นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 14 ก.ค. 2025 7:34 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: จิตที่สงบ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 04 ก.ค. 2025 5:36 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4984
“…ชีวิตของคนเรานั้นเป็นของไม่แน่นอน
มีความเกิดขึ้นในเบี้องต้น
มีความแปรปรวนในท่ามกลาง
มีความแตกดับไปในที่สุด
เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าได้ประมาท
หมั่นสร้างสมอบรมจิตใจของเรา
ให้มีแต่คุณงามความดีประดับจิตใจไว้
อย่าได้ขาดทุนสูญกำไรนะ…”

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

โอวาทธรรมคำสอน
#หลวงปู่ศรี สิริธโร
วัดป่าโนนทองอินทร์ อ.กู่แก้ว จ.อุดรธานี









"..ธาตุมนุษย์เป็นธาตุตายตัว ไม่เป็นอื่นเหมือน นาค เทวดาทั้งหลายที่เปลี่ยนเป็นอื่นได้ มนุษย์ มีนิสัยภาวนาให้สำเร็จง่ายกว่าภพอื่น อคฺคํ ฐานํ มนุสฺเสสุ มคฺคํ สตฺต วิสุทฺธิยา มนุษย์มีปัญญาเฉียบแหลมคม คอยประดิษฐ์ กุศล อกุศล สำเร็จอกุศล...มหาอเวจีเป็นที่สุด ฝ่ายกุศล มีพระนิพพานให้สำเร็จได้ ภพอื่นไม่เลิศเหมือนมนุษย์ เพราะมีธาตุที่บกพร่อง ไม่เฉียบขาดเหมือนมนุษย์ ไม่มีปัญญากว้างขวางพิสดารเหมือนมนุษย์ มนุษย์ธาตุพอหยุดทุกอย่าง สวรรค์ไม่พอ อบายภูมิธาตุไม่พอ มนุษย์มีทุกข์ สมุทัย...ฝ่ายชั่ว ฝ่ายดี...กุศลมรรคแปด นิโรธ รวมเป็น ๔ อย่าง มนุษย์จึงทำอะไรสำเร็จ ดังนี้ ไม่อาภัพเหมือนภพอื่น.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
บันทึกธรรมโดยหลวงปู่หลุย จันทสาโร






ภาวนา ไม่ต้อง อะไรก็ตาม กิเลสจะหมดไปๆ ผลที่สุดนอนหลับครอกๆกิเลสก็หมด ไม่เห็นกิเลสบอกไว้ มันจะบอกไว้ยังไง ก็เพราะต่างคนต่างสั่งสมตลอดเวลา ได้ยินไหมล่ะพวกนี้ หรือพากันไปวิ่งตามกิเลส ลบล้างศาสนา ลบล้างพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสเหรอ ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป สวรรค์ไม่มี นรกไม่มี นิพพานไม่มี มีแต่กิเลสหลอกสัตวโลกทั้งนั้น

ผู้บริสุทธิ์เองรู้เพียงคนเดียวนี้กระจายไปหมดเลย รู้หมด องค์ใดที่รู้ตามพระพุทธเจ้าแล้วหายสงสัยทันที ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นั้นถูกทุกอนุกระเบียด อย่าว่ากระเบียดเลยนะ ว่าบาปมีมี พระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนก็ต้องสอนว่าบาปมี สอนเป็นอื่นไปไม่ได้ บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี นี้คือความจริงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายสอนไว้เต็มเหนี่ยว สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ทุกๆพระพุทธเจ้าตรัสอย่างเดียวกันหมด แต่กิเลสมันลบล้างว่าบาปไม่มี บุญไม่มี ให้คนฮึกหาญในการทำความชั่ว กิเลสเปิดทางให้ ถ้าทำความชั่วแล้วไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ทำได้ทุก เวล่ำเวลา ถ้าจะทำคุณงามความดีแล้ว เอาปีเอาเดือน เอาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากีดมากั้นไว้หมด นั่นเห็นไหมกิเลสมันเก่งไหม พวกเราไม่รู้

นี่เรียนมาเสียพอ ถ้าเราไม่ได้เรียนเขาก็จะว่าหลวงตานี้เป็นบ้าน่ะซี นี่เราเรียนมาแล้ว ทางภาคปริยัติเราก็ผ่านมาแล้ว ภาคปฏิบัติก็เรียกว่าเอาตายเข้าว่าอย่างที่ว่านะ ทุกอย่างเอาตายเข้าว่าทั้งนั้นแหละ ภาคปริยัติยังไม่ได้เอาตายเข้าว่า ยังมีหวังที่จะเป็นพระอรหันต์ข้างหน้าอยู่ ทางปริยัติจึงไม่เอาตายเข้าว่า แต่เรื่องเข้มแข็งไม่ต้องบอกแหละ เพื่อรู้นี้แล้วจะได้ออกปฏิบัติ ทีนี้ออกปฏิบัติ เอาตายเข้าว่าเลย จุดนั้นจุดสำคัญมาก

นี่ก็เรียนมาหมด เรียนมาแบบ ว่าบาปว่าบุญ ว่าคุณว่าโทษ ไม่ได้ผิดกันอะไรกับพวกเรานะ พวกเรียนมากเรียนน้อยเราไม่ประมาทนะ เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรียนมากเรียนน้อยไม่ได้สำคัญอะไรเลย ความสงสัย เรียนเท่าไรๆ สงสัยมากเข้าไปๆ เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนนรกสงสัยนรก เรียนสวรรค์สงสัยสวรรค์ จนกระทั่งเรียนนิพพานก็ไปตั้งเวทีตีกับนิพพาน นิพพานมีหรือไม่มีนะ สุดท้ายก็ลบหมดสิ่งเหล่านี้ว่าไม่มี นั่นเห็นไหมกิเลสมันเอา แต่เรามันไม่ได้ลบแต่ว่ามันสงสัย มันยังไม่ถึงขั้นลบ เป็นขั้นสงสัย

ใครหนาที่สามารถจะมาชี้แจงเรื่องมรรคผลนิพพานว่ามีอยู่นี้ เราจะกราบคนนั้น มอบกายถวายตัวต่อท่าน แล้วเราจะเอาให้ถึงตายเลย เอาให้กิเลสตาย ถ้ากิเลสไม่ตายเราต้องตาย ขอแต่ปลงใจลงเชื่อแน่แล้วว่า มรรคผลนิพพานยังมีอยู่ เราจะเอาตายเข้าว่าเลย ถึงได้ไปหาหลวงปู่มั่น ท่านก็จี้เข้าไปเลย หือ มรรคผลนิพพานอยู่ไหน โถ เหมือนท่านเอาเรดาร์จับไว้เลยนะ หือ มรรคผลนิพพานอยู่ไหน ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ อากาศเป็นอากาศ ท้องฟ้ามหาสมุทรเป็นท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส กิเลสจริงๆ มรรคผลนิพพานจริงๆอยู่ที่หัวใจ เวลานี้หัวใจนั้นถูกกิเลสปิดบังไว้ เปิดอันนี้ออก ไม่ต้องถามหามรรคผลนิพพาน ถามหาทำไม ขอแต่เปิดกิเลสเครื่องปิดบังนี้ออกเถอะ

โห ลงใจเลย หาที่ไหนหามรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าหาที่ไหน พระพุทธเจ้าท่านหาที่นี่ มันหาทางปลีกแวะไปอย่างอื่นไม่ได้ ก็ต้องลงซิ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านตรัสรู้ที่ไหน ท่านบรรลุธรรมที่ไหน บรรลุที่หัวใจนี่นะ ไม่ได้บรรลุที่ดินฟ้าอากาศนะ ซัดลงตรงนั้น เราก็ลงใจปึ๋งเลย เอาละที่นี่ ซัดกันเลย เอาตายเข้าว่า ไม่ต้องมีกรรมการแยกแหละ นั่นละที่ว่าทุกข์มากที่สุด ตกนรกทั้งเป็น

การศึกษาเล่าเรียนมาเป็นอย่างนั้นนะ เรียนไปเท่าไรก็ตามเถอะไม่ได้หายสงสัย หาหลัก หาเกณฑ์ไม่ได้ หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ เราอย่าเข้าใจว่าคนนั้นเรียนมากคนนี้เรียนน้อย จะเป็นที่ยึดที่เกาะได้นะ ไม่ได้ว่างั้นเลย โลเลเหมือนกันกับเรานี่ละ เรียนไปเท่าไรยิ่งสงสัยมากเข้าไป กิเลสยิ่ง สั่งสมตัวมากขึ้นๆ ต้องภาคปฏิบัติจับเข้าไปซิ พอจับเข้าไป อ๋อๆ ทีนี้ก็เบิกออกๆ เรื่องความจอมปลอมทั้งหลายเหล่านั้นก็เบิกออกๆ พอเต็มที่แล้วเปิดหมดเลย โลกวิทู รู้แจ้งโลก โลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง หายสงสัย ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์รับสั่งไว้ยังไงเป็นจริงอยู่แล้วๆ เป็นแต่เรายังไม่เห็น พอไปเห็นไปเจอเข้า อ๋อ เท่านั้นละพอ นี่ละพระพุทธเจ้าสอนโลกท่านสอนด้วยความจริงความจัง ท่านไม่ได้เหลาะแหละหลอกลวงเหมือนกิเลส กิเลสนี้ตัวหลอกลวงที่สุด

ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้ โถ หลายองค์นะ นี่ละท่านออกมาจากป่าๆ ป่าของครั้งพุทธกาล ป่าของศาสนานั้นละคือมหาวิทยาลัยพุทธศาสนา อยู่ในป่าในเขา รุกฺขมูลเสนาสนํ บวชแล้วไล่เข้าป่าเข้าเขา ในถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ นั้นคือมหาวิทยาลัยสอนพระให้สิ้นจากกิเลสสอนตรงนั้น อาจารย์มหาวิทยาลัยครั้งพุทธกาล มีแต่พระอรหันต์เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย พวกนักศึกษาคือพวกปฏิบัติตามนั้นแหละ เรียกว่าพวกนักศึกษาปฏิบัติตาม แล้วก็สำเร็จออกมาๆ

พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
จากธรรมเทศนา “เรียนมากสงสัยมาก”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๑
ณ วัดป่าบ้านตาด







"ธรรมะไม่ใช่ของหนัก
สำหรับผู้ออกกำลังใจทุกวัน"

พระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ






พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่ง กล่าวไว้มีความว่า
“ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนนั้นให้ดี”
เป็นการเตือนด้วยถ้อยคำอันไพเราะยิ่งนัก
ควรนักที่จะได้รับความสนใจอย่างยิ่ง
ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ควรรักษาตนนั้นให้ดี
ขอให้ทบทวนคำเตือนนี้ให้เสมอ จะรู้สึกว่า
เป็นคำเตือนที่สุภาพอ่อนโยน ไพเราะลึกซึ้ง
เปี่ยมด้วยเมตตา ...
เมื่อทบทวนคำเตือนนี้แล้ว ก็น่าจะนึกเลยไป
ให้ได้ความเข้าใจว่า ท่านผู้กล่าวคำเตือนได้
เช่นนี้ ต้องมีจิตใจสูงส่ง มีเมตตาปรารถนาดี
อย่างที่สุดต่อเราทุกคน จึงควรเทิดทูนความ
เมตตาของท่าน ให้ความสนใจและปฏิบัติ
ให้เป็นไปตามคำของท่าน เพื่อเป็นการแสดง
กตัญญูกตเวทีตอบแทนพระคุณ และน้ำใจ
งดงามที่ท่านมีต่อเราทั้งหลาย และท่านผู้นั้น
คือ "พระพุทธเจ้า" ...
...
พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
กรมหลวงวชิรญาณสังวร






“…ชีวิตของคนเรานั้นเป็นของไม่แน่นอน
มีความเกิดขึ้นในเบี้องต้น
มีความแปรปรวนในท่ามกลาง
มีความแตกดับไปในที่สุด
เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าได้ประมาท
หมั่นสร้างสมอบรมจิตใจของเรา
ให้มีแต่คุณงามความดีประดับจิตใจไว้
อย่าได้ขาดทุนสูญกำไรนะ…”

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

โอวาทธรรมคำสอน
#หลวงปู่ศรี สิริธโร
วัดป่าโนนทองอินทร์ อ.กู่แก้ว จ.อุดรธานี







"...นิพพานอยู่ไกล ถ้าจะไปต้องออกเดินทางตั้งแต่วันนี้ อย่างไปทำบุญใส่บาตร ค่ำมาก็สวดมนต์ไหว้พระ เจริญเมตตาภาวนา
ตัดกิเลส ลดตัณหา เดินทุกวัน มันก็ใกล้เข้าไปทุกวัน

ถ้าเราไม่ยินดีซึ่งบุญ ไม่ยินดีซึ่งศาสนา พระพุทธเจ้าสร้างศาสนาไว้ให้ เราไม่กราบไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่สักการะบูชา ไม่มาสะสางล้างโทษ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กินเหล้าเมายา แน่นหนาไปด้วยกิเลสตัณหา ก็จะเดินไปในทางตรงข้าม
คือ อบายภูมิ..."

ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม







...#ของรักษาเราก็คือใจของเรา รู้จักว่าอันนี้มันผิดตามที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนํา ถึงท่านไม่บอก มันก็ผิดอยู่ พยายามละ อย่าทําอย่าพูด นี้เรียกว่าพระธรรม ใจเราที่รู้จักผิดรู้จักถูกนี่แหละ ธรรมะความดีของเรานี้แหละตามรักษา คือใจเรามันสูงเอง มันละเอง ประพฤติปฏิบัติเอง อันไหนชั่ว อันไหนผิดก็ไม่ทํา นี่แหละเรียกว่า #พระธรรมตามรักษา ไม่ใช่พระธรรมอยู่บนขันกระหย่องนะ อันนี้มันขันข้าวแห้ง จะตามรักษาใครได้ มีแต่หนูเท่านั้นแหละจะไปกิน เรื่องมันเป็นอย่างนี้

...#อามิสบูชากับปฏิบัติบูชา #อามิสบูชาคือบูชาด้วยสิ่งของ จะบูชาอะไรก็ได้ที่เห็นว่าเป็นคุณ อย่างถ้าเราเป็นไข้ไม่สบาย มีคนเอาหยูกยามาให้ก็สบาย เราจน มีคนเอาเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้ก็สบาย หรือเวลาหิว มีคนเอาข้าวมาให้กินก็เป็นบุญ นี่คือ อามิสบูชา ให้คนไม่มี ให้คนยากจน ถวายของแก่สมณชีพราหมณ์ตลอดถึงสามเณร ตามมีตามได้ เป็นอามิสบูชา

...#การปฏิบัติบูชา คือ การละความชั่วออกจากจิตใจ อาการประพฤติปฏิบัติ เรียกว่าปฏิบัติบูชา ให้พากันเข้าใจอย่างนั้น ทีนี้ของรักษาก็คือใจของเรา ไม่มีใครมารักษาเราได้นอกจากเรารักษาเราเอง พระอินทร์ พระพรหม พญายม พญานาค ทั้งหลายไม่มี ถ้าเราไม่ดีแล้ว ไม่มีใครมารักษาเราหรอก พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าเราทําผิดขนาดไหน ก็ยังเรียกหาคุณครูบาอาจารย์ คุณมารดาบิดา ให้มาช่วย ไปขโมยควายเขาก็ยังประณมมือให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาช่วย "สาธุ ขอให้เอาไปได้ตลอดรอดฝั่งเถอะ" ผีบ้า ใครจะตามรักษาคนชั่วขนาดนั้น ท่านบอกว่าอย่าทําก็ไม่ฟัง นี่คือความเข้าใจผิดของคน มันเป็นอย่างนี้ มันหลงถึงขนาดนี้ จะว่าอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนว่าให้ดูเจ้าของ เรานี่แหละเป็นผู้รักษาเจ้าของ

...อัตตา หิ อัตตะโน นาโถ โก หิ นาโถ ปะโร สิยา #เราเป็นที่พึ่งของเราเอง คนอื่นเป็นที่พึ่งของเราไม่ได้ เราต้องทําเอง สร้างเอง กินเอง ทําผิดแล้วทําถูกเอง ทําชั่วแล้วละเอาเอง เป็นเรื่องของเจ้าของ ท่านจึงบอกว่า ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว มันถูกที่สุดแล้ว เรามัวแต่ไปหาของดีกับคนอื่น พระพุทธเจ้าสอนแล้วสอนอีก สอนให้ทําเอง ปฏิบัติเอง พระพุทธเจ้าท่านแนะนําชักจูงอย่างนี้

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)








#การพิจารณาอสุภะนี้ มีเป้าหมาย อยู่ที่การดับกามารมณ์ที่คอยมารบกวนใจของเรา ทำให้เรา
อยู่ในความสงบ อยู่ตามลำพังไม่ได้ เวลาเกิดกามารมณ์แล้ว เราจะรู้สึกว้าเหว่ เศร้าสร้อยหงอยเหงา อยากจะมีแฟน อยากจะมีเพื่อน อยากจะมีคู่หลับนอน แต่การมีกามารมณ์นี้ จะทำให้เราไม่สามารถมีความสุขที่ได้ จากความสงบอยู่ตามลำพังได้

ดังนั้น ผู้ที่แสวงหาความสุข จากการทำใจให้สงบนี้ จำเป็นต้องพิจารณาอสุภะเพื่อมาดับกามารมณ์ที่จะทำให้ไม่สามารถตั้งอยู่ในความสงบได้เป้าหมายของอสุภะนี้ อยู่ที่การดับของกามารมณ์ ไม่ได้อยู่ที่
การดับของ อสุภะ อสุภะนี้เป็นเหมือนยา ที่จะมารักษาโรคใจก็คือ กามารมณ์ ความทุกข์ที่เกิดจากการเวลามีกามารมณ์ขึ้นมา ถ้าพิจารณาเห็นอสุภะ กามารมณ์ก็จะดับไป

ฉะนั้นตราบใดที่ยังมีกามารมณ์อยู่ การพิจารณาอสุภะจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เหมือนกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่จำเป็นต้องรับประทานยาไปเรื่อยๆ จนกว่าโรคจะหาย ถ้าโรคไม่หายก็ต้องกินยาไปเรื่อยๆ รับประทานยาไปเรื่อยๆ

ฉันใดถ้ายังมีกามารมณ์อยู่ ยังอยากเสพกามอยู่ ก็ยังต้องพิจารณาอสุภะไปเรื่อยๆ จนกว่าความอยากเสพกามนี้หมดไปเท่านั้น การพิจารณาอสุภะก็จะหมดไป ไม่มีความจำเป็นต่อไป

#ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๖
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
๑๘ มกราคม ๒๕๖๒





#หลวงพ่อไขข้อข้องใจ๕

#ปุจฉา : การทำสมาธิมานานปี หากยังไม่เห็นนิมิตต่างๆ อย่างผู้อื่นนั้น เป็นเพราะยังทำสมาธิไม่ถูกต้องวิธีใช่ไหม

#หลวงพ่อพุุธ : เรื่องของนิมิตมักจะเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่มีกำลังใจอ่อน มีอารมณ์ไหวง่าย ยิ่งคนใจอ่อนอยากเห็นนิมิตง่ายๆ พอนั่งบริกรรมลง พอจิตสงบเคลิ้มๆ ไปแล้ว ส่งกระแสจิตออกข้างนอกแล้วจะเห็นภาพนิมิตต่างๆ แต่ขอบอกว่าการเห็นภาพนิมิตต่างๆ นั้น ไม่เกิดประโยชน์อันใด นอกจากจะทำให้จิตของเรามันหลง การภาวนานั้นจะมีนิมิตเกิดขึ้นก็ตาม ไม่เกิดขึ้นก็ตาม อย่าไปใฝ่ฝันในนิมิตนั้นๆ

ความมุ่งหมายของการภาวนานี้ ให้จิตสงบลงไปเพื่อจะให้รู้เห็นสภาพความเป็นจริงของจิตของเราว่ามันเป็นอย่างไร ทีแรกเห็นความฟุ้งซ่านของจิตก่อน เมื่อจิตสงบลงไปแล้ว เห็นลักษณะจิตที่สงบว่างๆ ไม่มีอะไร เราอาจจะได้รู้ความเป็นจริงของจิตดั้งเดิม ในลักษณะที่ว่าจิตเป็นธรรมชาติประภัสสร คือจิตดั้งเดิมของเรา ทีนี้ในเมื่อจิตมันอยู่ว่างๆ เป็นธรรมชาติประภัสสรนั้น มีความรู้สึกสบายไหม มีความรู้สึกทุกข์ไหม ให้มันรู้มันเห็นอันนี้ เมื่อจิตมันออกเป็นสภาวะอย่างนั้น มันรับรู้อารมณ์แล้ว มันยึดไหม มีความทุกข์ไหม ฟุ้งซ่านไหม เดือดร้อนไหม ให้รู้ให้เห็นที่ตรงนี้

เรื่องนิมิตต่างๆ นั้น จะเห็นหรือไม่เห็นไม่สำคัญ แต่ถ้าใครจะเห็นได้ก็ดี ถ้าไม่เห็นก็ไม่ต้องเสียใจ อย่าไปปรารถนาจะเห็นนิมิตเป็นภาพอะไรต่ออะไรอย่างนั้น มันเป็นเพียงทางผ่านของจิตเท่านั้น จะรู้จะเห็นก็ตาม ขอให้มีจิตสงบรู้สภาพความเป็นจริงของจิต และอารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นกับจิต มีสติรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตพอแล้ว ปัญหาของผู้ถามนี้ โดยปกติแล้วปฏิบัติวันละ ๒๐ - ๓๐ นาที อันนี้ขอเสนอว่ายังน้อยไป ขอให้ตั้งปณิธานไว้ว่า วันหนึ่งจะนั่งสมาธิได้วันละ ๓ ครั้ง ๆ ละ ๑ ชั่วโมง ถ้าได้อย่างนั้นเป็นดีที่สุด และจิตจะสงบรู้ธรรม เห็นธรรมง่าย

#ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ
(หลวงพ่อพุุธ ฐานิโย)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: AdsBot [Google] และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO