นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พุธ 03 ก.ย. 2025 3:25 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: สติความระลึกได้
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 16 ส.ค. 2025 5:44 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5038
พระพุทธภาษิต ตรัสไว้ว่า

ทำดีเช้า ก็เป็นฤกษ์ดีเวลาเช้า
ทำดีกลางวัน ก็เป็นฤกษ์ดีเวลากลางวัน
ทำดีเวลาเย็น ก็เป็นฤกษ์ดีเวลาเย็น

เพราะฉะนั้น ฤกษ์ดี ยามดีนั้น
จึงขึ้นอยู่แก่ "การทำดี"
ทำดีเมื่อใด ก็ฤกษ์ดียามดีเมื่อนั้น
...
พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร







"..ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้ นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจแม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้ ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






...#คนที่มีมรณานุสสติกรรมฐานอยู่เสมอ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ นึกถึงความตายก็อย่าไปท้อคิดว่าถ้าเราตายคราวนี้ เราจะไปไหน ทางที่เราจะไปได้ คือ

๑.นรก
๒.เปรต
๓.อสุรกาย
๔.สัตว์เดรัจฉาน
๔.มนุษย์
๕.สัมภเวสี
๗.รุกขเทวดา
๘.ภูมิเทวดา
๙.อากาศเทวดา
๑๐.พรหม
๑๑.นิพพาน

...ถ้าเรานึกถึงความตาย ถ้าเราตายเวลานี้ ไอ้ความตาย เราต้องคิดว่าจะต้องตายเวลานี้อยู่เสมอ #อย่าไปคิดว่าอีกไม่กี่วันตาย เวลานี้เราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ ถ้าเราคิดอย่างนี้ ก็ต้องคุมกําลังใจ ว่าเราจะไปไหน คุมกําลังใจเอาไว้ ถ้าเรา อยากจะไปอบายภูมิ ๔ ศีล ๕ ไม่ต้องไปเคารพมัน เก็บไว้สักตัวสองตัวก็ได้ หรือ ๓ ตัว มันก็ดึงลงนรกเอง ไม่ต้องห่วง

...ถ้าเราต้องการเกิดมาเป็นคน #ก็ให้มีกรรมบถ ๑๐ เป็นปกติ หรือ #ศีล ๕ เป็นปกติ จึงจะเกิดมาเป็นคน เป็นคนก็เป็นคนชั้นดี

...ถ้าเราต้องการเป็นเทวดาชั้นไหนก็ตาม จิตก็ทรงหิริและโอตัปปะ
#หิริ อายความชั่ว
#โอตตัปปะ เกรงกลัวผลความชั่ว อย่างนี้เราก็เป็นเทวดา

...ถ้าเราต้องการเป็นพรหม #ก็ทําจิตให้ทรงฌานสมาบัติ ในกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง ที่เราต้องการ ที่เราชอบ

...ถ้าเรา อยากจะไปนิพพาน ก็ต้องใช้ศัพท์ว่า "#ไม่เอาไหน" ไม่เอาไหนก็คือ พยายามตัดโลภะ ความโลก ก็โดยการให้ทาน แต่การให้ทานอันนี้ไม่ใช่การทุ่มเท คือ #ให้พอดีพอควร ไม่เดือดร้อนกับตัวเรา แต่จิตเราคิดไว้เสมอว่า #ถ้าเรามีโอกาสเราจะสงเคราะห์คนและสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุข

...พยายามตัดความโกรธและความพยาบาท ค่อยๆ ตัด วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง ตัดมันล่ะชั่วโมง ชั่วโมงนี้ใครจะด่าจะว่ายังไงก็ช่าง #ขันติและความอดทน ถ้าทำได้วันล่ะหนึ่งชั่วโมง ไม่เกิน ๓ เดือน มันจะทรงจิตตลอด ๒๔ ชั่วโมง นี้เป็นวิธีแบบย่อนะ

พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร)






"สติ...เป็นพื้นฐาน
ทุกด้าน ทุกทาง ไม่มีคำว่า...ครึล้าสมัย
ในธรรมทุกชั้น ชั้นหยาบ ชั้นกลาง ชั้นละเอียด ถึงชั้นสูงสุด...ปราศจากสติ ไม่ได้เลย

สติ...เป็นสำคัญ เป็นพื้นฐาน
แห่งการชำระล้างกิเลส ทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น...
ขอให้พระนำไปปฏิบัติ ใครมีสติดีคนนั้นแหละ จะประคองความเพียร ได้ดี

สติ...
ตั้งให้มั่นคง."
_______________________________________
องค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.









"#จงอย่าตัดสิน หรือหมิ่นบุคคล
แค่เพียงดูแต่เครื่องแบบภายนอก
ที่อยู่ในเพศฆราวาส พลาดพลั้ง
อาจจะยังให้ลงสู่มหานรก โดยไม่รู้ตัว!!"

