"ความรู้สึกชอบ กับความรู้สึกชังนี้ ตามความหมายอันแท้จริงของทางธรรมแล้ว ท่านถือว่าเป็นความทุกข์เท่ากัน"
ท่านพุทธทาสภิกขุ
"จิต" คนเรามีพลัง มีอำนาจมาก ขอให้ภาวนา ทานก็ทำ เป็นสมบัติติดตัว ติดตามไปทุกภพ ทุกชาติ แต่จิตภาวนานี้ มีอำนาจมาก มีพลังมากขอให้ "ภาวนา" อย่าได้ขี้เกียจภาวนา
ภาวนาจนจิตสงบ จิตรวมลงเหมือนเส้นด้ายพุ่งเข้ารูเข็มให้ได้เสียก่อน แล้วจึงหมุนสู่ขั้นปัญญา สมาธิก็เหมือนการรวบรวมทรัพย์ เมื่อมีมากจนเพียงพอแล้ว ก็เอาทรัพย์ออกไปใช้ คือ เอาปัญญาออกไปฆ่ากิเลส เข้าใจมั้ย...
#หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร
"..เราควรตามรู้ตามเห็น เพราะเราต้องการอยากพ้นทุกข์ และตัวเราเป็นผู้รู้อยู่ ถ้าเรารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นไปเพื่อทุกข์เพื่อโทษ เราจะปล่อยให้เราเป็นทุกข์เป็นโทษอยู่ตั้งหลายภพหลายชาติหลายกัปหลายกัลป์เช่นนั้นหรือ เราต้องรีบชำระสะสางอารมณ์สัญญาของเราที่ลุ่มหลงมัวเมาให้เกิดความรู้เท่าเอาทัน ให้นั่งพิจารณาดูว่า เราต้องการความสุขคือความพ้นทุกข์ ถ้าสิ่งเหล่านั้นเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ เป็นไปเพื่อความสุขแล้ว เราก็ต้องรักษาและปฏิบัติเอาใจใส่ในสิ่งเหล่านั้น ทำให้มากเจริญให้มากขึ้น.."
อาจาโรวาท หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร
ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ธรรมทาน#หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
มันเป็นเรือนร่างที่เราอาศัยอยู่ชั่วคราว เป็นบ้านเช่าเท่านั้น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม สร้างขึ้นมาให้เราเช่าชั่วคราว และมันก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่มีการทรงตัว ทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา ไม่ช้ามันก็พัง ถึงเวลาแล้วมันก็ไล่เราออกจากบ้านไป ปล่อยเอาไฟเผาบ้านเสียอีก หรือไม่อย่างนั้นก็เอาบ้านไปฝังดิน นี่พูดถึงตาย เราคือใคร เราคือจิต ที่ติดอยู่ในบ้านหลังนี้ คือ ร่างกาย
================= จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔๐๖ เดือน มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ หน้า ๖๙
#เหตุของการปฏิบัติ..!!
"... การภาวนา หมายความว่า ให้คิดดูให้ชัดๆ พยายามอย่ารีบร้อนเกินไป อย่าช้าเกินไป ค่อยทำค่อยไป แต่ให้มีวิธีการและจุดหมาย ในการปฏิบัติภาวนานั้น
... ทุกคนที่ออกมาปฏิบัตินั้น ก็ออกมาด้วย “ความอยาก” กันทั้งนั้น มันมีความอยาก แต่ความอยากนี้ บางทีมันก็ปน กับความหลง ถ้าอยากแล้วไม่หลง
... มันก็อยากด้วยปัญญา ความอยากอย่างนี้ท่านเรียกว่า.. เป็นบารมี ของตน แต่ไม่ใช่ทุกคนนะที่มีปัญญา บางคนไม่อยากจะให้มันอยาก เพราะเข้าใจว่าการมาปฏิบัติก็เพื่อระงับความอยาก ความจริงน่ะ..
... ถ้าหากว่าไม่มีความอยาก ก็ไม่มีข้อปฏิบัติ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ลองพิจารณาดูก็ได้ ..." ---------------------------------------------------------------- #พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี (พ.ศ.๒๔๖๑ - ๒๕๓๕)
..ขอให้ทำสมถะให้เชี่ยวชาญเสียก่อน ให้จิตมันหนักแน่น จิตมันนิ่ง เเล้วจึงค่อยพิจารณาออกทางปัญญา เป็นวิปัสสนา สมถะก็เปรียบเสมือนกำลัง สร้างกำลังให้แก่จิต เมื่อจิตมีกำลังแล้ว จึงพิจารณาวิปัสสนา วิปัสสนาเมื่อมีกำลังเต็มที่แล้ว ก็เหมือนมีดอันแหลมคมไว้ฟาดฟันกิเลสให้ขาด..
