นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 01 ก.ค. 2025 12:29 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พ้นทุกข์
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 24 มิ.ย. 2025 4:15 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4972
การถวายปัจจัย เพื่อจะขอให้พ้นทุกข์นั้น
อย่าเอาเงินมาซื้อบุญเลย พระเองจะเอาบุญ
มาจากไหนมากมาย เพื่อมาขายให้พวกโยม
ลองคิดดูซิว่า พระเองยังต้องบิณฑบาตขอข้าว
จากชาวบ้าน หรือพวกโยมอยู่ทุกวันเลย
ถ้าอยากได้บุญ ให้ภาวนา อยากได้บุญหลายๆ
ให้ภาวนาเอาหลายๆ

“บ่แม่นบุญอยู่นำข้อย ข้อยบ่มีบุญมาขายดอก”
(ไม่ใช่บุญอยู่ที่เรา เราไม่มีบุญมาขายดอก)

พระอาจารย์จันมี อนาลโย







"...ผู้ที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ต้องเป็นผู้มีภูมิธรรมสมควรจะเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับตึก ห้าง ร้านใหญ่ๆ ที่มีราคาแพงๆ ทัพพสัมภาระเครื่องจะปลูกสร้างควรจะเป็นตึกเป็นห้างต้องเพียงพอ ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นกระต๊อบไป จะเรียกว่าตึกว่าห้างว่าร้านไม่ได้ เขาจะเรียกเพียงกระต๊อบเท่านั้น ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทัพพสัมภาระคือคุณงามความดีที่เราบำเพ็ญมา สมควรจะเป็นมนุษย์ได้นั้นแลจึงจะอุบัติขึ้นมาเป็นมนุษย์ได้ ถ้าหากว่าภูมิไม่สามารถเช่นนั้นก็กลายเป็นกระต๊อบไป ที่เรียกว่ากำเนิดของสัตว์ประเภทต่างๆ นั้นเทียบเหมือนกระต๊อบเพราะไม่ค่อยมีความหมายอะไรนัก ไปที่ไหนก็มองเห็นกันทั่วๆ ไป ไม่เป็นที่สะดุดตาสะดุดใจ

ดังที่เราเดินผ่านมาเห็นกระต๊อบนาเขาเป็นอย่างไรบ้าง เป็นที่สะดุดตาเราว่าเป็นของที่มีคุณค่าน่าต้องการไหม ไม่มีใครต้องการและไม่มีใครสะดุดตาสะดุดใจ แต่ไปเห็นห้างร้านใหญ่ๆ ที่มีความแน่นหนามั่นคงความสวยงามมาก จะมีความรู้สึกอย่างไร ไม่ว่าใจท่านใจเราจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ฉะนั้นความเป็นมนุษย์จึงมีความแปลกต่างจากสัตว์อยู่มากมาย ยิ่งเรารักษาระดับความเป็นมนุษย์ของเราไว้ได้แล้ว เรายิ่งจะเลื่อนฐานะจากความเป็นมนุษย์นี้ไปอีกเป็นชั้นๆ มนุสฺสามนุสฺโส มนุสฺสเปโต มนุสฺสเทโว นั่นมนุษย์มีหลายประเภท ถ้าเราไม่สามารถจะรักษาระดับความเป็นมนุษย์ของเราไว้ได้ด้วยความประพฤติเหลวแหลก ก็กลายเป็นมนุสฺสเปโต มนุสฺสาติรัจฉานในร่างแห่งมนุษย์

คือกายเป็นมนุษย์จริงแล แต่ใจนั้นกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรตเป็นผีไปเสีย ทำความเดือดร้อนแก่บ้านเมือง ไปที่ไหนชาวบ้านเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ประเภทนั้นเขาเรียกว่ามนุษย์ที่เป็นผี หรือว่าเป็นเปรตเป็นผีในร่างแห่งมนุษย์ ไม่รู้บุญรู้บาป ไม่รู้ดีรู้ชั่ว กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานไปในร่างแห่งมนุษย์ นี่ถ้าไม่สามารถประคับประคองระดับของมนุษย์ ด้วยความประพฤติอันดีงามให้สมกับภูมิมนุษย์ไว้ได้ จะกลายลงไปเป็นเช่นนั้น

ถ้าสามารถประพฤติปฏิบัติ ปรับปรุงแก้ไขตนให้อยู่ในระดับของมนุษย์ได้ และให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ก็กลายเป็น มนุสฺสเทโว คือกายเป็นมนุษย์แต่ใจมีอรรถมีธรรม มีความเมตตาสงสาร รู้จักท่านรู้จักเรา รู้จักบุญคุณต่อท่านผู้มีคุณ รู้จักวิธีปฏิบัติต่อตัวว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด ไม่ทำเอาตามความอยากที่ฉุดลากให้พาเป็นไป แต่ทำตามเหตุผล เมื่อสิ่งใดถูกแล้วพยายามทำสิ่งนั้น จะยากลำบากไม่เป็นของสำคัญ แต่จะทำให้ได้ตามหลักกฎเกณฑ์ที่เหตุผลชี้บอกไว้ หรือเป็นคนมีความรักความดีเสมอ รักศีลรักธรรม รักตัวก็ชื่อว่ารักธรรม