#คำเทศน์สอนของท่านหลวงพ่อปาน #โสนันโท
องค์พระสุปฏิปัณโณพระอริยสงฆเจ้า
#องค์ผู้เป็นองค์ครูบาอาจารย์
#แห่งท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

#อย่าลืมนะว่า อันอภิญญาโลกียวิสัยนั้น
ยังสามารถมีผัว มีเมียได้นะ
ไม่ใช่ว่านักเจริญพระกรรมฐาน
จะต้องเลิกจากผัว จะต้องเลิกจากเมีย
มันไม่ใช่อย่างนั้น!!

#ถ้าเรื่องของศีลเขาไม่ขาดละก็
เขาทำของเขาได้ นับแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี
เขายังครองเรือนได้ ยังมีลูกเต้าได้

#แต่สำหรับพระอนาคามีเท่านั้นแหละ
ถึงแม้จะอยู่บ้าน ก็อยู่อย่างไม่มีความหมาย
เพราะความรู้สึกทางเพศไม่มี นี่ส่วนที่เป็นฆราวาส
อย่าว่าแต่โลกียเลย แม้แต่พวกที่ได้โลกุตตระ
คือเป็นพระอริยเจ้า ยังอยู่ได้ ถึงพระอนาคามี

นี่บรรดาลูกหลานทั้งหลายที่ฟัง อาจจะสงสัยว่า
คนที่ได้ฌานโลกียะ ได้กสิณ ได้อภิญญาแล้ว
ทำไมจะมามีลูกมีเมียเป็นฆราวาสอยู่
ทำไมไม่ออกบวช

เรื่องของการบวชนั้นเป็นเรื่องของสมณวิสัย
มันคนละเรื่องกัน..ฉันว่ามีความจำเป็นน้อย
คนที่เป็นชาวบ้านจะทำความดีนี่
ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระ!!
เครื่องแบบชาวบ้านก็ทำความดีได้!!

#แต่งกายแบบชาวบ้านก็สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้!!
อย่าว่าแต่แค่ฌานโลกียวิสัยเลย
ที่ใส่เครื่องแบบฆราวาสที่เป็นอริยเจ้าก็มีอยู่ถมเถไป

สมัยเมื่อพระพุทธองค์ยังมีพระชนมชีพอยู่
พระภิกษุไปเจริญพระกรรมฐานอยู่ในป่าทึบ
มีความอดอยาก บางวันท่านคิดว่า
พรุ่งนี้ถ้าเราได้กินข้าวต้มสักนิดก็จะดี
ก็ปรากฏว่ามีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง
ได้นำข้าวต้มมาถวายแต่เช้า

บางวันท่านคิดว่า...พรุ่งนี้มีอะไรสักหน่อยหนึ่ง
ที่ท่านชอบได้ขบฉันสักหน่อยก็จะดี
ปรากฏว่าโยมสตรีนั้น ก็นำมาถวายให้แต่เช้า!!
พระท่านก็สงสัย ถามโยมแก แกก็ไม่ตอบ

ต่อมาเมื่อกลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
ก็ได้ถามข้อสงสัยกับพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ ได้ทรงตอบว่า
นางผู้นั้นได้สำเร็จ "อนาคามีผล"
เป็นพระอริยบุคคลแล้ว
และก็เป็นขั้นปฏิสัมภิทาญาณ เสียด้วย
(จึงได้เจโตปริยญาณ รู้ใจภิกษุรูปนั้น)

นี่จะว่าพระจะดีกว่าฆราวาสเสมอไปไม่แน่นักนะ
นั่นพระยังเป็นโลกียชน
แล้วคนๆนั้นเขาเป็นพระอริยเจ้าขั้น
"อนาคามีบุคคล" เชียวละ พระทันเขาที่ไหน!?....ฯลฯ..."
#พระวิสุทธิธรรม #หลวงพ่อปาน #วัดบางนมโค







"..ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้ นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจแม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก ถ้าเป็นศีลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้ ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)








"กรรมครั้งอดีตนั้น ต้องแก้ด้วยการเจริญทุกขเวทนา
มีเวทนาแล้วต้องสู้ เวทนาจะเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
เราจะรู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้
กรรมปัจจุบันแก้ด้วยการกำหนดทางอายตนะ
ธาตุอินทรีย์ หน้าที่การงาน ให้มันดับไป
อย่ามาติดใจและข้องอยู่แต่ประการใด
ไฟราคะ โทสะ โมหะ ก็จบไม่ลุกลามไปถึงอนาคต"

๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๘ น้อมรำลึก ครบ ๙๗ ปีชาตกาล
พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
วัดอัมพวัน สิงห์บุรี







"...ขอให้ท่านทั้งหลาย สำรวจดูความสุขว่า
ตรงไหนที่ตนเห็นว่า มันสุขที่สุดในชีวิต
ครั้นสำรวจดูแล้ว มันก็แค่นั้นแหละ แค่ที่เรา
เคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น
มากกว่านั้นไม่มี โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง

แล้วก็ซ้ำๆ ซากๆ อยู่แค่นั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย
อยู่ร่ำไป มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า
ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น

พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อย
นั้นเสีย เพื่อแสวงหาสุข อันเกิดจากความสงบ
กาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอด
ภัย หาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย..."