..#โอวาทธรรมหลวงปู่อินสม สุวีโร..
.
#หนีนรกแบบง่ายๆ
"ใช้วิธีบูชาพระเป็นประจำ" การบูชาพระ การสวดมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสวดมนต์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องสวดมากถ้าว่าอะไรไม่ได้มากก็ว่า อิติปิ โสฯ บทเดียวก็พอ ว่า นะโม ตัสสะ แล้วว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เสร็จ อิติปิ โสฯ บทเดียวก็พอ หลังจากนั้นถ้ามีเวลาติดต่อกันเลยนั่งภาวนาพุทโธสัก ๒ - ๓ นาที เท่านี้พอแล้ว
ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันตามเวลากำหนดไว้ ว่าเวลาไหนเป็นเวลาที่เราว่าง เราควรจะมีการบูชาพระ ให้ทำประจำเวลา แล้วก็ทำไปอย่างนี้เรื่อยๆ จนกว่าต่อไปในวันหน้าถ้าถึงเวลานั้นแล้วไม่ได้บูชาพระใจไม่สบาย อย่างนี้
"ถือว่าเป็นฌานในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ"
คือพอถึงปั๊บต้องบูชาพระถ้าไม่ได้บูชาพระรำคาญใจ ต้องทำ ถ้าอย่างนี้ตายแล้วลงนรกไม่ได้ต้องไปสวรรค์ก่อน อีกประการหนึ่ง ถ้าจะยิ่งไปกว่านั้น ก็จัดการ "ถวายอาหารแก่พระพุทธรูปทุกวัน" การถวายอาหารนี่ความจริงไม่ใช่ทาน เป็นการบูชา จะเป็นอาหารหวานอาหารคาวก็ได้ เป็นผลไม้ก็ได้ เป็นประจำวัน ถ้าถึงเวลาแล้วต้องถวายท่าน ถ้าไม่ถวายไม่สบายใจ อย่างนี้ถือว่าเป็นฌานในพุทธานุสสติ เป็นฌานในจาคานุสสติด้วย ถ้าอย่างนี้ทุกคนเวลาตาย ลงนรกไม่ได้ #นี่เอาหนีนรกแบบเบาๆ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ____________ จากหนังสือ "ธรรมปฏิบัติ ๔๕" หน้า ๗๘
#โคตรภูจิต
"...เวลาอารมณ์อะไรจะเกิดขึ้นในตัวของมันเอง ก็ควรจะกำหนดรู้ในสิ่งนั้น เพื่อจะเข้าใจในสิ่งนั้น ว่าดีหรือไม่ดี ควรที่จะปล่อยวางหรือควรที่จะนำ มาพิจารณา ถ้าหากเราได้นำมาพิจารณาอยู่ ก็เรียกว่ากิเลสที่ละเอียดนั้น เรายังไม่เคยเห็น ยังไม่เคยพบ มันเข้ามาแล้วก็ต้องได้หยิบยก ขึ้นมาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในอารมณ์นั้น ในกิเลสนั้น จึงจะได้ถอดถอนปล่อยวางออกไป จิตของเรามันตั้งมั่นอยู่ มันสามารถที่จะมอง เห็นได้เมื่อมันตั้งมั่นอย่างนี้แหละ มันจึงจะ ชำระกิเลสได้ อะไรเข้ามาในจิตจึงจะเห็นได้ เมื่อปล่อยวางสักกายทิฏฐิ กิเลสความถือว่า เป็นตัวเป็นตนได้จริง เรียกว่า โคตรภูจิต พิจารณาอยู่ในโคตรของจิตที่เข้าทางหลุดพ้น เต็มตัว..."
#ที่มา หนังสือ พพิธภัณฑ์ธรรมเปลี่ยนโลก #โอวาทธรรม หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ปรมัตถบารมี คือ บารมีที่เต็มสมบูรณ์ ดังภาชนะที่เต็มสมบูรณ์ ไม่ต้องเอาอะไรมาใส่แล้ว - ความอยาก ความปรารถนา มันไม่มี - ความอยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่มี - ไม่อยากในตัณหา ราคะ #ใจจะใส #สบาย #สงบ #อิ่มเต็ม ***เป็นอารมณ์ที่ตัดความเป็นตัวเป็นตนของเราไปแล้ว*** ***ใจไม่ยึดถืออะไรแล้ว ไม่มีความปรารถนาในโลกอีก*** - พ้นจากสมมุติ ไม่มีความปรุงแต่ง ความปรารถนาใดๆ ทั้งสิ้น ***ถ้ามีความปรารถนา ใจยังยึดอยู่*** "ปรมัตถบารมี" - ไม่มีคำว่า "ฉัน" - ใจจะใส สงบ ไม่มีความปรารถนา - ใจจะใส สงบ ไม่ติดในสมถะ แต่ทรงอารมณ์มีสมาธิอยู่ได้ระดับหนึ่ง #บุคคลที่เต็มแล้วจะไม่มีความปรารถนา
___หลวงพ่อวิชัย วฑฺฒโน วัดแม่สะลาบ
การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้ เพราะผลมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้น เพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน จึงต้องสร้างวัตถุ สี แสง และคำสำหรับบริกรรม เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่ง ให้จิตรวมอยู่ก่อน… . เมื่อจิตรวมสงบแล้ว คำบริกรรมก็หลุดหายไปเอง แล้วก็ถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน คือมีวิมุตติเป็นแก่น มีปัญญาเป็นยิ่ง . หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ผู้ใดจะให้อะไรใคร ผู้นั้นจะต้องมีสิ่งนั้นเสียก่อน ผู้ไม่มี จะให้ได้อย่างไร ผู้ไม่มี จะให้ก็ให้ไม่ได้
จะปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขก็เช่นกัน ถ้าตนเองไม่เป็นสุข จะมีความสุขที่ไหนแผ่ไปให้ผู้อื่น
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
หลวงพ่อออกประกาศตนของตนเองได้เลยว่า วันหนึ่งๆนี่หลวงพ่อ ไม่ให้หลวงพ่อเสียเวลา ตั้งแต่เป็นสามเณรมาจนกระทั่งเป็นพระมานี่ หลวงพ่ออธิษฐานไว้ว่า
"ข้าพเจ้าจะต้องนั่งสมาธิทุกวัน แล้วข้าพเจ้าจะต้องพาสวดมนต์"
วันหนึ่งไม่ได้มาสวดกับพระที่ศาลา แต่ว่าสวดในกุฏิ หลวงพ่อต้องสวด แล้วก็ยังไม่เคยขาด ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ๘๐ - ๙๐ ปีมานี่ ไม่ได้ขาด เพราะว่า เรามาคิดว่า ตะวันมันตกดินนี่ มันไม่ได้ตกไปเฉยๆ มันกลืนกินชีวิตของเราไปด้วย
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า "อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง ...กิจสิ่งใดที่เป็นบุญเป็นกุศล รีบทำเสียวันนี้ทีเดียว" "โก ชัญญา มะระณัง สุเว ...ใครเล่าจะรู้จักว่า ความตายจะมาถึงเราวันพรุ่งนี้" "นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา ...ความตายเท่ากับพญามัจจุราช"
ซึ่งใครๆ จะมีอำนาจแค่ไหน ไม่สามารถที่จะสู้กับพญามัจจุราชท่านนี้ได้ ท่านจะเป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้อะไร มีเงินมีทอง มีข้าวมีของ นับหมื่นนับแสนล้าน จะไปสู้กับพญามัจจุราช..ไม่มีทาง
เพราะว่า พญามัจจุราชไม่ได้กินสินบนใคร มีแต่ว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว เขาก็จัดการทันที เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะถึงเวลานั้น เราก็ทำชีวิตของเรานี่ให้มันมีประโยชน์ซะ ไม่ได้อะไร หลวงพ่อก็ให้ขั้นสุดท้ายแล้ว
วิทิสาสมาธิ ๕ นาที เราทำ ๓ ครั้งไม่ได้ เราก็ทำสักครั้งหนึ่งก็ยังดีอย่างนี้เป็นต้น สมมุติว่า ถ้าหากว่าท่านทำได้ ๓ ครั้ง ก็เท่ากับว่าวันหนึ่งทำได้ ๑๕ นาที แล้วลองคิดดูซิ ๑๕ นาทีนี่..๑ เดือนมันได้กี่ชั่วโมง ..ได้ถึง ๗ ชั่วโมง มันก็ไม่ใช่น้อยๆ ก็สามารถที่จะปกป้องเรา และสามารถที่..เวลาเราแก่ชราภาพลง เราก็จะได้อันนี้เป็นที่พึ่ง
แล้วก็พลังจิตอันนี้ มันไม่ได้สูญเสียไปไหน มันจะเพิ่มเติม เช่น อย่างว่าวันนี้เราทำ ๕ นาที พรุ่งนี้ ๕ นาที มะรืนนี้ ๕ นาที มันก็บวกเข้าไปเรื่อย แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา ก็สติปัญญา ลองคิดดูว่า คนที่อายุ ๙๔ อย่างหลวงพ่อ ต้องลืมหน้าลืมหลัง กินแล้วว่ายังไม่ได้กิน กูไม่ได้กินนี่หว่า ทั้งๆที่มันกินไปเมื่อกี้นี้เอง นี่คือสติหลงใหล เป็นอย่างนั้นคนแก่ ท่องอันนู้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ลืม มันก็เป็นภาระต่อลูกหลานต่อไป
อย่างหลวงพ่อเวลานี้ก็ยังสวดปาฏิโมกข์ ก็ยังสวดได้ มันเป็นเรื่องอย่างนั้น..เพราะว่า"พลังจิต"
พระธรรมมงคลญาณ วิ. (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) เจ้าอาวาส วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหาร และ ประธานมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพฯ
ที่มา หนังสือแสงสว่าง หน้า ๒๓ - ๒๔
“…วันคืนยืนเดินนั่งนอนมีแต่การดูหัวใจของตน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดขึ้นแห่งเหตุทั้งหลาย ส่วนมากตัวเหตุคือสมุทัยมันเกิดที่ใจ
นอกจากนั้นยังมีเครื่องเสริมให้เกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ มีจำนวนมากมาย เรียกว่ารอบตัวของเรานี้ มีแต่ทางไหลเข้ามาแห่งกิเลสทั้งหลาย ตากระทบรูป ถ้าสติไม่มีก็เป็นไปเพื่อกิเลส หู จมูก ลิ้น กาย กระทบอะไรที่เป็นคู่เคียงแห่งกันและกัน
เช่น เสียง กลิ่น เป็นต้น มันก็เป็นความหมายไปเพื่อกิเลสทั้งนั้น นี่เรื่องของข้าศึกมีอยู่รอบตัว แล้วจิตนั้นแลจะเป็นผู้ที่คิดผู้ปรุงผู้แต่งผู้ให้ความสำคัญมั่นหมาย เพื่อให้กิเลสทั้งหลายกำเริบขึ้นภายในจิตใจของตัวเอง ไม่ใช่รูปรสกลิ่นเสียงเครื่องสัมผัสทั้งหลายเหล่านั้นมาเป็นตัวภัยเสียเอง แต่เป็นเรื่องของจิตที่ได้พบได้เห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วมาวาดภาพขึ้น ตีความสำคัญมั่นหมายออกไปกว้างขวางลึกซึ้งด้วยความเป็นสมุทัย แล้วกลายเข้ามาเป็นทุกข์ เผาลนจิตใจของตนเอง ก็คือจิตใจของเรานี้ ที่คิดออกไปด้วยความไม่มีสติ
ไม่ใช่สิ่งอื่นใดมาเป็นข้าศึกต่อเรา แต่เป็นเพราะจิตไปสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดแล้วเกิดกิเลสขึ้นมา ท่านจึงให้ระมัดระวัง ถ้าไม่ควรจะได้สัมผัสสัมพันธ์ก็อย่าไปสัมผัสสัมพันธ์ คือไม่ควรเห็น อย่าเห็นอย่าดู ไม่ควรฟังอย่าฟัง ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงรับสั่งสอนพระอานนท์ ตอนที่พระอานนท์ขึ้นทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การปฏิบัติต่อมาตุคาม นี่เป็นต้นนะ จะให้ปฏิบัติอย่างไร คำว่ามาตุคามใครก็ทราบแล้ว อยู่ในสถานที่นี่ ไม่จำเป็นต้องอธิบายออกไป
เรายกตัวอย่างเพื่อให้ตีความหมายไปกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นภัย ว่าไม่เห็นเสียเลยละดี อานนท์ นั่นฟังซิ คือสิ่งที่เป็นภัยใดๆ ก็ตาม เมื่อเห็นเข้าไปแล้วจะเป็นภัย ให้พึงสำรวมเสียก่อนก่อนที่จะเห็นจะดู ด้วยความไม่ดูไม่เห็นนั้นแลดี อานนท์ นั่น อันนี้ดีนะ หากจำเป็นจะได้เห็นได้ยินจะทำยังไง อย่าพูด คืออย่าสำคัญอย่าครุ่นคิดอย่าติดใจในสิ่งที่เห็นสิ่งที่ได้ยิน อย่าถือมาเป็นอารมณ์ ให้พยายามตัดเสมอๆ กับสิ่งนั้นๆ ที่จะเป็นเครื่องเกี่ยวโยงเข้ามาให้เป็นข้าศึกต่อจิตใจ นี่ละเราเทียบเพียง ๒ ประโยคเท่านี้ ก็ให้พึงทราบเอาในเรื่องทั้งหลายที่ไม่ควรแก่การบำเพ็ญของเรา มันเป็นสิ่งที่จะมากำจัดการบำเพ็ญนี้ให้ด้อยหรือให้เสียไป จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องความเพียรในสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อตนไปเสีย จึงต้องได้ระมัดระวัง นี่ละที่ท่านว่าให้ระมัดระวัง ตาเวลากระทบรูป หูเวลากระทบเสียง สิ่งทั้งหลายที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะภายในของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้พึงระมัดระวังด้วยสติ หากไม่จำเป็นก็ไม่ควรที่จะเห็นจะดูจะฟังจะสัมผัสถูกต้องสิ่งเหล่านั้น นอกจากมันจำเป็น ฟังแต่คำว่าจำเป็นนั่นเถอะ ‘หากจำเป็นจะได้เห็นเล่าพระเจ้าข้า’ ดังพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้า ‘หากจำเป็นจะได้เห็นได้ดู อย่าพูด’ แน่ะ ท่านมีทางเลี่ยงไปอีก ‘หากจำเป็นที่จะพูดจะทำอย่างไรล่ะ’ ‘ให้ตั้งสติให้ดี อย่าให้เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา’ ท่านว่า นั่นฟังซิ สิ่งทั้งหลายก็เหมือนกันเช่นนั้น กิเลสนี้มันมีประเภทต่างๆ กัน แต่สิ่งที่กล่าวมายกขึ้นมาเป็นตัวอย่างตะกี้นี้เป็นประเภทที่หนัก เป็นประเภทที่ถือเป็นข้าศึกจริงๆ สำหรับนักบวชที่ประพฤติพรหมจรรย์ ท่านจึงให้ตัดถึงขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นไปไม่รอดจริงๆ มันหนัก ถ้าเป็นแม่เหล็กก็ดูดเอาจนกระทั่งถึงตัวกลิ้งไป ไม่รู้สึกตัวเลย ถลอกปอกเปิกไปก็ไม่รู้ ถูกมันดูดเอา จึงต้องระมัดระวังให้มาก…”
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
#วัดป่าบ้านตาดวัดเกษรศีลคุณ
บุพกรรมเกิดเป็นขอทาน...
“เมื่อครั้งยุคสมัย ศาสนาของพระพุทธเจ้า กกุสันโธ ผู้ข้าฯ กับเมียเกิดเป็นคนทุกข์ ทุกข์ขอทานเขามากิน
ตื่นเช้า เมียไปทางหนึ่งผัวไปทางหนึ่ง นัดหมายกันว่าตอนค่ำให้ไปพบกันอยู่ศาลาท่าน้ำ หรือไม่ก็ที่ใดที่หนึ่ง
ขอข้าว ขออาหาร ขอผ้านุ่งผ้าห่ม ได้บ้างไม่ได้บ้าง ได้กินอิ่มเป็นบางวัน บางวัน ก็อดก็หิวไปตามเรื่อง ชีวิตนั้น...ดีที่ไม่มีลูก ทุกข์ไม่มีที่อยู่ไม่ได้กิน ตัวดำตัวผอมได้ผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็เก็บมา ขอด้ายขอเข็มเขามาเย็บติด บางทีก็ได้เอาไม้กลัดเอา ชีวิตที่ทุกข์ ก็ทุกข์
วันงานนักขัตฤกษ์ เมียอยากได้เครื่องแต่งกาย ก็รวบรวมเงินที่ขอทานมาได้ พอได้ซื้อแป้งทาหน้าทาตัว เสื้อผ้าที่สะอาดก็เก็บไว้ห่อไว้รักษาติดตัวไว้ เพื่อเอาไว้นุ่งห่มวันงานรื่นเริงประจำปี ความทุกข์มีถึงขนาดนั้น ความสนุกสนานใจนี้มันก็ชอบ...
รับจ้างเขาแบกของขึ้นจากเรือ รับจ้างชำระที่สกปรกก็เอา งานดีกว่านี้ เขาก็ไม่จ้าง เพราะเขารังเกียจว่า ตัวเราวรรณะต่ำเป็นทุคตะ แต่ก็ชอบไปวัดของพระพุทธเจ้าวันเว้นวันไป ไปอนุโมทนาสาธุการในการบวชของพระสงฆ์สามเณร ในการทำบุญให้ทานของเศรษฐี ของคนรวย
เราก็ได้แต่บอกเมียว่า ให้อนุโมทนาสาธุการ ยินดีกับเขา จะเอาอะไรให้ทาน ก็ไม่ได้ จะเข้าไปปฏิบัติพระสงฆ์ ก็เกรงกลัวเพิ่นจะไล่ออก แต่พระสงฆ์ผู้คนก็ไม่ไล่ ไปอนุโมทนาสาธุการแล้ว ก็ออกไปหาขอทาน ไปด้วยกันก็มี แยกกันไปก็มี เป็นบุพกรรมของตนแท้ ๆ หล่ะ เกิดได้ชีวิตเป็นทุคตะขอทาน
แต่นั่นกามก็ยังชอบใจอยู่ นอนกับเมียอยู่ ห่วงเมียกว่าอย่างอื่น เพราะเมียรูปงามสมส่วน แต่ผิวดำเท่านั้น... พอมาถึงชีวิตนี้คนที่เคยเป็นเมียคนนั้น... ไปพบปะอยู่เมืองเชียงใหม่ เขาได้เกิดเป็นเศรษฐีระดับสองของเมืองเชียงใหม่ พอเห็นกันก็ดึงดูดกันทันที ชอบอกพอใจกัน เขาก็มาบำรุงให้ข้าว ให้น้ำ ให้ผ้า ให้การดูแลเราทุกอย่าง มาปวารณาตัว ชอบมาพูดมาคุย มาทำบุญให้ทาน มาจำศีลอยู่ด้วยอยู่วัดเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่
พอเราออกไปอยู่อำเภอขานอกออกไป ก็ไปทำบุญ ไปดูแลหลายอัน หลายอย่าง ผู้ข้าฯ ก็ถามว่า... “ระลึกได้อยู่ไหม ? พากันเกิดเมืองพาราณสี เป็นคนทุคตะขอทานกินนะชีวิตนั้น ”
“บ่ได้เจ้า บาปกรรมอะหยังได้ไปเกิดเป็นขอทาน ”
“ ไม่ให้ทาน ได้ร่ำรวยแล้วขี้เหนียวไม่แบ่งปัน ไม่ยินดีพอใจการแบ่งปัน มีแต่รายการเก็บ ”
หลายชีวิตอยู่ที่เป็นขอทาน เป็นคนทุคตะ อยู่อำเภอแม่สอดก็ชีวิตหนึ่ง อยู่เมืองลพบุรี ก็ชีวิตหนึ่ง อยู่บังคลาเทศ ก็ชีวิตหนึ่ง
หลายชีวิตเกิดตายนับไม่ได้ รวยก็รวยสุดขีด ทุกข์ยากก็สุดขีด เกิดตายในโลก กว่าจะหลุดกว่าจะพ้นได้ สัปปะลี้ เกิดตาย...”
ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม (วัดหนองน่อง) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐
คนจะเป็นคนสวยได้ มีอายุยืน โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน คือคนที่มี “เมตตา” หน้ายิ้มอยู่เสมอ มีจิตคิดดีอยู่เสมอว่า คนก็ดี สัตว์ก็ดี เป็นมิตรของเรา จิตใจของเราสบาย ใจให้อภัยแก่คนผิด อย่างนี้เรียกว่า ทรงศีลข้อที่ ๑ คือ ปาณาติบาต คือ ไม่ทำศีลห้าข้อที่ ๑ ให้ขาดด้วยจิตเจตนา ... หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านเล่าว่า... นั่งสมาธิภาวนาเดินจงกรมอยู่ถ้ำกลองเพลมันไม่ง่วง พิจารณาธรรมะอัตโนมัติไหลไปเอง
คืนหนึ่งเราเดินจงกรมอยู่กุฎิหลังที่เราอยู่นั่นแหละ ได้ถูกกลิ่นธูปหอมหวนฟุ้งตลบ กลิ่นธูปนั้นไม่มีกลิ่นอย่างธูปเมืองเรา อัศจรรย์จริง ๆ และท่านก็มองหากลิ่นธูปนั้น ก็ปรากฏเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนถือธูปอัญชลีไหว้อยู่
ท่านหลวงปู่ขาวเล่าให้ฟังว่า...มันแปลก ผู้หญิงอะไรมันจะแหวกก้อนหินเข้ามาได้ ระหว่างทางจงกรมนั้นมีก้อนหินยาวเหยียดทั้งสองข้าง แล้วก็เป็นเวลาค่ำคืนดึกดื่น
ต่อแต่นั้นหลวงปู่ก็อุทิศส่วนบุญให้ หญิงนั้นก็อันตรธานหายไป
ท่านทั้งหลาย ลองวิจารณ์ดูซิว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครมาจากไหน ทำไมจึงมาจุดธูปบูชาหลวงปู่อยู่อย่างนั้น แล้วพวกเราเกิดมาอายุ ๕๐ ปี ๖๐ ปี ได้เคยเดินภาวนาจงกรมหรือเปล่า หรือว่ามีแต่เดินไปฆ่าคน ฆ่าสัตว์ ลักขโมยเขา โกหกเขา เดินเข้าโรงยา โรงเหล้า ถ้าอย่างนั้นเทวดาจะมาบูชาเราหรือเปล่าคิดเอาเอง เดินอย่างนั้น คงจะเดินลงหลุมนรกมากกว่า
หลวงปู่ขาวท่านเคยเทศน์เสมอ ๆ และท่านก็เดินจงกรมจนอายุ ๙๐ กว่าปี แม้เดินไม่ได้ด้วยตนเองก็ให้ลูกศิษย์จูงแขนจนเหนื่อยจึงค่อยหยุด
การเดินจงกรม นั้นเป็นกีฬาของพระธุดงคกรรมฐาน ท่านว่าเลือดลมเดินสะดวก พวกนิวรณ์ไม่ครอบงำ ความจำดีสมองปลอดโปร่ง มีทุกข์น้อยโรคภัยไข้เจ็บน้อย อายุยืนนาน ทานอาหารมีรสมีชาติ ใจสะอาดปราศจากนิวรณ์ จิตสงบแล้วไม่ยอมถอน ผ่อนคลายอารมณ์ความตึงเครียดและอุปาทาน จิตใจแจ่มใสเบิกบาน . โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต . ที่มาของบทความ: คัดมาจากหนังสือมุทิตาสักการะในงานทำบุญ อายุวัฒนะครบ ๘๖ ปี พระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต (หลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต) หน้า ๒๖ . ทานานํ ยทิทํ ธมฺมทานํ เอตทคฺคํ ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย. ***** หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่บุญเพ็ง เขมาภิรโต วัดถ้ำกลองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
"..กลัวแต่คนอื่นจะเห็นตับไตไส้พุงของตัว แต่ตัวเองไม่สนใจดูตับไตไส้พุงและจิตใจของตัวว่ามันมีอะไรอยู่ข้างในนั้น มัวเพลินดูเพลินฝันเพลิดคิดแต่ภายนอก ไม่สนใจคิดเข้าภายในกายในจิตของตัวบ้าง จะหาความฉลาดรอบรู้มาจากไหนนักปฏิบัติเรา ผู้ปฏิบัติเพื่อรู้หลักความจริงต้องดูตัวดูใจอันเป็นมหาเหตุก่อเรื่องต่างๆ มากกว่าดูสิ่งภายนอกหรือสิ่งอื่นใด และแสดงวิธีรักษาปฏิบัติตัว ปฏิบัติใจ ด้วยความระมัดระวังในอิริยาบถต่างๆ ด้วยความมีสติและปัญญา ระลึกรู้ไตร่ตรองในเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้องกับตน ด้วยความไม่ประมาทและชินชากับสิ่งใดในแดนสมมุติ ซึ่งล้วนเป็นแดนแห่งทุกข์และความเกิด-ตายของสัตว์โลกทั้งมวล.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
|