เพราะการบำเพ็ญทุกอย่างในบรรดาคุณงามความดีทั้งหลาย จะต้องบำเพ็ญเพื่อตัวทั้งนั้น ส่วนที่มีมากขึ้นหรือคนอื่นจะได้รับผลประโยชน์จากเรานั้นเป็นผลที่พลอยได้ คนที่มีใจเป็นศีลเป็นธรรมมีหิริโอตตัปปะ ละอายต่อบาปต่อกรรม ต่อความชั่วช้าลามก มีความห้าวหาญรื่นเริงบันเทิง เชื่อเลื่อมใสต่อคุณงามความดี ต่อบุญต่อกรรม คนประเภทนี้แลเป็นเทพภายในใจ ในร่างแห่งมนุษย์นี้แล เลื่อนขึ้นไปเป็นลำดับ ถ้าสามารถประพฤติปฏิบัติตนให้ยิ่งขึ้นไปยิ่งกว่านั้นจนสำเร็จเป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมา ก็กลายเป็นวิสุทธิเทพขึ้นไปเป็นชั้นๆ ถึงขั้นพระอรหันต์เรียกว่าวิสุทธิเทพ เป็นผู้หมดจดภายในจิตใจโดยสิ้นเชิง ผู้นั้นแลจะอยู่ที่ไหนก็เป็นผู้ประเสริฐในร่างแห่งมนุษย์นี้แล..."

หลวงตาพระพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ. วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๑









ใจคนเราเหมือนจอหนัง ถ้าเขาไม่ปรุงแต่งขึ้นมา มันก็ว่างเปล่า แต่คนเราไม่ชอบอยู่ว่าง ไปหาเรื่องมา ใส่ตน ก็มีเรื่องอยู่ ๒ เรื่องเท่านั้น ก็คือ เรื่องดี กับเรื่องชั่ว

เรื่องรัก กับ เรื่องโกรธ เรื่องรักถ้าเราไม่มีเสียแล้วเราไม่เป็นคน จิตใจสงสัยรักใคร่ใคร เรื่องโกรธก็คงไม่มี เรื่องรังเกียจก็คงไม่มี คงไม่มีแน่

นี่เราไปหลงรักไอ้ความรังเกียจ ก็คงมีเพราะมันอยู่เป็นของคู่กัน ถ้าอาตมาสอนโยมก็สอนให้โยมรักษาศีล ศีล ๑ เท่านั้นเอง คือ กาย ๑ วาจา ๑ ใจ ๑

ถ้าโยมตามรักษาใจ ศีลก็ได้มา สมาธิก็เป็น ปัญญา ก็มี ทีนี้ กายสังขาร วจีสังขาร สังขาร นั้นมี ๑ เท่านั้น แต่ว่าอาการมี ๓

ฉะนั้น อาตมาไม่เชื่อผลทั้ง ๓ ที่บัญญัติว่ากุศล กายก็บัญญัติ วาจาก็เป็นตัวพูดออกมา จิตเป็นตัวแต่ง จิต ไม่มีตัวตน

เจ้าสังขารก็เป็นผู้แต่งกาย แต่งวาจา แต่งจิต ถ้าแต่งมาให้ดีเราก็ไม่ยึดถือ ไม่ยึดถือใน สิ่งที่ดี ชั่วเราก็ไม่ยึดถือ อย่างนี้

อาตมาให้โยมเข้าใจอย่างนี้ ถ้าโยมเข้าใจอย่างนี้ โยมอยู่เป็น กลางไม่ยึดถือ ทั้งดีทั้งชั่วแล้ว โยมทำได้ใน ๒๔ ชั่วโมง

โยมอยู่บนเกวียนวัวขาวตลอดวันเลย ไม่มีอะไรเกิด เมื่อไม่มีอะไรเกิดความดับก็ไม่มี

ถ้าโยมเข้าใจอย่างนี้แล้ว ความ รักมันเกิดขึ้นโยมก็วางใจให้เป็นกลาง ความโกรธเกิดขึ้นโยมก็วางใจให้ เป็นกลาง

ถ้าโยมทำได้อย่างนี้ใจก็พ้นจากความหวั่น ไหว ถ้าโยมไม่รู้จักความหวั่นไหว ความดีใจก็หวั่นไหว ความเสียใจ ก็หวั่นไหว

ถ้าโยมเข้าใจว่าสูงกว่าคนนี้โลกหรือคนก็ ตาม ต้องมีใจหวั่นไหว ดีใจเสียใจมีอย่างนี้ ถ้าผู้ที่เหนือคนเหนือโลก ท่านพ้นจากความหวั่นไหว

เพราะความหวั่นไหวนั้น มันไม่ใช่ใจของเรา เป็นเครื่องลวงเท่านั้น ถ้ามันยังหวั่นไหวอยู่วันยังค่ำ อาตมา ก็เชื่อว่าจะมีสภาวะหรือมีตัวตน มันหวั่นไหวชั่วขณะของมันเท่านั้นเอง

หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม








กระทบมันเดี๋ยวนี้ รู้มันเดี๋ยวนี้
กระทบมันเดี๋ยวนี้ ทิ้งมันเดี๋ยวนี้
กระทบมันเดี๋ยวนี้ วางมันเดี๋ยวนี้
เรื่องสงบ ของปัญญา เป็นอย่างนี้
...
หลวงปู่ชา สุภัทโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO