

แก้ด้วยพรหมวิหาร ๔ และวรรณะกสิณ

นี่นิวรณ์ตัวที่ ๒ ได้แก่ โทสะ ความโกรธหรือความพยาบาท การคิดประทุษร้ายบุคคลอื่นที่มีในใจ อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาบอกว่าให้ใช้ "เมตตา" กับ "กรุณา" ทั้งสองประการ เข้าประหัตประหาร

เมตตา ความรัก

กรุณา ความสงสาร

ให้คิดเสียว่าเขากับเรามีสภาวะเช่นเดียวกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีความทุกข์เหมือนกัน ถ้าเขามีความผิดขึ้นมาบ้างก็จงนึกถึงจิตใจของเราว่า "คนทุกคนนี้ที่กระทำไปแล้วทั้งหมดจะพูดก็ดี ทำก็ดี เขาคิดว่ามันดีจึงทำ ถ้าหากว่าเขารู้มันเลวมันจะเป็นเหตุความเดือดร้อนเขาก็ไม่ทำ" แต่ทำไมเขาจึงทำความชั่ว ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตที่เป็น "อกุศล" อกุศลในจิตคือ ความเลวมันเข้ามาสิงใจคล้ายกับผีสิง มันย้อมใจให้มัวเมา เข้าใจว่าความเลวเป็นความดี คนที่ถูกผีสิงหรือ "ผี" คือกิเลสสิง แบบนี้ก็เป็นการสมควรแก่การให้อภัย

ถึงเขาทำผิดไม่ผิดระเบียบวินัย ก็เชื่อว่าเราให้อภัยได้ สำหรับส่วนตัว ถ้าผิดกฎหมาย ผิดพระวินัย ผิดระเบียบ อันนี้ต้องลงโทษตามวินัย ตามระเบียบ ไม่ใช่ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

เพราะว่าระเบียบและวินัยทั้งหมด เขาวางไว้เพื่อบุคคลทำความดี นี้ถ้าไปละเมิดเข้าก็แสดงว่าชั่ว ถ้าเราไม่ลงโทษก็แสดงว่าเราปล่อยให้เขาชั่วตลอดไป อย่างนี้ก็ไม่ชื่อว่าเรามีจิตเมตตาความรัก กรุณาความสงสาร คนที่รักกันสงสารกันจะต้องระมัดระวังกันไว้ไม่ให้ใครชั่ว ไม่ให้ใครเลว

นี่การลงโทษตามระเบียบตามวินัยถือว่าเป็นการเมตตาปราณี เพราะป้องกันไม่ให้เขาทำความชั่ว นี้ในเมื่อเรามีความรักความสงสาร แล้วไอ้ความโกรธ ความพยาบาทที่ประทุษร้ายมันก็ไม่มี หรือถ้าอารมณ์แห่งความรักความสงสารประเภทนี้เราทรงใจไม่อยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูก็มีวิธีแนะนำอีกให้ใช้ "กสิณ ๔" อย่าง เป็นกสิณสี เรียก "วรรณะกสิณ"

คือ กสิณสีแดง สีเหลือง สีขาว สีเขียว อย่างใดอย่างหนึ่ง จับภาพให้เป็นอารมณ์ ให้จิตทรงภาพกสิณนั้นไว้ ก็สามารถที่จะทำลายโทสจริตได้ เมื่อจิตใจของเราทำลายโทสะจริตได้ก็จะมีแต่อารมณ์เยือกเย็น เพราะโทสะเป็นอารมณ์เร่าร้อน ถ้าเราทำลายมันเสียได้ มันก็จะมีความเย็นจิตจะมีความสุข และทรงสมาธิอยู่ได้นาน เรียกว่าเราก็ใกล้จะถึง "พระนิพพาน" เต็มทีเข้าไปแล้ว แม้แต่การเจริญสมถะภาวนา

จากหนังสือ หัวใจแห่งการปฏิบัติ เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๒๖ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน








คนเรานี้แปลก เอาของจริงคือธรรมะให้ไม่ชอบ ไปชอบเอาวัตถุภาย นอกกันเสียหมด ที่พึ่งที่ประเสริฐ คือพระรัตนตรัย นั้นประเสริฐอยู่แล้ว แต่กลับไม่สนใจ พากันไป สนใจแต่วัตถุภายนอก

จึงอาจกล่าวได้ว่า เมื่อคนเราไม่สามารถจะเอาคุณพระรัตนตรัยมาเป็นที่พึ่งของตนได้ เพราะอินทรีย์ยังอ่อนอบรมมา ยังไม่เข้าถึงเหตุผล จะถือเอาวัตถุภายนอก เช่นพระเหรียญ ซึ่งเป็น รูปเหรียญรูปแทนของพระพุทธเจ้า นั้นก็ดีเหมือนกัน ถ้าผู้นั้นรู้ความหมายของวัตถุนั้นๆ

วัตถุมงคลเหล่านั้นหากจะนำไปป้องกันตัว ถ้ากรรมมา ตัดตอนแล้ว ป้องกันไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งไหนจะไปต้านทานอำนาจกรรมนั้นไม่มี

แต่ถ้าผู้นั้นรู้ความหมายในวัตถุนั้นๆ ว่า เขาสร้างขึ้นมาส่วนมาก เขาใช้สัญลักษณ์ของผู้ที่ ทำแต่ความดี

การมีวัตถุมงคลไว้ติดตัว ก็มีไว้เป็นเครื่องเตือนสติปัญญาของตนเองไม่ให้ประมาทในการ กระทำของตน ต้องทำแต่ความดีเสมอ เพราะโลกเขาบูชานับถือแต่คนดี

เรามีของดีอยู่กับตัว ก็ต้องทำแต่ความดีอย่างนี้แล้ว ก็นับว่าผู้นั้นได้ประโยชน์จากวัตถุมงคล นั้นๆ
...........................
ธรรมคำสอน.หลวงปู่แหวน สุจินโณ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO