นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 01 ก.ค. 2025 12:12 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: วาระจิต
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 28 มิ.ย. 2025 10:53 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4972
...ใจเราก็เหมือนกัน เราฟังเทศน์ฟังธรรมจึงเกิดความรู้ความเห็นขึ้นมา เวลากระทบสิ่งโน้นสิ่งนี้ก็มีความรู้ มีปัญญาพิจารณา การประพฤติปฏิบัติก็คือ สิ่งเหล่านี้ สิ่งไม่ดีที่เราทํามานาน ก็ค่อยละค่อยถอนมันไป เรียกว่าการประพฤติปฏิบัติ การปฏิบัติไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะนักบวชเท่านั้น ในครั้งพุทธกาล อยู่บ้านอยู่เรือน ก็เป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย ถึงไตรสรณคมณ์ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มีเยอะแยะ

...บางคนคิดว่าจะไปทําบุญให้ทานก็ไม่มีเวลา มันยุ่งยาก คนไม่รู้จักบุญ บุญเป็นเรื่องสร้างคุณงามความดีให้เจ้าของ การสร้างความดีไม่เห็นยากอะไร อย่างเดินไปเห็นของเขา นึกอยากจะได้แต่ไม่เอาเพราะกลัวความผิด กลัวบาป กลัวคุก กลัวตะราง นี้เป็นการสร้างความดีแล้ว เป็นการสร้างความดีให้แก่ตนเอง ถ้าไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ก็ไปลักไปฉ้อโกงเขา ก็เท่ากับสร้างความชั่วให้แก่ตัวเอง มันบาปอยู่ตรงนั้น บุญอยู่ตรงนั้น และการปฏิบัติก็อยู่ตรงนั้น เห็นความผิดก็ไม่ทํา ไปที่ไหนใจก็เป็น บุญที่นั้น มีความฉลาดอยู่ในจิตของตนเอง อันนี้แหละท่านเรียกว่า #ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)






...เดี๋ยวนี้เราจะหาที่พึ่งไม่ได้แล้ว อย่างนักบวชนักพรต ลูกหลานของเรามาบวช กันทุกวันนี้ ส่วนมากก็บวช ๗ วัน ๑๕ วัน เท่านั้นแหละ แล้วก็สึกไปๆ เลยไม่มีใครอยู่วัด วัดเลยไม่เป็นวัด เพราะไม่มีใครอบรมสั่งสอนกัน ไม่มีที่เกาะที่ยึดที่มั่นหมาย เพราะขาดกรรมฐาน ขาดการภาวนา ขาดการอบรมบ่มนิสัย มันขาดอย่างนี้ เลยมีแต่เรื่องเดือดร้อนกระวนกระวาย การบวชส่วนมากก็บวชกันตามประเพณีชั่วคราว ทุกวันนี้วัดก็เลยเป็นเหมือนคุกเหมือนตะราง เข้าไปก็ร้อนทันที อยู่ไม่ได้ ที่ที่มันเย็นเลยกลับเป็นที่ร้อนทุกวันนี้ ที่ถูกก็เลยกลายเป็นผิด เพราะคนไม่ได้อบรมธรรมะ ดังนั้น พวกเราทั้งหลายจึงขอให้เอาไปพินิจพิจารณาให้มันดีๆ

...ทุกวันนี้นับวันจะยาก เพราะโลกกับธรรมะมันแข่งกัน ฝ่ายโลกเขามีอะไรบ้าง ของกินมีหลายสิ่งหลายอย่าง ของที่จะฟังก็เยอะ สิ่งที่จะดูก็เยอะแยะ ไม่เหมือนสมัยก่อน ทีนี้หันมาดูทางธรรมะมีอะไรบ้าง มีแต่เรื่องปัญญาบารมี ปัญญาอุปบารมี ปัญญาปรมัตถบารมี ฟังกันไม่รู้เรื่อง มันจึงไม่เข้าถึงสันหลังของมนุษย์ทุกวันนี้ เลยไม่รู้เรื่องรู้ราว

...ความจริง เรื่องปัญญาบารมี ก็รวมอยู่ในบารมี ๑๐ มี ทาน ศีล เนกขัมมะปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา

...บารมีเหล่านี้แยกออกเป็น ๓ หมวด คือ บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี รวมเป็นบารมี ๓๐ ทัศ ที่พระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะตรัสรู้ ต้องบําเพ็ญให้ได้ครบบริบูรณ์ทุกๆ พระองค์ ปัญญาบารมีก็แยกเป็น ๓ ระดับ เหมือนกับทานบารมี คือปัญญาระดับปกติธรรมดา ระดับกลาง และระดับสูงสุด ตัวอย่างเช่น #ปัญญาระดับศีลขจัดกิเลสส่วนหยาบ #ปัญญาระดับสมาธิขจัดกิเลสส่วนกลาง #ปัญญาระดับสูงขจัดกิเลสส่วนละเอียด แต่โดยมากฟังกันไม่รู้เรื่อง จึงมักจะมีปัญหา

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)







"..เราไม่ควรปล่อยเวลาให้เสียไปกับอดีต กับอนาคต เพราะทั้งอดีตและอนาคตต่างก็เป็นธรรมเมาด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ให้เขาผ่านไป สิ่งใดที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นสิ่งที่ยังไม่มี ยังไม่เกิด ถ้าปัจจุบันดี อดีตมันก็ดี อนาคตมันก็ดี เพราะปัจจุบันเมื่อผ่านไป มันก็กลายเป็นอดีต ถ้ามันยังไม่ผ่านไป มันก็เป็นทางดำเนินไปสู่อนาคต เป็นเข็มชี้บอกอนาคต ดังนั้น เราต้องทำเหตุให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เราจึงจะได้สิ่งที่เราปรารถนา.."

โอวาทธรรมคำสอน
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
(พ.ศ.๒๔๓๐–๒๕๒๘)








"..จิต เป็นสมบัติสำคัญมากในตัวเราที่ควรได้รับการเหลียวแล ด้วยวิธีเก็บรักษาให้ดี ควรสนใจรับผิดชอบต่อจิต อันเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของตน วิธีที่ควรกับจิตโดยเฉพาะก็คือภาวนา ฝึกหัดภาวนาในโอกาสอันควร ตรวจดูจิตว่า มีอะไรบกพร่องและเสียไป จะได้ซ่อมสุขภาพจิต นั่งพินิจพิจารณาดูสังขารภายใน คือ ความคิดปรุงแต่งของจิตว่า คิดอะไรบ้าง มีสาระประโยชน์ไหม คิดแส่หาเรื่อง หาโทษ ขนทุกข์มาเผาตนอยู่นั้น พอรู้ผิด-ถูกของตัวบ้างไหม พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการให้ท่องในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่-เจ็บ-ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร
(มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






"..ถ้าใครกลัวตายเพราะความเด็ดเดี่ยวทางความเพียร ผู้นั้นจะต้องกลับมาตายอีกหลายภพหลายชาติไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตายผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลงถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแลจะเป็นผู้ไปไม่กลับหลังมาหาบทุกข์อีก ตัวผมเองสลบไปถึง ๓ หน เพราะความเพียรกล้าเวทนาทับถม ยังไม่เห็นตายและยังรอดมาเป็นอาจารย์สอนหมู่คณะอยู่ได้ หมู่เพื่อนทำความเพียรยังไม่ถึงขั้นสลบไสลเลย ทำไมจึงกลัวตายกันนักหนาเล่า ถ้าไม่ตายไปพักหนึ่งก่อนก็น่ากลัวไม่เห็นธรรมชาติอัศจรรย์.."


ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)









"... สำหรับอุปจารสมาธิ สามารถรู้วาระจิต
ของผู้อื่นได้ สามารถแก้นิวรณ์ได้ แต่โมหะคลุมจิต
ถ้าเจริญวิปัสสนาถึงขึ้นอัปปนาสมาธิแล้ว
จะต้องทำความรู้ให้เต็มเสียก่อนจิตจึงจะไม่หวั่นไหว

... การที่จะสอนการดำเนินสมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐานโดยเฉพาะเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นมิได้
เพราะว่าจริตของคนมันต่างกัน แล้วแต่ความฉลาดไหวพริบของใคร เพราะการดำเนินจิต
มีหลายแง่หลายมุม แล้วแต่ความสะดวก

... นิมิตทั้งหลายเกิดด้วยปีติสมาธิอย่างเดียว ที่แสดงตามนิมิตออกมาทั้งหลายนั้น กรุณาท่านอย่าหลงตามนิมิต ให้พยายามทวนกระแสจิตเข้าสู่จิตเดิม
เพราะนิมิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง หลงเชื่อนิมิตประเดี๋ยวก็เป็นบ้า การที่จะแก้บ้านิมิตนั้นต้องทวนกระแสจิตเข้าสู่จิตเดิมถ้าทำอย่างนั้นได้

... อย่างบางทีเรานั่งภาวนาอยู่กลางป่าเขา
มีเสือมานั่งเฝ้าเราผู้บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าเพียงลำพัง
เสือนั้นเป็นเทพนิมิตเสียโดยมาก ถ้าเป็นเสือจริงมันเอาเราไปกินแล้ว ..."
___________________________

#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓ -​ ๒๔๙๒)







"..กิเลสมันไม่ได้อยู่ในกายนะ มันอยู่ในใจนะ มันอยู่กับใจต่างหาก มันไม่ได้อยู่ในธาตุในขันธ์ มันไม่ได้อยู่ในกายนะ...สารถีฝึกม้า ถ้าม้าตัวไหนผาดโผนมาก มันคึกมันคะนองมาก ผาดโผนมาก สารถีเขาจะต้องฝึกอย่างแรงทีเดียว ฝึกอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้มันกิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้มันกิน แต่การฝึก ฝึกอย่างหนักแน่นทีเดียว จนกว่าว่าม้านี่ค่อยลดพยศลงไป การฝึกอย่างนั้นเขาก็ค่อยลดลงตามส่วน จนกระทั้งว่าม้านี้ใช้ได้แล้ว ไม่มีพยศอดสูอะไร พอที่จะต้องฝึกอย่างนั้นแล้ว เขาก็ใช้งานใช้การเป็นธรรมดาเท่านั้นแหละ.."


ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)






"..การพิจารณา กาย นี้ เป็นของสำคัญ ผู้ที่จะ พ้นทุกข์ ล้วนแต่ ต้องพิจารณา กาย ทั้งสิ้น สิ่งสกปรก น่าเกลียด นั่นก็คือ ตัวเรา นี่เอง ร่างกาย นี้ เป็นที่ประชุม แห่ง ของโสโครก เป็น อสุภะ ปฏิกูล น่าเกลียด เพราะฉะนั้น จงพิจารณา กาย นี้ ให้ ชำนิ ชำนาญ ให้มี สติ พิจารณา ใน ทุกที่ ทุกสถาน ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ คิด พูด ก็ ให้มี สติ รอบคอบ ใน กาย อยู่เสมอ ณ ที่นี้ พึง ทำให้มาก เจริญให้มาก คือ พิจารณา ไม่ต้องถอยเลย ทีเดียว.."

ภูริทตฺตะเถระวาท
พระครูวินัยธร
(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)







"..คนสมัยนี้ เขาเป็นทุกข์เพราะ ความคิด
ที่ใจเป็นทุกข์เพราะเกิด ยึดมั่น
แล้วมีการปรุงแต่งในความคิดขึ้น
และอุบายที่จะละความทุกข์ ก็คือ
หยุดการปรุงแต่ง แล้วปล่อยวางให้เป็น.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม
จังหวัดสุรินทร์






“เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว
ได้พบหนทางที่ประเสริฐที่สุดสำหรับชีวิต
ของเราแล้ว ถ้าเราไม่เดินไปตามนั้น
เราจะไม่เสียดายหรือ เมื่อชาตินี้ไม่ปฏิบัติ
แล้วอีกกี่ชาติ จึงจะได้พบหนทางเช่นนี้อีก”
...
โอวาทธรรม หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร






"..เขาว่าทำบุญทำทานนั้น ทำไปทำไม คนทำบุญก็ต้องตาย ไม่ทำก็ตาย ตายด้วยกันจริงอยู่ดอก แต่ว่าตายผิดกัน คนทำบาปนั้นตายไปกับผีกับเปรต ตายตามป่าตามดงตามถนนหนทาง แต่คนทำบุญนั้น ตายไปในกองบุญกองกุศล ตายสบาย แล้วไปเกิดก็สบายอีก ไม่ต้องไปเกิดในที่ทุกข์ที่ยากเหมือนคนทำบาป.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)
วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
(พ.ศ.๒๔๔๙-๒๕๐๔ )






บุญเท่านั้นที่จะติดตนตามตัวเราไป
เมื่อเราหมดลมหายใจ

ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งเราได้ ในเมื่อเวลาเราจะหมดลมหายใจ นั่นเป็นประการสำคัญ

บุญกุศลนั้นเกิดขึ้นจากการบริจาค การที่พวกเราได้บริจาคทานต่างๆ บุญกุศลนั้นเกิดขึ้นด้วย การที่เราพากันทำ สมาธิ ภาวนา ด้วยประการต่างๆ บุญกุศลนั้นเกิดขึ้นจากเรามีโลกุตรปัญญา ที่จะได้แสวงหาความดีในพระพุทธศาสนา

