นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 17 มิ.ย. 2025 5:33 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความเสียสละ
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 16 มิ.ย. 2025 4:49 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4955
" ศีล เป็นผู้นำทางประเสริฐสุด จิต เป็นนักเดินทางอันแสนไกล สิ่งที่ควรมี คือ ผู้นำทางซึ่งไม่มีสิ่งใดจะประเสริฐสุดเสมอด้วยศีล เพราะศีลมีกลิ่นหอมขจรไปทั่วทุกทิศทาง ผู้ที่มีศีลนำ ย่อมไกลจากความทุกข์

เมื่อต้องพากันออกเดินทางแน่นอนแล้ว เราก็น่าจะเตรียมหาผู้นำทางที่ประเสริฐ คือ การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ตั้งแต่บัดนี้"
.
--- พระคติธรรม สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร






คำว่า อิสระอย่างแท้จริง ตรงกับคำภาษาบาลี
ว่า วิมุตติ หรือความหลุดพ้น พระพุทธองค์ตรัส
ไว้ว่า วิมุตติ คือหัวใจของพระพุทธศาสนา
ก้าวแรกบนทางสายกลางเกิดขึ้นเมื่อเรา
สำนึกว่าเรากำลังติดคุกติดตะรางแห่งกิเลส
การมีเงินมีทองมาก ๆ ไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้น
แต่อย่างใด เพียงแค่ประดับให้ที่กักขังน่าอยู่
ขึ้นหน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตาม คุกของมนุษย์แปลกอย่างหนึ่ง
คือ ประตูไม่ได้ใส่กุญแจ ใครจะพ้นโทษก็พ้น
ได้ ถ้ากล้าลืมตาดูชีวิตของตนจนเบื่อหน่าย
ในการเป็นนักโทษ และเริ่มขัดเกลากิเลส ...
...
พระอาจารย์ชยสาโร








จงกล่าวโทษ โจทย์ความผิดของตัวไว้เสมอ
ธรรมทาน #คำสอนหลวงพ่อ

ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ใช่ด่า
เป็นการแนะนำตามที่เขาปฏิบัติกันมา
เขาทำกันอย่างนี้
" อัตตนา โจทยัตตานัง "
"จงกล่าวโทษ
โจทย์ความผิดของตัวไว้เสมอ "

อย่าไปยุ่งกับคนอื่น
คตินี้นักปฏิบัติทุกคน
เขาจะประณามตัวเองเข้าไว้เสมอ

อารมณ์ยุ่งอยู่กับกามราคะนิดหนึ่ง
เขาจะประณามว่าเลวทันที
ของอะไรก็ดี ถ้าชมว่าสวย
ชมว่างามเมื่อรู้สึกขึ้นมา
ก็รู้สึกว่าใจของเรามันเลวเสียแล้วรึนี่
แค่นี้เขาตำหนิตัวเขาแล้ว
แล้วยิ่งไปเพ่งโทษของบุคคลอื่น
ไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น
ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเร่าร้อน

นั่นแสดงว่า กิเลสมันไหลออกมาทางกาย
และทางวาจา มันล้นออกมาจากใจ
มันเลวเกินที่จะเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
นี่เราต้อง ประณามอย่างนี้
แล้วทางที่ไปจะไปไหน
เป็นสัตว์เดียรัจฉานก็ยังเป็นไม่ได้
ต้องไปขึ้นต้นมาจากนรก
มันไม่เหมาะสำหรับเรา
นี่เราต้องประณามตัวไว้เป็นปกติ
อย่าเที่ยวประณามคนอื่นเขา

หนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เล่ม ๗ หน้า ๑๓









"ภัยในวัฏสงสารเป็นสิ่งทีน่ากลัว"

" .. "การเวียนตายเวียนเกิดในวัฏสงสาร ที่จะตั้งเที่ยงแท้แน่นอนยั่งยืนนั้นมิได้มีเลย" ย่อมจะต้องท่องเที่ยวไปเกิดในโลกดีบ้างชั่วบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้างปะปนกันไปอยู่เช่นนี้ "ถ้าไปเกิดในโลกที่ดีมีความสุข" เช่น เทวโลก พรหมโลกก็นับว่าเป็นการดี แต่ทีนี้ "ถ้าพลาดพลั้งลงไปเกิดในโลกชั่ว" เช่นอบายภูมิแล้ว ย่อมเป็นการยากนักหนาที่จะยกตนขึ้นมาจากโลกชั้นตํ่าได้ ต้องเสวยทุกขเวทนาไปแสนนาน

อีกประการหนึ่ง "การท่องเที่ยวในวัฏสงสารนี้ยังเป็นการท่องเที่ยวไปไม่มีวันสิ้นสุดอีกด้วย" ข้อนี้สิร้ายมาก ลองหลับตานึกวาดภาพดูเถิดว่า "ตัวเรานี้ต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนี้ตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดครั้งใด เป็นต้องตายลงไปครั้งนั้น" ซํ้าซากอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันหยุดยั้ง

"ตัวเรานี่แหละเกิดตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่รู้ตัวมาหลงลืมเสียเพราะชาติภพปิดบังไว้เท่านั้นเอง" และอีกไม่นานตัวเราก็จะตายแล้วใช่ไหมเล่า ตายแล้วก็เกิดอีก แต่เฝ้าตายเฝ้าเกิดอยู่อย่างนี้ ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุดลงได้ ด้วยเหตุนี้ "วัฏสงสารนั้นจึงเป็นภัยที่น่ากลัวกว่าสิ่งที่น่ากลัวทั้งหลายในโลก" คราวนี้มีปัญหาว่า "ทำอย่างไรจึงจะออกจากวัฏสงสาร ซี่งมีภัยอันใหญ่หลวงนี้เสียได้"

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "พระองค์ผู้ทรงสัพพัญณุตญาณ" ซึ่งทรงทราบซัดทุกสิ่งทุกประการ ได้ทรงชี้ลงไปอย่างเด็ดขาดว่า "การที่จะทำตนให้พ้นจากวัฏสงสารได้นั้น ต้องถึงซึ่งพระนิพพาน ได้นิพพานสมบัติเมื่อใด เมื่อนั้นจึงจะพ้นภัยในวัฏสงสารนี้ได้" .. "

"ธรรมลี เศรษฐีธรรม"
หลวงปู่ลี กุศลธโร








ถ้าเราทำสิ่งใด ด้วยความเสียสละ
อย่างแท้จริง โดยปราศจากผลประโยชน์
ของตนเอง จะเห็นว่าจิตใจของเราผ่องใส
เบิกบาน นั่นแหละ … ตัวบุญ

พระอาจารย์ชยสาโร







มันจึงจะเรียกว่ากรรมฐาน

"การพิจารณากายนั้น ให้เพ่งเข้ามาภายใน ให้เห็นเฉพาะตัวของเราเท่านั้น ไม่ให้เพ่งออกไปภายนอก ไปดูในที่อื่น เพ่งเข้ามาพิจารณาอยู่เฉพาะตัวของเรา พิจารณาให้ถึงที่สุด ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นเป็นของเปื่อยเน่าปฏิกูล

ถ้าเราไม่พิจารณาก็จะไปเข้าใจว่าเป็นของเที่ยงถาวร ไม่เห็นเป็นของปฏิกูล ยังอยากทำเสริมสวยหรูหรา ของที่ไม่ดีก็ทำให้มันดีขึ้น คือต้องการให้มันสวยมันงาม ให้มันอยู่ถาวรเท่านั้นเอง คือปกปิดความจริงของมันไม่ให้เห็นตามเป็นจริง

แต่กรรมฐานนั้นท่านไม่ปิด ท่านเปิดของจริงขึ้นมาให้เห็น พิจารณาของจริงว่ามันปฏิกูลอย่างไร มันเปื่อยเน่าอย่างไร มันเป็นของไม่เที่ยงอย่างไร ให้มันชัดด้วยตนเอง มันจึงจะเรียกว่า กรรมฐาน

พิจารณาอย่างนี้ ไม่ให้พิจารณาส่งออกไปภายนอก ให้พิจารณาให้เห็นของจริงตามเป็นจริง"

...... หลวงปู่เทสกฺ์ เทสรังสี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 21 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO