"...ปลาหนองเดียวกัน ไม่ว่าปลาเล็กปลาใหญ่ หรือปลาอะไรก็ช่าง เมื่อน้ำแห้งย่อมตายหมด เสมอกัน เมื่อเวลาอยู่ด้วยกันอย่าขัดข้องกันนัก เลย จงทำตัวให้พอเหมาะพอสม และอยู่ด้วยกัน อย่างเป็นสุขสงบเถิด..."
ธรรมะท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดบรมนิวาส กทม.
"แก่นแท้ของธรรม อยู่ที่สติ... จงหมั่นทำสติให้แก่กล้า สติทำอะไรไม่ผิดพลาด กุศล และธรรม ทั้งหลาย คุณงามความดี ทั้งหลาย เกิดขึ้นได้ เพราะบุคคลมีสติ...อย่างเดียว จะคิด พูด จะทำ ให้มีสติระลึกนึกเสียก่อน มันผิด ก็ให้รู้ มันถูก จึงค่อยทำ
ผู้อื่น... ไม่ได้ ทำให้จิตของเราเศร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว เราเองเป็นผู้ทำให้จิต ของตน เศร้าหมอง ผู้อื่น...ช่วยไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้า ก็ช่วยไม่ได้ ท่านทรงเป็นผู้บอกทางให้ เท่านั้น...
ผู้ปรารถนาความเจริญ ความสุข ต้องหมั่นฝึกฝน อบรมตนเอง ทำเอง รู้เอง ได้เอง ใครทำ ใครได้." ------------------------------------------------------------------ หลวงปู่ขาว อนาลโย
"ที่แกทำ ๆ ไปน่ะ มันสูญเปล่า ชีวิตจะมีค่าก็ตอนไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาเท่านั้น"
เงินทอง ทรัพย์สมบัติที่หากันมาก็แค่ "หาอยู่ หากิน" เลี้ยงอัตภาพร่างกายเท่านั้น พอหมดลมแล้วก็หมดกัน เอาติดตัวไปไม่ได้ ไม่เหมือนการภาวนาเพื่อพัฒนายกระดับจิตใจให้มันกินลึกไปข้างในและเอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปได้
สมบัติทางโลก จะมากมายและวิจิตรประณีตขนาดไหน มันก็เป็นแค่ "สมบัติน้ำแข็ง" อยู่ดีเพราะมันจะค่อยๆ ละลายเรากำมันไว้ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
หลวงปู่เคยเล่าว่า
"เด็กทารกทั่วไปเกิดมาก็กำมือมา บ่งบอกการเกิดมาพร้อมกับความยึดมั่นถือมั่น"
พวกเราลองพิจารณาดูเถิด สุดท้ายตอนตายทุกคนก็ต้องแบมือหมด แม้น้ำที่คนเขามารดน้ำศพก็ยังกำเอาไว้ไม่อยู่เลย
อาหารที่สุดแสนประณีตก็ได้แค่อิ่ม บ้านที่เป็นดุจคฤหาสน์ก็แค่ที่พักอาศัยหลับนอนไปคืนหนึ่งๆ มนุษย์สร้างสมมุติที่ซับซ้อนหรอกตัวเองเสียจนหลงลืมความจริงพื้นฐานของชีวิต
"สมบัติน้ำแข็ง"
คือข้อที่ควรคิดคำนึงเพื่อเตือนจิตเตือนใจตนเองไว้เสมอ ๆ เพื่อให้ตระหนักว่ากิจกรรมชีวิตอันใดที่เราควรทุ่มเท กิจกรรมชีวิตอันใดที่ทำเพียงแค่พอเป็นเครื่องอาศัย
" เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้พากันปฏิบัติ "
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
"..พระอรหันต์ไม่ได้ผุดขึ้นมาจากไหน ก็มาจากหัวใจของปุถุชน มาจาก ราคะ โทสะ โมหะ ถ้าหากใจปุถุชนนั้นพยายามบากบั่นฝึกปรือตนให้เดินตามมรรคาสัมมาปฏิบัติ พระอรหันต์ก็มาจากที่นั่น กลั่นกรองมาจากที่นั่น เหมือนดอกบัวมาจากขี้ตม ขี้โคลนเน่า ๆ เหม็น ๆ แต่พอพ้นน้ำ รับแสงอาทิตย์แย้มบานเต็มที่ มีสง่าราศี ใครก็อยากได้อยากชม.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
"... เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา เกิดขึ้นทางใจ รู้ทันมันเดี๋ยวนี้มันก็ดับไปเดี๋ยวนี้แหละ ตัว สติมันปกครองอยู่เสมอ
... ถ้ามีสติอยู่ทุกเมื่อมันบ่ได้คุมมันล่ะ ครั้น เกิดขึ้นรู้ทันมันก็ดับ รู้ทันก็ดับ รู้ทันก็ดับ คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ พอใจไม่พอใจก็ดับลงทันทีที่ตัวสติ ..." _____________________________________ #หลวงปู่แหวน_สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง ต.แม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๓๐ - ๒๕๒๘)
"ที่แกทำ ๆ ไปน่ะ มันสูญเปล่า ชีวิตจะมีค่าก็ตอนไหว้พระ สวดมนต์ ภาวนาเท่านั้น"
เงินทอง ทรัพย์สมบัติที่หากันมาก็แค่ "หาอยู่ หากิน" เลี้ยงอัตภาพร่างกายเท่านั้น พอหมดลมแล้วก็หมดกัน เอาติดตัวไปไม่ได้ ไม่เหมือนการภาวนาเพื่อพัฒนายกระดับจิตใจให้มันกินลึกไปข้างในและเอาติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปได้
สมบัติทางโลก จะมากมายและวิจิตรประณีตขนาดไหน มันก็เป็นแค่ "สมบัติน้ำแข็ง" อยู่ดีเพราะมันจะค่อยๆ ละลายเรากำมันไว้ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
หลวงปู่เคยเล่าว่า
"เด็กทารกทั่วไปเกิดมาก็กำมือมา บ่งบอกการเกิดมาพร้อมกับความยึดมั่นถือมั่น"
พวกเราลองพิจารณาดูเถิด สุดท้ายตอนตายทุกคนก็ต้องแบมือหมด แม้น้ำที่คนเขามารดน้ำศพก็ยังกำเอาไว้ไม่อยู่เลย
อาหารที่สุดแสนประณีตก็ได้แค่อิ่ม บ้านที่เป็นดุจคฤหาสน์ก็แค่ที่พักอาศัยหลับนอนไปคืนหนึ่งๆ มนุษย์สร้างสมมุติที่ซับซ้อนหรอกตัวเองเสียจนหลงลืมความจริงพื้นฐานของชีวิต
"สมบัติน้ำแข็ง"
คือข้อที่ควรคิดคำนึงเพื่อเตือนจิตเตือนใจตนเองไว้เสมอ ๆ เพื่อให้ตระหนักว่ากิจกรรมชีวิตอันใดที่เราควรทุ่มเท กิจกรรมชีวิตอันใดที่ทำเพียงแค่พอเป็นเครื่องอาศัย
" เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้พากันปฏิบัติ "
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
...ถ้าพูดถึงวิมุติ #ตัวตนก็ไม่มี เป็นธรรมธาตุอันหนึ่ง เกิดขึ้นมาเพราะเหตุเพราะปัจจัยเกิดขึ้นมาเท่านั้น เราก็ไปสมมติว่ามันเป็นตัวเป็นตนเกิดขึ้นมา เมื่อเป็นสมมุติเป็นตัวเป็นตนก็ยึดตัวยึดตนนั้นอีก เลยเป็นคนมีตน
...ถ้ามี "ตน" ก็มี "ของตน" ถ้าไม่มี "ตน" "ของตน" ก็ไม่มี ถ้ามี "ตน" #มันก็มีสุขมีทุกข์ ถ้ามี "ตน" มันก็มี "ของตน" พร้อมกันขึ้นมาเลย เราไม่รู้เรื่องอย่างนั้น ฉะนั้นคนเราจึงไปคิดว่า อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย
...พูดถึงเรื่องกระแสพระนิพพานแล้ว ถ้าไม่รู้ปัจจัตตังแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะปรารถนาอะไร ถึงพระนิพพานนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องปรารถนาอีกด้วย #พระนิพพานปรารถนาไม่ได้เหมือนกัน อย่างนี้มันเป็นลักษณะที่เข้าใจยาก
...ถึงเราจะเข้าใจในเรื่องพระนิพพาน แต่จะพูดให้คนอื่นฟังก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน มันไม่เข้าใจ เพราะธรรมอันนี้ ถ้าแบ่งให้กันได้ มันก็สบายล่ะสิ แต่ธรรมนี้มันเป็นปัจจัตตัง มันรู้เฉพาะตัวของเราเอง บอกคนอื่นได้ แต่มีปัญหาอยู่ว่าคนอื่นจะรู้ไหม
...ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "อักขาตาโร" ตถาคตา แปลว่า #พระตถาคตเป็นแต่ผู้บอก นั่นก็เหมือนกับเราทุกวันนี้แหละ เป็นผู้บอก ไม่ใช่ผู้ทำให้ บอกแล้ว ให้เอาไปทำ จึงจะเกิดความมหัศจรรย์ขึ้น เกิดความเป็นจริงขึ้นเฉพาะตนเป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ #วิญญูชนรู้เฉพาะตัวเองเท่านั้น
...อย่างพูดวันนี้จะมาเชื่ออาตมานั้นก็ยังไม่ใช่ของดี มันยังไม่ใช่ของแท้ คนที่เชื่อคนอื่นอยู่ พระพุทธองค์ท่านว่ายังโง่อยู่ พระพุทธองค์ท่านให้รับรู้ไว้ #แล้วไปพิจารณาให้มันเกิดขึ้นมาโดยเฉพาะตัวเราเอง ธรรมนี้มันจึงเป็นปัจจัตตังอย่างนั้น
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
คำยืนยันจากหลวงปู่มั่น
"ศาสน์-กษัตริย์" เปรียบเสมือนเสาหลักค้ำจุนกันและกัน!!
"ถ้าขาดพระมหากษัตริย์พระอริยบุคคลก็หายไปด้วย"!!
เรื่องของพระอริยบุคคลนี้ พระอาจารย์มั่นปรารภไว้หลายสถานที่ หลายวาระต่าง ๆ กัน แล้วแต่เหตุ
ท่านกล่าวว่า ชาวพุทธมีหลายประเทศ แต่จะขอกล่าวเฉพาะที่ใกล้เคียง คือ เขมร ลาว เวียดนาม และพม่า นอกนี้ไม่กล่าว
พระอาจารย์มั่นบอกว่า "เราไม่ได้ว่าเขาเหล่านั้น แต่ได้พิจารณาแล้ว ไม่มีก็ว่าไม่มี มีก็ว่ามี"
ท่านหมายถึงว่า พระอริยบุคคลในประเทศเหล่านี้มีที่ประเทศพม่าเพียงคนเดียว อยู่ในหมู่บ้านที่ท่านไปจำพรรษา เป็นผ้าขาว (อุบาสกผู้ถือศีล) ซึ่งเล่ากันว่า บุตรสาว บุตรเขย และบุตรชายของผ้าขาวคนนั้นล่ะ ที่มาจัดเสนาสนะของบิดาเพื่อถวายพระอาจารย์มั่นและท่านเจ้าคุณบุญมั่นครั้งจำพรรษาที่ประเทศพม่า
ท่านว่า "ยกเว้นสยามประเทศแล้วนอกนั้นไม่มี!
สำหรับสยามประเทศตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน...มีติดต่อมาโดยไม่ขาดสาย ทั้งคฤหัสถ์ชายหญิงและบรรพชิต แต่มรรคขั้นต้นคฤหัสถ์มากกว่าทั้งปริมาณ และมีสิกขาน้อยกว่า"
พระอาจารย์มั่นกล่าวต่อไปว่า "เราไม่ได้ว่าเขา! เราไม่ได้ดูหมิ่นเขา! เพราะประเทศเหล่านั้นขาดความพร้อมคือคุณสมบัติหลายอย่าง เช่น เรื่องอักขระที่ไม่เป็นพุทธภาษา (คือเป็น 'ฐานกรณ์วิบัติ') และองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ ‘องค์พระมหากษัตริย์ของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา’ ... นี้ก็สำคัญ ขาดไม่ได้ ถ้าขาดไป อริยบุคคลก็ขาดไปด้วย!!"
ท่านยังกล่าวอีกว่า "เมื่อพระพุทธเจ้าจะประกาศพระศาสนา ทรงหาหลักค้ำประกันอันมั่นคง คือมุ่งไปที่พระเจ้าพิมพิสาร ... ความสำคัญอันนี้มีมาตลอด หากประเทศใดไม่มีองค์ประกอบนี้ซึ่งเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก...ก็ปฏิเสธได้เลย
เปรียบเหมือนกับก้อนเส้า (ก้อนหินที่นำมาตั้งเป็นเตาทำอาหาร) สามก้อน
ก้อนที่หนึ่ง คือ ความเป็นชาติ ก้อนที่สอง มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ก้อนที่สาม มีพระมหากษัตริย์เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก หากขาดไปก้อนใดก้อนหนึ่งก็จะขาดความสมบูรณ์ไป ไม่สามารถจะใช้นึ่งต้มแกงหุงหาอาหารได้"!!
#ที่มาหนังสือ_รำลึกวันวาน (หนังสือรวบรวมเกร็ดประวัติ ปกิณกธรรม และพระธรรมเทศนาแห่งหลวงปู่มั่น จากบันทึกความทรงจำของหลวงตาทองคำ จารุวัณโณ)
" น้ำในมหาสมุทรมีมากมายมหาศาล ยังไม่มีวันเต็มฉันใด ความโลภ กิเลสตันหา ความอยากได้ของมนุษย์ ก็ไม่มีวันเต็มฉันนั้น "
หลวงปู่ศืลา_สิริจันโท
“คนเราอยู่อย่างไรก็ตายอย่างนั้น ถ้าคนเรารู้จักวิธีตาย เราก็จะรู้จักวิธีที่จะอยู่ การที่คนเรารำลึกถึงความตายอยู่เสมอ ก็จะทำให้เราเห็นคุณค่าของชีวิต ความตายทำให้เราตระหนักได้ว่า เรามีความจำกัดของเวลาในโลก ชีวิตจึงควรดำเนินไปอย่างมีค่าที่สุด” ... พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
"..ร่างกายเรานี้เป็นสมบัติของบิดาของมารดา ธาตุดินเป็นสมบัติของบิดา ธาตุน้ำเป็นสมบัติของมารดา ไม่ใช่ของเรา ฉะนั้นผู้ใช้สมบัติของบิดามารดา ผู้ใช้เป็น เป็นบุญเป็นกุศลแก่ตัวของตน ผู้ใช้ไม่เป็นไปเหยียบย้ำทำลายบิดามารดาเอาสมบัติของบิดามารดาไปทำความชั่วช้าเสียหาย เอาไปฆ่าสัตว์ เอาไปลักทรัพย์ เอาไปประพฤติผิดในกาม เอาไปดื่มสุราเมรัยของเมา เอาไปโอ้อดพกลมให้บุคคลอื่นสัตว์ได้รับความทุกข์ ความร้อน นี่แปลว่าไม่ยกพ่อไม่ยกแม่ไว้ที่สูง เอาไปเหยียบย้ำทำลาย เหยียบพ่อเหยียบแม่ในโคลนในตม ไม่เชื่อพ่อไม่เชื่อแม่ ไม่กราบไม่ไหว้ เพราะฉะนั้นพวกเราประมาทพ่อแม่ ไม่มีความเคารพยำเกรง มันจึงมีโทษ มีบาปมีกรรมติดตน หาความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมไม่ได้.."
#หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม วัดป่าสีห์พนม อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
คำว่า “ธรรม” มีความละเอียดอ่อนมาก เกินกว่าจะคาด จะหมาย จะคิด จะค้น จะเดาใด ๆ ทั้ง
ถ้าจิตไม่ไปสัมผัสเอง จะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไรเลย นับแต่สมาธิธรรม ซึ่งเป็นธรรมขั้นพื้น ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งถึงธรรมขั้นวิมุตติหลุดพ้น เป็นความละเอียดลออเข้าไปโดยลำดับตามขั้นของตน ๆ
คำว่าโลกกับธรรมนี้ คือจอมปราชญ์ผู้รู้รอบขอบชิดในธรรมทั้งหลาย อย่างประจักษ์และสมบูรณ์เต็มที่ในพระทัย คือพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆแล้วจึงได้ให้นามว่า “ธรรม” อันเป็นคู่เคียงของโลก
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
|