บุญกุศลมีขึ้นได้ ๓ หนทางด้วยกันคือ
ทานมัน สีลมัย ภาวนามัย

เรามีการให้ทานแล้ว เราก็มีการรักษาศีล เรามีการรักษาศีลแล้ว เราก็มีการภาวนา นี้ก็เรียกว่าเป็น "บุญ"

แม้แต่อีเหยี่ยวที่มันเฉี่ยวไปในวัด มันเฉี่ยวผิด มันไปเฉี่ยวเอาต้นหญ้าไป ๒-๓ ต้น ติดเล็บมันไป มันก็ยังได้ไปเกิดเป็นเทวบุตร หมายความว่าไปเกิดเป็นเทวดาได้ แต่มนุษย์เราแท้ๆ ถ้าหากว่าเราทำบาปลงไป มันก็สู้อีเหยี่ยวไม่ได้ เพราะว่ามันต้องไปตกนรกอย่างนี้เป็นต้น

แม้แต่ค้างคาวที่มันเกาะอยู่ที่เพดานถ้ำ ได้ยินเสียงพระไปสวดมนต์ มันก็รู้สึกดื่มด่ำของมัน ตีนมันก็เลยปล่อยตีนลงมาโดยไม่รู้ตัว หัวกระทบพื้น ค้างคาวก็ตายหมด แต่ว่าค้างคาวทั้งหมด ก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาเหมือนกัน อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น เราท่านทั้งหลายที่ได้บริจาคทานไปแล้วนั้น ไม่ใช่บริจาคไปเฉยๆ แต่ยังเป็นปัจจัย ยังไปเป็นบุญ ไปเป็นวาสนา ไปเป็นบารมีรวมกันอยู่ที่นั่น

แม้ว่าท่านจะบริจาคเล็กน้อยก็ยังถือว่าเป็นบุญ
ท่านจะบริจาคมากก็ถือว่าเป็นบุญ อย่างนี้

บุญนั่นจะเป็นสิ่งที่...
อะโจระหะระโณ นิธิ เป็นสิ่งที่โจรมาขโมยไม่ได้
อะสาธารณะมัญเญสัง ไม่ได้เป็นสาธารณะแก่ใคร
ใครทำใครได้ อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเราพากันสร้างบาปไม่สร้างบุญ เป็นต้นว่าให้ทาน ก็ขี้เหนียวขี้ตระหนี่ ไม่สามารถที่จะบริจาคทานได้ ศีลก็ไม่รักษา กินแต่เหล้าเมายาตลอดเวลา ก็เป็นอันว่ารักษาศีลไม่ได้ ภาวนาก็ยิ่งห่างไกล บอกให้ไปทำสมาธิ หนีไปเลยไม่ทำสมาธิ จะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่งแก่เขาล่ะ

จะเอาอะไร จะเอาภรรยาเป็นที่พึ่ง จะเอาสามีเป็นที่พึ่ง หรือจะเอาญาติมิตรเป็นที่พึ่ง มันก็เพิ่งได้ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็พอที่เขาจะจับพยุงอะไรกันได้ แต่พอตายแล้ว เขาไม่จับแล้ว เขาจับไม่ได้ มันเหม็น มันเน่า มันเป็นอย่างนั้น แล้วก็ต้องเผาลูกเดียวเท่านั้น

แต่ว่าจะเผา มีไฟจะเผา แต่จะมาเผาบุญที่เขาทำนั่นเผาไม่ได้ บุญจะต้องติดตนไป ตามตัวเราไป บุญที่ติดตนตามตัวเราไปนั้นจะต้องไปช่วย

ไม่เหมือนกันกับบาป บาปนั่นติดตนตามตัวเราไปแล้ว ก็ไปทำให้เราเป็นทุกข์ จะต้องเสียใจ โศกเศร้าเสียใจ ร้องไห้ร่ำไรรำพัน พลัดพรากจากของรักของชอบใจ สิ่งที่เราต้องการก็ไม่ได้สมความปรารถนา สารพัดที่ตั้งใจไว้ก็ไม่ได้สมความปรารถนา เพราะบุญไม่มี

เพราะฉะนั้น คำโบราณท่านถึงได้กล่าวว่า เรากันแข่งเรี่ยวแข่งแรงพอแข่งได้ แต่จะมาแข่งบุญวาสนานั้น แข่งกันไม่ได้หรอก

เพราะเหตุว่า เมื่อใครทำแล้ว ก็จะต้องเป็นของบุคคลผู้นั้น เป็นประดุจรับประทานอาหาร ใครอยากจะอิ่ม ใครอยากจะอร่อย ใครก็ต้องรับประทานเอง ใช่ว่าคนอื่นจะมารับประทานแทนเราได้

สมเด็จพระญาณวชิโรดม
(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพ

ที่มา : ธรรมะรุ่งอรุณ ๕ เรื่องบุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่ง( ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖) หน้า ๒๑๕







#ส่วนการแสดงกรรมของสัตว์ที่ประทับอยู่ในสุขุมรูป มีรูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ กองนั้นรวมกันเข้าเรียกว่า จิต จึงมี สำนักงานจิต ติดอยู่ในวิญญาณ ๕ กอง รวมกันเป็นที่ทำงานของ จิตกลาง แล้วไปติดต่อกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภายนอก ซึ่งเป็นสื่อติดต่อของจิต ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงไม่เหมือนกัน
.
จิตเป็นผู้รู้สึกนึกคิด ส่วนวิญญาณเป็นคูหาให้จิตได้อาศัยอยู่ และเป็นยานพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะไปไหนๆ ก็ได้ เป็นผู้รักษา สุขุมรูป รูปที่ถอดจากรูปหยาบ มีรูปเพศผู้ เพศเมีย รูป ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ในวิญญาณไว้ได้เป็นเหตุเกิดสืบภพต่อชาติ
.
เมื่อสัตว์ตาย ชีวิตร่างกายหยาบของภพภูมิชาตินั้นๆ ก็หมดไปตามอายุขัย (ของ) ชีวิตร่างกายหยาบของภูมิชาตินั้นๆ ส่วนชีวิตแท้ รูป ปรมาณู วิญญาณ จะไม่ตายสลายตาม จะต้องไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ตามเหตุปัจจัยของวัฏฏะหมุนเวียนเปลี่ยนไปด้วย
.
ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณหมุนรอบตัวเอง นี้เอง เป็นเหตุให้จิตเกิดดับ สืบต่อ คอยรับเหตุการณ์ภายนอกภายในที่มากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเข้าไว้ เป็นทุน เหตุเกิด เหตุดับ หรือปรุงแต่งต่อไป จนกว่า กรรมชั่ว-เหตุเกิด จะหมดไป
.
ชีวิตแท้-รูปถอดหรือวิญญาณ ก็จะหยุดการหมุน รูปสุขุม-รูปวิญญาณ ซึ่งเกิดมาจากกรรมชั่ว สืบต่อมาแต่ชาติแรกเกิด ก็จะสลายแยกออกจากกันไป คงรูปอยู่ไม่ได้ มันก็กระจายไป ส่วนกิจกรรมดี ธรรมะที่ติดอยู่กับวิญญาณ มันก็จะกระจายไปกับรูปปรมาณู คงเหลือแต่ความว่างที่คั่นช่องว่างของรูปปรมาณูทุกๆ ช่อง ฉะนั้น โดยปราศจากรูปปรมาณู ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน

.
#หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
จิตคือพุทธะ






#ในสังสารวัฏฏ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลายมีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ คือ กามภูมิ ๑๑ รูปภูมิ ๑๖ และอรูปภูมิ ๔ พวกเราเคยเกิดกันมาครบหมดแล้วทุกภูมิ ยกเว้นพรหมชั้นสุทธาวาส ซึ่งเป็นที่อยู่โดยเฉพาะของอริยบุคคล ระดับอนาคามีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็น พรหม เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือสัตว์นรก ก็เป็นมาแล้วทั้งนั้น แม้ว่าจะเคยเกิดเป็นพรหม ก็ยังพ้นไปจากวัฏฏะนี้ไม่ได้ ยังต้องเวียนมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่บนโลกใบนี้

หรือแม้แต่การได้เกิดเป็นพระราชา พระราชินี มหาเศรษฐี เราก็เคยเป็นกันมากี่ภพกี่ชาติแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะไปถึงไหน จึงให้พากันพิจารณาว่า ถ้าเราปล่อยให้วนเวียนกันเช่นนี้ เราก็ต้องทุกข์อยู่ร่ำไป นับว่าเป็นภัยใหญ่ของชีวิต ที่เราไม่ค่อยพิจารณากัน

พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า

“แม้คนยาจก วณิพก คนง่อยเปลี้ยเสียขา หรือจะเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์ก็ตาม ให้รู้เถิดว่า ได้เคยเกิดเป็นอย่างนั้นมาแล้วทั้งนั้น”

เราเป็นมาแล้วสารพัดอย่าง เช่นนี้ไม่เบื่อกันบ้างหรือ

น้ำตาของเราที่ไหลออกมา ในภพชาติ ต่างๆ รวมกันแล้วมากกว่าน้ำในมหาสมุทร แล้วในกาลข้างหน้า ยังรอให้เราต้องประสบพบเจอกับทุกข์โศกต่างๆ เหล่านี้อีก โดยเฉพาะในอบายภูมิ ถ้ายังปิดประตูอบายภูมิไม่ได้ ด้วยการบรรลุธรรมขั้นโสดาบันบุคคล (คือ อริยบุคคลขั้นแรก เกิดในสุคติภูมิ อีกไม่เกิน ๗ ชาติ ก็จะสามารถสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ได้) เป็นอย่างน้อย ก็มีโอกาสได้ไปเกิดในอบายภูมิอีก

มีทางเดียวที่จะทำให้พ้นไปจากวัฏฏะได้ คือ การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ โยมคิดว่าการงานหรือหน้าที่อะไร เงินทองมากมายแค่ไหน ที่จะทำให้พ้นไปจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ แล้วมียาอะไรไหม ที่จะช่วยให้เราไม่ต้องแก่ ไม่ต้องตาย... ไม่มี มีแต่การเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้เท่านั้น แล้วจะไม่สนใจหรือ กับคำสอนที่พระองค์ได้ตรัสบอกทางให้แล้ว

#ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
#‪ท่านเจ้าคุณ‬ ‪พระภาวนาเขมคุณ‬ วิ.
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา






.

#พระโสดาบันปฏิบัติตัวอย่างไร

ถ้าพูดถึงอารมณ์ของพระโสดาบันจริงๆ
ก็ต้องรู้อารมณ์เก่า
อารมณ์จริงๆ ของพระโสดาบันนอกจากจะเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีศีลบริสุทธิ์แล้ว
สิ่งที่เราจะต้องรู้และคิดว่าพระโสดาบันปฏิบัติตัวอย่างไร

พระโสดาบันยังปฏิบัติตัวเหมือนชาวบ้านธรรมดาทุกอย่าง
ยังมีความรักในระหว่างเพศ
ยังมีความต้องการความร่ำรวย
ยังมีความโกรธ
และยังมีความหลง
แต่ว่าทุกอย่างนี้อยู่ในขอบเขตของศีล

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
______
จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๔๑๙ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๙ หน้า ๔๖
คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์







การแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลแผ่เมตตาจิต ควรทำเมื่อไหร่และทำแบบไหน หลวงปู่แหวน!!! ท่านยืนยันไว้เสมอว่าทำเช่นไรดีที่สุด

บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัว มักจะไม่เห็นคุณของพระศาสนา มัวเมา ประมาท ปล่อยกายปล่อยใจให้ประพฤติทุจริต ผิดศีลธรรม อยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว

ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มี นั่นแหละจึงได้คิดถึงพระคิดถึงศาสนา แต่เป็นเวลาที่สายไปเสียแล้ว

เรื่องความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอ ให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรค คือทางดำเนินไปของจิตมันจึงจะเห็นผลของความดี

ไม่ใช่เวลาใกล้จะตายจึงนิมนต์พระไปให้รับศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วญาติจึงเคาะโลงบอกให้รับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดหมด

เหตุเพราะว่า คนเจ็บนั้น จิตมัวติดอยู่กับเวทนาไฉนจะมาสนใจใยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้น จึงจะสามารถระลึกถึงศีลของตัวได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิต แล้วเท่านั้น

แต่ส่วนมาก พอใกล้จะตายแล้ว จึงมีผู้เตือนให้รับศีล ยิ่งคนตายแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายกับจิตใจไม่รับรู้ใดๆ แล้ว แต่ที่ทำมาก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี

ตัวอย่างเช่น พระเทวทัต ทำกรรมมาจนสุดท้ายถูกแผ่นดินสูบ เมื่อร่างลงไปถึงคาง จึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าได้ แล้วขอถวายคางเป็นพุทธบูชา พระเทวทัตยังมีสติระลึกได้ จึงพอมีผลดีอยู่บ้างในอนาคต

การที่พระแผ่เมตตาให้ เขาจะได้รับหรือเปล่าก็ไม่รู้ สู้เราทำเอาเองไม่ได้ เราทำให้ตัวเราเอง จะได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปีติเอิ่มอิ่มใจมากเท่านั้น

