#เรื่องการถวายของพระที่เราควรศึกษา
"ความเชื่อผิดๆ เรื่องการใส่บาตรและถวายสังฆทาน อาหาร ยา ฯลฯ "
ถาม : การใส่บาตร และ การถวายอาหารแด่พระ ควรเป็นอาหารสด แต่ถ้าบางคน การถวายมาม่าหรือของแห้งที่จะต้องเอาไปประกอบอาหารใหม่จะบาปหรือไม่?
ตอบ : ไม่บาปหรอก เพียงแต่ว่าพระท่านเก็บไว้ไม่ได้
อาหาร ที่เป็นอาหารนี้ ท่านเก็บไว้ได้เพียงแค่ช่วงระยะเที่ยงวันเท่านั้นเอง หลังจากเที่ยงวันแล้ว ส่วนที่เป็นอาหารนี้ ท่านต้องสละไปหมด เพราะพระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้พระสะสมของไว้ในกุฏิของตน แต่ทรงอนุญาตให้สะสมไว้ในคลังของวัดได้ เช่น ถ้าญาติโยมอยากจะถวายของให้เก็บไว้นานๆ อย่าไปใส่บาตร อย่าไปประเคนกับมือ
อย่างที่อาตมารับของนี้ ส่วนใหญ่จะให้วางไว้เฉยๆ ถ้าญาติโยมวางไว้เฉยๆ นี้ ถือว่าพระยังไม่ได้รับประเคน พระยังเอาไปใช้ไม่ได้ แต่เก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันหมดอายุ เวลาต้องการจะใช้ก็ให้ลูกศิษย์หยิบมาประเคนให้ จึงจะใช้ได้ แต่..ถ้ารับประเคนด้วยมือเอง ของมันจะมีอายุ
ของพระ ท่านแบ่งไว้ 3 ชนิดด้วยกัน
1) “อาหาร” – ชนิดอาหารนี้มีอายุแค่..ถึงเที่ยงวัน
หลังจากเที่ยงวันไปแล้ว ถึงแม้รับตอนนี้ก็หมดอายุทันทีเลย ใครถวายมาม่า ถวายปลากระป๋องมา รับปั๊บนี้ก็ต้องสละแล้ว เก็บไว้กินพรุ่งนี้ไม่ได้ เรียกว่า อาหาร
ดังนั้น ถ้าของเป็นอาหารอยากจะถวายพระให้เก็บไว้นานๆ เอาวางตั้งไว้เฉยๆ ตั้งไว้ตรงหน้าก็ได้ บอกขอถวาย อันนี้ก็ได้เท่ากับถวายอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าต้องทำให้มันถูกพระวินัย พระยังไม่ถือว่าเป็นของของตน เป็นของของส่วนกลางอยู่ ถือเป็นของคณะสงฆ์ แต่เวลาต้องการจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคน เอาไปเก็บไว้ที่กุฏิไม่ได้ ต้องเก็บไว้ที่ที่เก็บของของวัด วัดจะมีที่ที่เก็บของส่วนกลางไว้ ของทั้งหมดที่ไม่ได้รับประเคนก็ให้เอาไปไว้ที่นั่น เวลาจะใช้ค่อยให้ลูกศิษย์เอามาประเคนให้อีกที พวกอาหารก็มีอายุเพียงครึ่งวัน เช้าถึงเพล
2) “เภสัช ตามพระกำหนดมี 5 ชนิด คือ พวกน้ำตาล น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส น้ำผึ้ง”
– ท่านอนุญาตถ้ารับประเคนนี้ท่านให้เก็บไว้ได้ 7 วัน และฉันได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงถือว่าเป็นยา
– สมัยก่อนเขาคงกินพวกยา พวกนี้รักษาอาการเจ็บท้องปวดท้อง มันคงจะไปเคลือบกระเพาะหรือไปทำอะไร ท่านก็เลยอนุญาตให้มีเภสัช 5 ชนิดด้วยกัน (พวกน้ำตาล น้ำอ้อย เนยข้น เนยใส น้ำผึ้ง)
– พวกนี้เก็บไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน พอหลังจาก 7 วันแล้วถ้ายังมีเหลืออยู่ ก็ต้องสละให้คนอื่นไป
– สละให้กับพระด้วยกันไม่ได้ ต้องสละให้ฆราวาสญาติโยมไป ลูกศิษย์ลูกหาไป หรือเอาไปทำบุญทำทานไป
3) “ยา (รักษาอาการเจ็บป่วย) “ จริงๆ เช่น ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาอะไรต่างๆ
– เก็บไว้ที่กุฏิด้วย เพราะเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะได้หยิบได้ทันท่วงที
– ถ้าเป็นยานี้ถวายได้ตลอดเวลา และเก็บไว้ได้ตลอดเวลาไม่มีวันเสื่อม นอกจากตามที่เขาเขียนไว้ที่ในสลาก เสื่อมไปตามวันที่เขาเขียนไว้ในสลากเท่านั้น
นี่คือเรื่องของการประเคนของให้กับพระ เราต้องรู้จักแยกแยะ แต่สมัยนี้ญาติโยมไม่รู้กันก็เลยรวมกันหมดเลยที่เขาใส่ในกระเเป๋งสีเหลืองนี้ เขาอยากจะถวายให้ครบทั้ง 4 คือ ปัจจัย 4 ยาก็ใส่เข้าไป อาหารก็ใส่เข้าไป จีวรก็ใส่เข้าไป ถึงแม้จีวรจะเอามาห่มไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นผ้าเหลืองๆ ชิ้นหนึ่งก็ถือว่าเป็นจีวรแล้ว กระเเป๋งก็คงถือว่าของถวายมั๊ง… ไว้ครอบหัวเวลาฝนตก
– ทำบุญก็อยากจะถวายปัจจัย 4 ให้ครบ เขาก็เลยใส่มา แล้วมาถึงก็บังคับให้พระรับประเคน ให้วางไว้เฉยๆ ก็กลัวว่าไม่ได้บุญอีก
– บางทีบางคนขนกลับไปก็มี พอบอกว่า “ให้วางไว้เฉยๆ ได้ถวายแล้ว” ฉันไม่ได้บุญ ท่านไม่รับฉันไม่ได้บุญ ฉันไปดีกว่าไปถวายที่อื่นดีกว่า อย่างนั้นก็มีเพราะการไม่รู้ ไม่มีการสอนไม่มีการบอก
– แล้วพระที่มาบวชใหม่ทีหลังก็ไม่รู้เรื่อง เขาเอาอะไรมาถวายก็รับประเคนหมด แล้วเขาก็แบบถือว่าไปว่ากันใหม่ คือตอนนี้รับประเคนแบบหลอกๆ ไปก่อน รับประเคนให้ญาติโยมดีอกดีใจ แล้วค่อยไปแยกแยะของทีหลัง ของที่เป็นอาหารก็เก็บไว้ส่วนหนึ่ง ถ้าอยากจะได้อะไรค่อยให้ลูกศิษย์มาประเคนให้ใหม่ เขาทำกันแบบนี้
ซึ่งทางสายวัดป่าท่านไม่ทำ ท่านทำแบบไม่หลอก ทำแบบจริงๆ เลย บอกประเคนไม่ได้ก็ประเคนไม่ได้ วางไว้ต้องวางไว้ เพื่อจะได้สอนญาติโยมไปในตัว
– ญาติโยมที่ไปทำบุญที่วัดป่าจึงได้บุญด้วย ได้ปัญญาด้วย ได้บุญ คือ ความสุขใจ แล้วก็ได้ปัญญาได้ความรู้ที่ถูกต้องในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพระให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แทนที่จะส่งเสริมให้พระปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย เพราะด้วยความเกรงใจญาติโยม
#นี่คือเรื่องของการถวายของที่เราต้องควรจะศึกษา
_________________________ #พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวราราม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
"เมื่ออะไรเกิดขึ้นในชีวิต อย่าคิดว่า.. เป็นเรื่องคนอื่นทำให้ อย่าคิดว่า.. เป็นโชคชะตาราศี อย่าคิดว่า.. ดวงดี ดวงไม่ดี อย่าคิดว่า.. อะไรๆ มาทำให้เป็น แต่จงคิดให้ถูกต้องว่า.. ฉันเองแหละ.. เป็นผู้ทำสิ่งนั้น"
หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
วันนี้วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญในทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้ง ๓ สรณะ อุบัติขึ้นในโลก เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระธรรมในวันเดือนหกเพ็ญ พระองค์ได้เสวยวิมุตติสุขที่พระองค์ได้สำเร็จเป็นพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อเสวยวิมุตติสุขเพียงพอแล้ว พระองค์ก็ไปโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงกรุงพาราณสี พระองค์ได้แสดงพระธรรมจักกัปปวัตนสูตร ทำให้พระอัญญาโกญทัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมวันนี้ จากนั้นก็ได้บวชเป็นพระด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
เมื่อบวชเสร็จแล้วเป็นอันว่าพระไตรสรณคมน์ได้อุบัติขึ้นในโลก ทั้ง ๓ รัตนะ ครบบริบูรณ์ในวันนี้ ถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อุบัติขึ้นในโลกครบทั้ง ๓ รัตนะ พวกเราก็ให้น้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ วันนี้ล่ะเป็นวันประเดิม พวกเราจะจริงจังแค่ไหน สุดแท้แต่พวกเราจะเป็นผู้กำหนดเอง พระพุทธเจ้าท่านหนีออกจากเวียงวังไปบำเพ็ญอยู่ในป่า พระองค์ก็กำหนดพระองค์เองว่า เราออกจากเวียงวังคราวนี้ เราจะไม่หวนกลับคืนโดยเด็ดขาด ท่านตั้งจิตอธิษฐานอย่างนั้นไว้แล้ว ก่อนที่ท่านจะออกไป ท่านคิดดีแล้ว ทบทวนดีแล้ว ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่จะหาความสุขในพระทัยแม้แต่หน่อยหนึ่งไม่มีแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ท่านจึงตัดสินพระทัยว่า เราออกไปครั้งนี้เราจะไม่หวนกลับมาอีก เพราะว่ากลับมาก็มา แก่ เจ็บ ตาย อะไรคือความสุขที่แท้จริง พระองค์เห็นหมดแล้ว
พวกเราก็เหมือนกัน ที่พวกเราจะตั้งจิตอธิษฐานว่า พวกเราจะออกจากสิ่งที่มืดบัง ที่มืดมิดปิดตา ที่มัวหมองหรือเป็นที่ไม่ดี พวกเราควรจะคิดให้ดีก่อนที่เราจะเดินออกจากจุดนี้ เราจะตั้งจิตใจอย่างไร เช่น ข้าพเจ้าจะงดบุหรี่ ก็รู้แล้วว่าบุหรี่มันไม่ดี พิจารณาทีไรก็เห็นโทษ แต่มันออกไม่ได้ เมื่อเราพิจารณาถี่ถ้วนแล้วก็ตัดสินใจ อย่างที่พระพุทธเจ้าตัดสินใจออกจากเวียงวังอย่างนั้นล่ะ ข้าพเจ้าจะงดบุหรี่โดยเด็ดขาด
ผู้ที่ดื่มสุราก็เช่นเดียวกัน เราพิจารณาดูแล้วว่าการดื่มสุรามันให้โทษ เราเห็นโทษเต็มอกแล้ว เราก็ตัดสินใจว่าข้าพเจ้าจะงดโดยเด็ดขาดอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็อบายมุขทุกอย่าง เล่นการพนัน คบคนชั่ว เกียจคร้านการทำงาน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร แต่ละข้อเราติดอันไหนที่มันแก้ยากเราก็พิจารณาให้ถี่ถ้วนถ้วนถี่ จากนั้นเราก็เดินออกจากจุดนั้นไปได้
ถ้าเรายังหวนไปๆกลับๆ แปลว่าไม่เด็ดขาด หลักลอย หาความจริงจังไม่ได้ ผลที่สุดก็ล่มจมกับที่เก่า ไปไม่รอด เหมือนนกติดยาเสพติด บินจากกรงแล้วคิดถึงกรง เพราะเจ้าของเอายาเสพติดให้มันกิน นี่ก็เหมือนกัน ใจของเราเมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ควรจะตัดสินใจเด็ดขาด
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก พระธรรมเทศนา “โอวาทธรรมวันอาสาฬหบูชา” แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
ศัตรูที่แท้จริงของเรา ไม่ใช่มนุษย์เดินดินบนโลกใบนี้หรอก แต่เป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่อยู่ในใจของเราต่างหากล่ะ สามสิ่งนี้เป็นศัตรูอยู่คู่กับเรามาโดยตลอดเวลา นักปฏิบัติอย่าได้พากันหลงทางนะ อยากจะกำจัดศัตรูให้กำจัด 3 สิ่งนี้ก่อนแล้วเราจะเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
โอวาทธรรม... หลวงปู่ไม อินฺทสิริ
ถาม : พักหลังนี่เวลาจะไปทำบุญ มักจะมีปัญหา บางทีก็รถเสีย ตอบ : เตรียมตัวซ่อมไว้ก่อนเลย ถึงเวลาให้เข้าศูนย์ไว้ก่อน ดูซิว่าเขาจะมีปัญญาขวางเราไปได้เท่าไร จำเอาไว้ว่า มารสามารถใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา บอกเขาไปเลยว่า มีปัญญาขวางก็ไป หมดท่าจริง ๆ เดินไปก็เอา..! อาตมาอยู่ที่พม่า ไปแล้วรถเสีย รอเขาซ่อม พอเสียครั้งที่สองอีก เห็นว่าจะไปไม่ทันก็ทิ้งรถเลย จ่ายค่ารถไป ๒,๒๐๐ ทิ้งเลย พอรถคันใหม่มา กระโดดขึ้นรถไปแน่บเลย ในขณะที่ทั้งหมดยังรออยู่ เขาก็งงมากว่า เราทิ้งค่ารถขนาดนั้นได้อย่างไร ? ค่ารถขนาดนั้นกับบุญของเรามันคนละเรื่องเลย
ถาม : พอจะไป บางทีก็เกิดอาการไม่สบาย ตอบ : เหมือนกัน เขาเรียก ขันธมาร พอไปเข้าผับเข้าบาร์นี่แข็งแรง พอจะไปทำบุญก็เริ่มอาการปางตาย ถือว่าเป็นเรื่องปกติ อย่าไปโกรธไปเคืองแค้นเขา เขาทำหน้าที่ของเขา เราทำหน้าที่ของเรา เขามีปัญญาขวาง เราก็มีปัญญาไป .......................................... พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ..................................
#จิตก่อนตายนั้นสำคัญมาก
"... หากเวลาดับจิต หากจิต ดี ก็ได้ไปที่ดีๆ หากจิต หมอง จิตร้าย ก็จะไปสู่ อบายภพ ที่ร้อนร้ายในทันใด ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป
ด้วยเหตุนี้บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมาก แต่ตายไปกลับไปตกนรกทั้งนี้เป็นเพราะ จิตหมองก่อนตาย บางคนแม้จะทำบาปทำกรรมมามากมาย แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเกิด จิตใส
ตอนดับจิต กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้น แต่สำหรับคนที่เคย ฝึกจิตมาก่อนวินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆ หากทำเป็น ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่สุคติ หรือ อริยะ ไป สุคติภพ หรือ อริยภูมิเลยก็ได้
สำหรับ วิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ) ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันอยู่กับความไม่มี ไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง
พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอก จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม มีสติอย่างสมบูรณ์เป็นวิหารธรรม มีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่
วิธีทำหยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอก มีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่ แต่เรื่องของการ พลิกจิต ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดุลย์ท่านว่า บุคคลนั้นๆ ต้องเคย ฝึกมาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี..."
ปู่ดุลย์ อตุโล
"...การทำจิตเพียงแค่ สงบนิ่ง พอที่จะ สามารถควบคุมจิตให้นึกคิดอยู่ในสิ่งที่ เราต้องการได้ เจริญวิปัสสนา ในแนว ทางแห่งความนึก โดยใช้สัญญาที่เรา เรียนมา มาคิดพิจารณาเอา โดยความ ตั้งใจ
เช่น เราอาจจะคิดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็ถามปัญหาตัวเองว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่างไร แล้วก็ตอบตัวเองไป ถามตัวเองไป ซึ่ง สามารถที่จะควบคุมจิตให้นึกคิดให้อยู่ ในเรื่องๆ เดียว ที่เราต้องการ อันนี้เป็น การเจริญวิปัสสนาไปพร้อมๆกัน แต่ หากยังไม่ใช่ตัววิปัสสนา
ในเมื่อจิตสงบลงไปแล้ว จิตรู้แจ้งเห็นจริง ยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เราพิจารณา ว่า อันนี้ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่างจริงจัง จิตสงบนิ่งลงไป แล้วตัดสิน ขึ้นมาว่านี้คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จริงๆ อันนั้นจึงจะเป็นวิปัสสนา..."
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก วันนี้วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญในทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้ง ๓ สรณะ อุบัติขึ้นในโลก เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระธรรมในวันเดือนหกเพ็ญ พระองค์ได้เสวยวิมุตติสุขที่พระองค์ได้สำเร็จเป็นพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อเสวยวิมุตติสุขเพียงพอแล้ว พระองค์ก็ไปโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงกรุงพาราณสี พระองค์ได้แสดงพระธรรมจักกัปปวัตนสูตร ทำให้พระอัญญาโกญทัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมวันนี้ จากนั้นก็ได้บวชเป็นพระด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา
เมื่อบวชเสร็จแล้วเป็นอันว่าพระไตรสรณคมน์ได้อุบัติขึ้นในโลก ทั้ง ๓ รัตนะ ครบบริบูรณ์ในวันนี้ ถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งวันหนึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อุบัติขึ้นในโลกครบทั้ง ๓ รัตนะ พวกเราก็ให้น้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ วันนี้ล่ะเป็นวันประเดิม พวกเราจะจริงจังแค่ไหน สุดแท้แต่พวกเราจะเป็นผู้กำหนดเอง พระพุทธเจ้าท่านหนีออกจากเวียงวังไปบำเพ็ญอยู่ในป่า พระองค์ก็กำหนดพระองค์เองว่า เราออกจากเวียงวังคราวนี้ เราจะไม่หวนกลับคืนโดยเด็ดขาด ท่านตั้งจิตอธิษฐานอย่างนั้นไว้แล้ว ก่อนที่ท่านจะออกไป ท่านคิดดีแล้ว ทบทวนดีแล้ว ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่จะหาความสุขในพระทัยแม้แต่หน่อยหนึ่งไม่มีแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ท่านจึงตัดสินพระทัยว่า เราออกไปครั้งนี้เราจะไม่หวนกลับมาอีก เพราะว่ากลับมาก็มา แก่ เจ็บ ตาย อะไรคือความสุขที่แท้จริง พระองค์เห็นหมดแล้ว
พวกเราก็เหมือนกัน ที่พวกเราจะตั้งจิตอธิษฐานว่า พวกเราจะออกจากสิ่งที่มืดบัง ที่มืดมิดปิดตา ที่มัวหมองหรือเป็นที่ไม่ดี พวกเราควรจะคิดให้ดีก่อนที่เราจะเดินออกจากจุดนี้ เราจะตั้งจิตใจอย่างไร เช่น ข้าพเจ้าจะงดบุหรี่ ก็รู้แล้วว่าบุหรี่มันไม่ดี พิจารณาทีไรก็เห็นโทษ แต่มันออกไม่ได้ เมื่อเราพิจารณาถี่ถ้วนแล้วก็ตัดสินใจ อย่างที่พระพุทธเจ้าตัดสินใจออกจากเวียงวังอย่างนั้นล่ะ ข้าพเจ้าจะงดบุหรี่โดยเด็ดขาด
ผู้ที่ดื่มสุราก็เช่นเดียวกัน เราพิจารณาดูแล้วว่าการดื่มสุรามันให้โทษ เราเห็นโทษเต็มอกแล้ว เราก็ตัดสินใจว่าข้าพเจ้าจะงดโดยเด็ดขาดอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็อบายมุขทุกอย่าง เล่นการพนัน คบคนชั่ว เกียจคร้านการทำงาน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร แต่ละข้อเราติดอันไหนที่มันแก้ยากเราก็พิจารณาให้ถี่ถ้วนถ้วนถี่ จากนั้นเราก็เดินออกจากจุดนั้นไปได้
ถ้าเรายังหวนไปๆกลับๆ แปลว่าไม่เด็ดขาด หลักลอย หาความจริงจังไม่ได้ ผลที่สุดก็ล่มจมกับที่เก่า ไปไม่รอด เหมือนนกติดยาเสพติด บินจากกรงแล้วคิดถึงกรง เพราะเจ้าของเอายาเสพติดให้มันกิน นี่ก็เหมือนกัน ใจของเราเมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ควรจะตัดสินใจเด็ดขาด
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก พระธรรมเทศนา “โอวาทธรรมวันอาสาฬหบูชา” แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔
"..ทาน คือเครื่องแสดงน้ำใจมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง ผู้มีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์ผู้อาภัพ ด้วยการให้การเสียสละแบ่งปันมากน้อย ตามกำลังของวัตถุเครื่องสงเคราะห์ที่มีอยู่ จะเป็นวัตถุทาน ธรรมทาน หรือวิทยาทานแขนงต่าง ๆ ก็ตาม ที่ให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยมิได้หวังค่าตอบแทนใด ๆ นอกจากกุศลคือความดีที่เกิดจากทานนั้น ซึ่งจะเป็นสิ่งตอบแทนให้เจ้าของทานได้รับอยู่โดยดีเท่านั้น ตลอดอภัยทานที่ควรให้แก่กันในเวลาอีกฝ่ายหนึ่งผิดพลาดหรือล่วงเกิน คนมีทานหรือคนที่เด่นในการให้ทาน ย่อมเป็นผู้สง่าผ่าเผยและเด่นในปวงชนโดยไม่นิยมรูปร่างลักษณะ ผู้เช่นนี้มนุษย์และสัตว์ตลอดเทวดาที่มองไม่เห็นก็เคารพรัก จะตกทิศใดแดนใดย่อมไม่อดอยากขาดแคลน หากมีสิ่งหรือผู้อุปถัมภ์จนได้ ไม่อับจนทนทุกข์.."
ภูริทตฺโตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)
คนที่ไม่รู้จักตัวเอง ... จะตีค่าตัวเองจาก ความคิดเห็นการกระทำของคนอื่นต่อเรา อย่างเช่น เขาให้ความเคารพ เราก็สรุปว่า เราเป็นคนน่าเคารพ เขารักเรา เราก็สรุปว่า เราเป็นคนน่ารัก แต่ถ้าเขาเลิกให้ความเคารพ ก็เศร้าหมดกำลังใจ คิดว่าตัวเองไม่มีค่า ถ้าค่าของเราขึ้นอยู่กับสายตาและความคิด ของคนอื่นแล้ว ตัวเราจะอยู่ตรงไหน ... ความมั่นคงในชีวิต จะมีได้อย่างไร ... คนเราจึงต้องหมั่นละบาป บำเพ็ญกุศล ขัดเกลาจิตใจตัวเอง จนกระทั่งมองเห็น สิ่งที่มีค่าในตัวเราเอง เมื่อทำเช่นนั้น คนอื่น จะมองเห็นหรือไม่เห็นจิตใจเราก็มั่นคง ไม่หวั่นไหว ... ... พระอาจารย์ชยสาโร
คนที่ไม่รู้จักตัวเอง ... จะตีค่าตัวเองจาก ความคิดเห็นการกระทำของคนอื่นต่อเรา อย่างเช่น เขาให้ความเคารพ เราก็สรุปว่า เราเป็นคนน่าเคารพ เขารักเรา เราก็สรุปว่า เราเป็นคนน่ารัก แต่ถ้าเขาเลิกให้ความเคารพ ก็เศร้าหมดกำลังใจ คิดว่าตัวเองไม่มีค่า ถ้าค่าของเราขึ้นอยู่กับสายตาและความคิด ของคนอื่นแล้ว ตัวเราจะอยู่ตรงไหน ... ความมั่นคงในชีวิต จะมีได้อย่างไร ... คนเราจึงต้องหมั่นละบาป บำเพ็ญกุศล ขัดเกลาจิตใจตัวเอง จนกระทั่งมองเห็น สิ่งที่มีค่าในตัวเราเอง เมื่อทำเช่นนั้น คนอื่น จะมองเห็นหรือไม่เห็นจิตใจเราก็มั่นคง ไม่หวั่นไหว ... ... พระอาจารย์ชยสาโร
คนที่ไม่รู้จักตัวเอง ... จะตีค่าตัวเองจาก ความคิดเห็นการกระทำของคนอื่นต่อเรา อย่างเช่น เขาให้ความเคารพ เราก็สรุปว่า เราเป็นคนน่าเคารพ เขารักเรา เราก็สรุปว่า เราเป็นคนน่ารัก แต่ถ้าเขาเลิกให้ความเคารพ ก็เศร้าหมดกำลังใจ คิดว่าตัวเองไม่มีค่า ถ้าค่าของเราขึ้นอยู่กับสายตาและความคิด ของคนอื่นแล้ว ตัวเราจะอยู่ตรงไหน ... ความมั่นคงในชีวิต จะมีได้อย่างไร ... คนเราจึงต้องหมั่นละบาป บำเพ็ญกุศล ขัดเกลาจิตใจตัวเอง จนกระทั่งมองเห็น สิ่งที่มีค่าในตัวเราเอง เมื่อทำเช่นนั้น คนอื่น จะมองเห็นหรือไม่เห็นจิตใจเราก็มั่นคง ไม่หวั่นไหว ... ... พระอาจารย์ชยสาโร
ท่านพ่อลี สอนว่า ......
"บุญภายนอกเปรียบเหมือนเปลือกผลไม้ เช่น ขนุน มะม่วง ทุเรียน เป็นต้น บุญภายในเปรียบเหมือนเนื้อหนัง เราจะอาศัยบุญภายในหรือบุญภายนอกอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
ผลไม้ถ้าไม่มีเปลือกนอกก็เป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมาไม่ได้ หรือมีแต่เปลือกไม่มีเนื้อในก็กินไม่ได้
ฉะนั้น บุญภายนอกต้องอาศัยบุญภายในด้วยเป็นการช่วยเหลือกันแต่คุณภาพต่างกัน บุญภายนอกเป็นเครื่องห่อหุ้มบุญภายใน"
|