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล








"..ชีวิตนี้เป็นประดุจผ้าขี้ริ้ว เป็นเหมือนถังขยะที่คอยเก็บอานิสงส์ของกรรมดีชั่ว แล้วก็ได้ผลแก่เราเป็นผู้เสวย ถ้าเรานำชีวิตที่เราพิจารณาเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว น้อมพิจารณาให้เกิดธรรมะขึ้นภายในใจ ธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจนั่นแหละจะเป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วห่อทองขึ้นมาทันที เพราะร่างกายของคนนี้ไม่มีค่า มันมีค่าอยู่ที่หัวใจที่มีธรรม รูปธรรมทุก ๆ อย่างจึงเป็นผ้าขี้ริ้ว นามธรรมคือหัวใจ ที่ฝึกปฏิบัติจนได้เห็นธรรมตามความสามารถ นั่นแหละเป็นทอง คือธรรมสมบัติอันล้นค่า ปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นสักขีพยาน.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
(พ.ศ.๒๔๕๙-๒๕๔๗)






“ความดี กับความไม่ดี
ขึ้นอยู่กับเหตุ คือ เราทำไว้
ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนพูด “

หลวงปู่ศรี มหาวีโร






#บ้านไหนมีบุญ_เรารู้ได้

คนในบ้านรู้จักเคารพพ่อแม่ เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ทำอะไรก็มีความสุข มีความหมาย คนไม่รู้จักบุญก็วุ่นวายอยู่นั่น จะทำบุญแต่ละครั้งต้องฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ไม่รู้จักเสียเลยจริงๆ

บุญไม่ลำบากอย่างนั้นนะ ง่ายๆทำไปแล้วสบาย คิดขึ้นมาตอนไหนก็สบายใจ จะอยู่บ้านไหนเมืองไหนก็สบาย ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าเข้าถึงธรรมะแล้วเป็นอย่างนั้น.

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ชา_สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี








..ใช้สติความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัวว่าเราทำอะไร เดี๋ยวนี้เราทำอะไร สิ่งที่เราทำไปแล้วจะเกิดทุกข์หรือเกิดสุขขึ้นมาแก่ตน เราก็ควรพิจารณาตรงนี้คือในปัจจุบัน เรียกว่าเราจะดูการกระทำการปฏิบัติของตนเองนั้น ถูกหนทางหรือผิดหนทาง ถูกตามหลักศีลธรรมไหม หรือว่าถูกต้องตามทำนองคลองธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา จะนำพาให้ตนเองมีความสุขความเจริญให้บุคคลอื่นมีความสุขความเจริญด้วย อันนี้ก็เรียกว่าเราพิจารณาอยู่ด้วยสติปัญญาของเรา เรียกว่ามีสติสัมปชัญญะ ตามดูการกระทำของตนเอง ว่าปัจจุบันยืนเดินนั่งนอนไปที่ไหนแห่งหนตำบลใดที่ใดก็ดี ให้พยายามที่จะดูในปัจจุบันที่ตนเอง อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ การกระทำนั้นเป็นผลเป็นประโยชน์ ทั้งชาตินี้และชาติหน้าไหม นี่เรียกว่า เราต้องตามดูการกระทำของตนเองให้เข้าใจ ถ้าหากเราเข้าใจแล้วว่าการกระทำของตนเอง ทำแล้วทำให้เกิดทุกข์กับตนเองและบุคคลอื่น เราก็ควรจะรู้ในสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี การกระทำของตนเองเป็นบาปนำความทุกข์มาให้แก่ตน ทุกคนก็ควรจะละและปล่อยวางการกระทำของตนเองอย่างนั้นเสีย เมื่อเราทำอะไรแล้ว ทำแล้วมีความสุขเกิดขึ้นทั้งตนเองและบุคคลอื่น การกระทำคุณงามความดีนั้นของพวกเราที่อยู่ด้วยกัน อยู่ร่วมกันทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่างๆก็ดี ทำแล้วทำให้เกิดผลเกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ก็ให้รู้จักว่าเราได้ทำคุณงามความดี นำพาตนเองให้มีความสุขเกิดขึ้นในการกระทำของตนเอง เรียกว่าดูอยู่ในปัจจุบัน ปัจจุบันก็คือเดี๋ยวนี้เวลานี้ และเวลาต่อๆไปในวันนี้ อย่างนี้ทุกวันๆ..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..






"ให้สู้ด้วยการละทิ้ง อย่าไปยึดเอาถือเอา
เขาว่าให้เรา เขาดูถูกเรา เสียงไม่ดีเข้าหู
ก็เพียรละออกไปให้มันหมดสิ้น

มนุษย์มีปาก ห้ามมันไม่ให้พูดไม่ได้
มนุษย์มีตา ห้ามไม่ให้มันดูไม่ได้
มันเป็นเรื่องของโลก

ท่านจึงตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
มันเป็นความร้อน ความร้อนคือกิเลส
กิเลสเหมือนกับไฟ ไฟมันเป็นของร้อน"

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร







“ความดี กับความไม่ดี
ขึ้นอยู่กับเหตุ คือ เราทำไว้
ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนพูด “

หลวงปู่ศรี มหาวีโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 38 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO