#จิตที่ไม่มีสมาธิก็เพราะมีนิวรณ์ ทำให้ไม่ได้มีความสงบ ไม่ใช้ปัญญา
"..จึงได้แสดง นิวรณ์ ๕ และกัมมัฏฐานสำหรับแก้เพิ่มเติม ดังต่อนี้
๑. ความพอใจใฝ่ถึงด้วยอำนาจของกิเลสกาม เรียกว่า “กามฉันทะ”
แก้ด้วยเจริญ อสุภกัมมัฏฐาน พิจารณาซากศพ หรือเจริญ กายคตาสติ พิจารณาร่างกายอันยังเป็นให้เป็นของน่าเกลียด
๒. ความงุ่นง่านด้วยกำลังโทสะ เรียกรวมว่า “พยาบาท”
แก้ด้วยเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หัดจิตให้เกิดในทางหัดคิดให้เรียเกิดเมตตา สงสาร กรุณา ช่วยเหลือเมื่อมีความสามารถ เกิดความพลอยยินดีไม่มีริษยา เกิดความปล่อยวาง หยุดใจที่คิดโกรธได้
๓. ความท้อแท้ หรือคร้าน หรือความหดหู่ง่วงงุน เรียกว่า “ถีนมิทธะ”
แก้ด้วยเจริญ อนุสติกัมมัฏฐาน พิจารณาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บ้าง พิจารณาความดีของตนบ้าง เพื่อให้จิตเบิกบาน และมีแก่ใจหวนอุตสาหะ หรือทำอาโลกสัญญา กำหนดหมายแสงสว่าง ให้จิตสว่าง
๔. ความฟุ้งซ่าน หรือคิดพล่าน และความจืดจางเร็ว หรือความรำคาญ เรียกว่า “อุทัจจกุกกุจจะ”
แก้ด้วย เพ่งกสิณ กำหนดลมหายใจเข้าออก หัดผูกใจไว้ในอารมณ์เดียว หรือเจริญมรณสติ อันจะทำให้ใจสงบด้วยสังเวช
๕. ความลังเลไม่แน่ลงได้ เรียกว่า “วิจิกิจฉา”
แก้ด้วยเจริญ ธาตุกัมมัฏฐาน หรือ วิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อกำหนดรู้สภาวที่เป็นอยู่ตามเป็นจริง
อีกอย่างหนึ่ง ทำความกำหนดรู้จิตที่มีนิวรณ์ และนิวรณ์ที่มีในจิต เมื่อเกิดปัญญาความรู้จักนิวรณ์ และโทษของนิวรณ์ขึ้น นิวรณ์ก็จะสงบหายไป.."
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
เราเคยบอกโยมหลายรอบแล้วใช่ไหม ว่าหลวงตาไม่ให้พระรับแขกเวลานี้ ทีหลังให้มาหาเราตอนเช้านะ โยมเป็นลูกศิษย์วัดนี้ควรจะรู้ควรจะเข้าใจ
ถ้ามีของกินให้เอามาตอนเช้า เวลานี้ เราห่วงเหลือเกินพระเณร จะกินอะไรจะฉันอะไรเวลานี้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง ครั้งหน้ามาหาเราได้ แต่มาตอนเช้า จะหนึ่งโมงหรือสองโมงก็ได้
ขออย่าน้อยใจ ทั้งเราทั้งโยม เราเป็นลูกศิษย์หลวงตาเหมือนกัน..
#หลวงปู่เชอรี่ อภิเจโต วัดป่าบ้านตาด
…พวกที่ไปเกิดเป็นเปรตนี้ ทำผิดศีลไม่ใช่เพราะความจำเป็น เพราะมีพอกินพอใช้อยู่แล้ว ไม่ทำผิดศีลก็ไม่อดตาย
.แต่ทำไปเพราะ..” ความโลภ “ อยากจะมีมากๆ อยากจะร่ำรวยมากๆ ก็เลยคดโกง ด้วยวิธีต่างๆนานา “ พวกนี้ถ้าตายไปก็ต้องไปเป็นเปรต “
.ได้เท่าไรไม่รู้จักพอ ได้กี่ร้อยล้าน กี่พันล้านก็ไม่พอ มีปากเท่ารูเข็ม มีท้องเท่ากับทะเลหรือมหาสมุทร กินเข้าไปเท่าไรก็ไม่อิ่มสักที เพราะความโลภพาไป
.” ความโลภไม่มีขอบไม่มีเขต ไม่มีคำว่าพอ ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ “
.อยากจะได้เรื่อยๆ ถ้าทำผิดศีลเพราะความโลภ “ ก็จะไปเกิดเป็นเปรต “.
……………………………………………. . จุลธรรมนำใจ ๒ กัณฑ์ที่ ๒๓๑ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๘
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
#อุปสรรคเป็นครู #ศัตรูเป็นยากำลังจำไว้ ! ศัตรูที่เขาไม่ชอบเรา เขาเกลียดเรา เขาด่าเรา เขาจะทำลายเรา นั้นแหละเป็นกำลัง เพิ่มบารมีให้เราดี
#ศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม (วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี)
#จิตที่ไม่มีสมาธิก็เพราะมีนิวรณ์ ทำให้ไม่ได้มีความสงบ ไม่ใช้ปัญญา
"..จึงได้แสดง นิวรณ์ ๕ และกัมมัฏฐานสำหรับแก้เพิ่มเติม ดังต่อนี้
๑. ความพอใจใฝ่ถึงด้วยอำนาจของกิเลสกาม เรียกว่า “กามฉันทะ”
แก้ด้วยเจริญ อสุภกัมมัฏฐาน พิจารณาซากศพ หรือเจริญ กายคตาสติ พิจารณาร่างกายอันยังเป็นให้เป็นของน่าเกลียด
๒. ความงุ่นง่านด้วยกำลังโทสะ เรียกรวมว่า “พยาบาท”
แก้ด้วยเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หัดจิตให้เกิดในทางหัดคิดให้เรียเกิดเมตตา สงสาร กรุณา ช่วยเหลือเมื่อมีความสามารถ เกิดความพลอยยินดีไม่มีริษยา เกิดความปล่อยวาง หยุดใจที่คิดโกรธได้
๓. ความท้อแท้ หรือคร้าน หรือความหดหู่ง่วงงุน เรียกว่า “ถีนมิทธะ”
แก้ด้วยเจริญ อนุสติกัมมัฏฐาน พิจารณาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บ้าง พิจารณาความดีของตนบ้าง เพื่อให้จิตเบิกบาน และมีแก่ใจหวนอุตสาหะ หรือทำอาโลกสัญญา กำหนดหมายแสงสว่าง ให้จิตสว่าง
๔. ความฟุ้งซ่าน หรือคิดพล่าน และความจืดจางเร็ว หรือความรำคาญ เรียกว่า “อุทัจจกุกกุจจะ”
แก้ด้วย เพ่งกสิณ กำหนดลมหายใจเข้าออก หัดผูกใจไว้ในอารมณ์เดียว หรือเจริญมรณสติ อันจะทำให้ใจสงบด้วยสังเวช
๕. ความลังเลไม่แน่ลงได้ เรียกว่า “วิจิกิจฉา”
แก้ด้วยเจริญ ธาตุกัมมัฏฐาน หรือ วิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อกำหนดรู้สภาวที่เป็นอยู่ตามเป็นจริง
อีกอย่างหนึ่ง ทำความกำหนดรู้จิตที่มีนิวรณ์ และนิวรณ์ที่มีในจิต เมื่อเกิดปัญญาความรู้จักนิวรณ์ และโทษของนิวรณ์ขึ้น นิวรณ์ก็จะสงบหายไป.."
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
การเพ่งดูผู้อื่นทำให้ตนเองไม่เป็นสุข แต่การเพ่งดูใจตนเองทำให้เป็นสุขได้ แม้กำลังโกรธมาก หากเพ่งดูใจตนเอง ให้เห็นว่ากำลังโกรธมาก ความโกรธ ก็จะลดลง เมื่อความโกรธน้อย หากเพ่งดู ใจตนเองให้เห็นว่ากำลังโกรธน้อย ความโกรธก็จะหมดไป จึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะมีอารมณ์ใดก็ตาม โลภหรือโกรธหรือหลงก็ตาม หากเพ่งดูใจตนเองให้เห็นอารมณ์นั้นแล้ว อารมณ์นั้นจะหมดไป ได้ความสุขแทนที่ ทำให้มีใจสบาย ... ... สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ๑๐๐ คำสอน / คำสอนที่ ๖๐
"...มีสติอยู่ตลอดเวลา ก็ปฏิบัติสมาธิอยู่ตลอดเวลา ใครที่ยังไม่มีโอกาสจะเข้าวัดเข้าวา มานั่งสมาธิหลับตาอย่างที่พระท่านชักชวน
การปฏิบัติสมาธิ เอากันอย่างนี้ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ทุกคนได้ฝึกสมาธิมาตามธรรมชาติแล้วตั้งแต่เริ่มรู้เดียงสา มาทีนี้เรามาเริ่มฝึกใหม่ นี่เป็นการเสริมของเก่าที่มีอยู่แล้วเท่านั้น อย่าไปเข้าใจผิด
ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์จิต เราทำสิ่งเหล่านี้ให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น เวลานอนลงไป จิตมันคิดอะไร ให้มันคิดไปให้มีสติไล่ตามมันไป จนกระทั่งนอนหลับ ปฏิบัติต่อเนื่องทุกวันแล้ว ท่านจะได้สมาธิอย่างไม่คาดฝัน
ในขณะทำงาน กำหนดสติรู้อยู่กับงาน เวลาคิด ทำสติรู้อยู่กับการคิด โดยถือการทำงาน การคิด เป็นอารมณ์ของจิต โดยธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จิตย่อมสงบ มีปีติสุข เอกัคตาได้ ในโอกาสใดโอกาสหนึ่งจนได้ ถ้าผู้ปฏิบัติตั้งใจทำจริง..."
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
..ไฟยังร่างกายให้อบอุ่น ไฟยังร่างกายไม่ให้ทรุดโทรม ไฟยังร่างกายให้กระวนกระวาย ไฟยังร่างกายให้ช่วยย่อยอาหาร ไฟ ๔ กองนี้เผาทั้งวันทั้งคืนเลย นอนอยู่หลับอยู่มันก็เผาอยู่นั่น ไม่เฒ่าไม่แก่จะได้ยังไง ไฟมันเผาอยู่..
..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
ความชั่วทุกอย่าง แม้ไม่มีใครเห็นก็ชั่ว เพียงแต่จะชั่วเร็วหรือชั่วช้า หากมีคนเห็นก็ชั่วเร็ว แต่ถ้ายังไม่มีคนเห็นก็ชั่วช้า ... หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี
#จิตที่ไม่มีสมาธิก็เพราะมีนิวรณ์ ทำให้ไม่ได้มีความสงบ ไม่ใช้ปัญญา
"..จึงได้แสดง นิวรณ์ ๕ และกัมมัฏฐานสำหรับแก้เพิ่มเติม ดังต่อนี้
๑. ความพอใจใฝ่ถึงด้วยอำนาจของกิเลสกาม เรียกว่า “กามฉันทะ”
แก้ด้วยเจริญ อสุภกัมมัฏฐาน พิจารณาซากศพ หรือเจริญ กายคตาสติ พิจารณาร่างกายอันยังเป็นให้เป็นของน่าเกลียด
๒. ความงุ่นง่านด้วยกำลังโทสะ เรียกรวมว่า “พยาบาท”
แก้ด้วยเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หัดจิตให้เกิดในทางหัดคิดให้เรียเกิดเมตตา สงสาร กรุณา ช่วยเหลือเมื่อมีความสามารถ เกิดความพลอยยินดีไม่มีริษยา เกิดความปล่อยวาง หยุดใจที่คิดโกรธได้
๓. ความท้อแท้ หรือคร้าน หรือความหดหู่ง่วงงุน เรียกว่า “ถีนมิทธะ”
แก้ด้วยเจริญ อนุสติกัมมัฏฐาน พิจารณาคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บ้าง พิจารณาความดีของตนบ้าง เพื่อให้จิตเบิกบาน และมีแก่ใจหวนอุตสาหะ หรือทำอาโลกสัญญา กำหนดหมายแสงสว่าง ให้จิตสว่าง
๔. ความฟุ้งซ่าน หรือคิดพล่าน และความจืดจางเร็ว หรือความรำคาญ เรียกว่า “อุทัจจกุกกุจจะ”
แก้ด้วย เพ่งกสิณ กำหนดลมหายใจเข้าออก หัดผูกใจไว้ในอารมณ์เดียว หรือเจริญมรณสติ อันจะทำให้ใจสงบด้วยสังเวช
๕. ความลังเลไม่แน่ลงได้ เรียกว่า “วิจิกิจฉา”
แก้ด้วยเจริญ ธาตุกัมมัฏฐาน หรือ วิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อกำหนดรู้สภาวที่เป็นอยู่ตามเป็นจริง
อีกอย่างหนึ่ง ทำความกำหนดรู้จิตที่มีนิวรณ์ และนิวรณ์ที่มีในจิต เมื่อเกิดปัญญาความรู้จักนิวรณ์ และโทษของนิวรณ์ขึ้น นิวรณ์ก็จะสงบหายไป.."
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
เศรษฐีไม่มีการให้ทาน ไม่มีน้ำใจ เศรษฐีก็มีแต่ชื่อ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยก็ครองสมบัตินั้นด้วยอารมณ์ที่ปลื้มปีติเป็นชั่วระยะกาลว่าเรามีสมบัติเงินทองเท่านั้น ๆ ครั้นเวลาลมหายใจขาดลงไปแล้ว สมบัติที่ภูมิใจในเวลามีชีวิตอยู่นั้น ก็ขาดสะบั้นหายไปพร้อมกับลมหายใจที่ขาดสะบั้นลงไป จึงไม่มีสาระอะไรสำหรับคนไม่มีน้ำใจ เงินนั้นมี น้ำใจไม่มีก็ไม่เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง
นี่พวกเราทั้งหลายให้มีน้ำใจทุกคน เป็นเศรษฐีก็ให้เป็นเศรษฐีที่มีน้ำใจ ทำบุญให้ทานด้วย เป็นคนทุกข์คนจนก็ให้เป็นคนทุกข์คนจนที่มีน้ำใจ น้ำใจเป็นของที่มีคุณค่ามากยิ่งกว่าน้ำเงินทอง น้ำเงิน น้ำทอง น้ำสมบัติต่าง ๆ เป็นไหน ๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้มีน้ำใจต่ออรรถต่อธรรม เพราะน้ำใจนี้แลที่สั่งสมคุณงามความดีเข้ามาสู่ตนแล้วเป็นใจที่มีคุณค่า ไปเกิดในสถานที่ใด ภพใดแดนใด จะเกิดในสถานที่มีคุณค่ามีราคาเรื่อย ๆ ไป ตั้งแต่ขั้นต่ำ ๆ จนกระทั่งถึงขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน เรียกว่าสถานที่เลิศเลอ จากน้ำใจของเราที่เคยได้ทำบุญให้ทาน
นี่ละน้ำใจจึงเป็นของสำคัญมาก ส่งให้เราถึงจุดหมายปลายทางได้ตั้งแต่ต้นจนอวสาน
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
"..รักแบบพระพุทธเจ้า.." "..ให้พากันรักแบบพระพุทธเจ้า รักตนแล้วเฉลี่ยความรักตนนี่ ออกไปหาจิตใจเพื่อนมนุษย์สัตว์ทั้งหลาย เขาก็รักตัวของเขาเหมือนกัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นให้เฉลี่ยน้ำใจให้สม่ำเสมอกัน อย่าเห็นแก่ใจตัวเองอย่างเดียว ให้เห็นแก่ใจคนอื่น จากนั้นก็เป็นทาน เป็นการเสียสละไปได้ ให้อภัยกัน ช่วยเหลือกัน มีมากมีน้อย
มนุษย์เราไปที่ไหนถ้าลงมีจิตใจเฉลี่ยเผื่อแผ่ต่อกันแล้ว สงบร่มเย็นไปหมด ไม่มีละไอ้คำว่าชาติชั้นวรรณะ เอามาตั้งเฉยๆ ความจริงแล้วคือมนุษย์เรา แสดงมาจากน้ำใจคับแคบตีบตัน หรือกว้างขวาง ถ้าจิตใจมีความกว้างขวางเป็นเด็กก็น่ารัก เป็นผู้ใหญ่ก็น่าเคารพบูชา ถ้าจิตใจคับแคบตีบตัน ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นภัยมาก นี่มันต่างกันอย่างนี้นะ ท่านทั้งหลายนำธรรมคำว่าเสียสละนี้ไปปฏิบัติ.."
โอวาทธรรมคำสอน พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
ฝึกกายวาจาใจให้ เป็นบุญเป็นกุศล เป็นศีลเป็นธรรม
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
"อสุภะภายในเท่านั้นถึงจะตัดใจออกจากกามกิเลสได้"
ๅแม้แต่หมอพยาบาลที่เห็นคนเสียชีวิตบ้าง เห็นเนื้อหนังตับไตไส้พุงของคนป่วยบ้าง นั่นมันแค่เห็นอสุภะภายนอก มันจึงตัดใจออกจากกามกิเลสไม่ได้
บุคคลที่จะตัดใจออกจากกามกิเลสได้คือพระอนาคามี มีตาทิพย์คือมีจิตใจเป็นทิพย์ หลับตาอยู่แต่จิตใจสว่างไสว เวลามีคนเดินเข้ามาหา เห็นตับไตไส้พุงของคนนั้นกำลังเดินเข้ามาหา นั่นมันเห็นอย่างนั้น ถึงจะเป็นอสุภะกัมมัฏฐานที่แท้จริง
ซึ่งหลวงปู่ไมเมื่อครั้งที่ยังเป็นพระหนุ่ม ๆ จะเห็นเป็นอย่างนี้ ตอนนั้นแทบจะฉันข้าวไม่ได้ ต้องพลิกจิตใหม่ถึงกลับมาฉันได้เป็นปกติ
โอวาทธรรม หลวงปู่ไม อินทสิริ
|