ที่มา หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๓







#มิจฉาสมาธิ

“...คำว่ามิจฉาสมาธินั้น
มีหลายชั้น ชั้นหยาบที่ปรากฏแก่โลกอย่างชัดเจน
ก็มี ชั้นกลาง ชั้นละเอียดก็มี ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะมิจฉาสมาธิในวงปฏิบัติ ซึ่งปรากฏขึ้นกับตนเอง
โดยไม่รู้สึกตัว เช่น เข้าสมาธิ จิตรวมลงแล้วพักอยู่ได้นานบ้าง ไม่นานบ้าง จนถอนขึ้นมา ในเวลาจิตถอนขึ้นมายังมีความติดพันในสมาธิ ไม่สนใจทางปัญญาเลย โดยถือว่า สมาธิ จะกลายเป็นมรรคผล นิพพานขึ้นมาบ้าง ยังติดใจในสมาธิ อยากให้รวมอยู่นานๆ หรือตลอดกาลบ้าง

จิตรวมลงถึงที่พักแล้ว ถอนขึ้นมาเล็กน้อย และออก
รู้สิ่งต่างๆ ตามแต่จะมาสัมผัส แล้วเพลินติดในนิมิตนั้นๆ บ้าง บางที จิตลอยออกจากตัวเที่ยวไปสวรรค์ชั้นพรหม นรก อเวจี เมืองผี เมืองเปรตต่างๆ
จะถูกหรือผิดไม่คำนึง แล้วก็เพลินในความเห็น
และความเป็น ของตน จนถือว่า เป็นมรรคเป็นผล ที่น่าอัศจรรย์ของตน และของพระศาสนาด้วย
ทั้งนี้ แม้จะมีท่านที่มีความรู้สามารถในทางนี้
มาตักเตือน ก็ไม่ยอมฟังเสียเลย เหล่านี้เรียกว่า
เป็นมิจฉาสมาธิ โดยเจ้าตัวไม่รู้สึก..."

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน






...เดี๋ยวนี้เราจะหาที่พึ่งไม่ได้แล้ว อย่างนักบวชนักพรต ลูกหลานของเรามาบวช กันทุกวันนี้ ส่วนมากก็บวช ๗ วัน ๑๕ วัน เท่านั้นแหละ แล้วก็สึกไปๆ เลยไม่มีใครอยู่วัด วัดเลยไม่เป็นวัด เพราะไม่มีใครอบรมสั่งสอนกัน ไม่มีที่เกาะที่ยึดที่มั่นหมาย เพราะขาดกรรมฐาน ขาดการภาวนา ขาดการอบรมบ่มนิสัย มันขาดอย่างนี้ เลยมีแต่เรื่องเดือดร้อนกระวนกระวาย การบวชส่วนมากก็บวชกันตามประเพณีชั่วคราว ทุกวันนี้วัดก็เลยเป็นเหมือนคุกเหมือนตะราง เข้าไปก็ร้อนทันที อยู่ไม่ได้ ที่ที่มันเย็นเลยกลับเป็นที่ร้อนทุกวันนี้ ที่ถูกก็เลยกลายเป็นผิด เพราะคนไม่ได้อบรมธรรมะ ดังนั้น พวกเราทั้งหลายจึงขอให้เอาไปพินิจพิจารณาให้มันดีๆ

...ทุกวันนี้นับวันจะยาก เพราะโลกกับธรรมะมันแข่งกัน ฝ่ายโลกเขามีอะไรบ้าง ของกินมีหลายสิ่งหลายอย่าง ของที่จะฟังก็เยอะ สิ่งที่จะดูก็เยอะแยะ ไม่เหมือนสมัยก่อน ทีนี้หันมาดูทางธรรมะมีอะไรบ้าง มีแต่เรื่องปัญญาบารมี ปัญญาอุปบารมี ปัญญาปรมัตถบารมี ฟังกันไม่รู้เรื่อง มันจึงไม่เข้าถึงสันหลังของมนุษย์ทุกวันนี้ เลยไม่รู้เรื่องรู้ราว

...ความจริง เรื่องปัญญาบารมี ก็รวมอยู่ในบารมี ๑๐ มี ทาน ศีล เนกขัมมะปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา

...บารมีเหล่านี้แยกออกเป็น ๓ หมวด คือ บารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี รวมเป็นบารมี ๓๐ ทัศ ที่พระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะตรัสรู้ ต้องบําเพ็ญให้ได้ครบบริบูรณ์ทุกๆ พระองค์ ปัญญาบารมีก็แยกเป็น ๓ ระดับ เหมือนกับทานบารมี คือปัญญาระดับปกติธรรมดา ระดับกลาง และระดับสูงสุด ตัวอย่างเช่น #ปัญญาระดับศีลขจัดกิเลสส่วนหยาบ #ปัญญาระดับสมาธิขจัดกิเลสส่วนกลาง #ปัญญาระดับสูงขจัดกิเลสส่วนละเอียด แต่โดยมากฟังกันไม่รู้เรื่อง จึงมักจะมีปัญหา

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)





คนชอบบ่นว่าความจำไม่ดี ที่จริงปัญหามักจะอยู่ที่สัญญามากกว่า ยกตัวอย่าง เช่น หาแว่นตาไม่เจอ ปัญหามักเกิดขึ้นในขณะที่เราวางแว่นตาโดยไม่ตั้งใจมากกว่า เหมือนกับว่าไม่ป้อนข้อมูลให้กับสมอง ดังนั้นเวลาจะค้นหาข้อมูล เช่น เอ..แว่นอยู่ไหน ก็ไม่ได้ผลเพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่การค้นหาข้อมูล แต่อยู่ที่ไม่มีข้อมูลให้ค้นพบ

สติคือความระลึกได้ สติจะระลึกอะไรได้เมื่อมีสิ่งให้ระลึก สิ่งนั้นปรากฏเพราะความตั้งใจป้อนข้อมูลให้กับสมอง เพราะฉะนั้นถึงจะยุ่ง จะทำอะไรก็ทำทีละอย่าง ด้วยความรู้ตัว

พระอาจารย์ชยสาโร






ธรรมะสวัสดียามเย็น ขอความสุขความเจริญในชีวิต รุ่งเรืองในธรรม จงเกิดมีแด่ทุกท่าน ด้วยพระธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า

คติธรรม นำตน ให้พ้นผิด
เนติธรรม นำจิต คิดเหตุผล
วัตถุธรรม นำข้าม พ้นความจน
สหธรรม นำตน พันภัยเอย

#คติธรรม #หลวงพ่อจิฯ #วัดตาลเอน








“เมื่อบวชเข้ามาแล้ว ก็ให้ทำตัวเป็นพระภิกษุ
ใหม่อยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าเก่า สยดสยองอยู่
ต่อข้อประพฤติปฎิบัติอยู่สม่ำเสมอด้วยใจ
จะยืน เดิน นั่ง นอน จิตก็ปรารภอยู่ ...
เราจะมีความมักน้อยโดยวิธีอย่างไร
จะปฏิบัติอย่างไร ถึงจะเป็นอย่างนั้น
ให้เราระลึกอยู่อย่างนี้เสมอ ให้รู้จักความ
ผิดชอบเฉพาะตัวเองอยู่ ทุกเวลานั่นเอง” ...
...
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทฺโท)







"... สำหรับอุปจารสมาธิ สามารถรู้วาระจิต
ของผู้อื่นได้ สามารถแก้นิวรณ์ได้ แต่โมหะคลุมจิต
ถ้าเจริญวิปัสสนาถึงขึ้นอัปปนาสมาธิแล้ว
จะต้องทำความรู้ให้เต็มเสียก่อนจิตจึงจะไม่หวั่นไหว

... การที่จะสอนการดำเนินสมถกรรมฐาน
และวิปัสสนากรรมฐานโดยเฉพาะเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นมิได้
เพราะว่าจริตของคนมันต่างกัน แล้วแต่ความฉลาดไหวพริบของใคร เพราะการดำเนินจิต
มีหลายแง่หลายมุม แล้วแต่ความสะดวก

... นิมิตทั้งหลายเกิดด้วยปีติสมาธิอย่างเดียว ที่แสดงตามนิมิตออกมาทั้งหลายนั้น กรุณาท่านอย่าหลงตามนิมิต ให้พยายามทวนกระแสจิตเข้าสู่จิตเดิม
เพราะนิมิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง หลงเชื่อนิมิตประเดี๋ยวก็เป็นบ้า การที่จะแก้บ้านิมิตนั้นต้องทวนกระแสจิตเข้าสู่จิตเดิมถ้าทำอย่างนั้นได้

... อย่างบางทีเรานั่งภาวนาอยู่กลางป่าเขา
มีเสือมานั่งเฝ้าเราผู้บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าเพียงลำพัง
เสือนั้นเป็นเทพนิมิตเสียโดยมาก ถ้าเป็นเสือจริงมันเอาเราไปกินแล้ว ..."
___________________________

#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
(พ.ศ.๒๔๑๓ -​ ๒๔๙๒)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO