พระพุทธพจน์ - พุทธภาษิต พระธรรมเทศนา และ ธรรมะจากครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
อาทิตย์ 15 มิ.ย. 2025 9:04 am
"ผู้สงสัยกรรมหรือไม่เชื่อกรรมว่ามีผล
คือลืมตน จนกลายเป็นผู้มืดบอดอย่างช่วยไม่ได้
กรรม คือ การกระทำ ดี-ชั่ว
ทางกาย วาจา ใจ ต่างหาก
ผลจริง คือ ความสุข-ทุกข์
มนุษย์ก็มีกรรมชนิดหนึ่งที่พาให้มาเป็นเช่นนี้
ซึ่งล้วน ผ่านกำเนิดต่าง ๆ มาจนนับไม่ถ้วน
ให้ตระหนักในกรรมของสัตว์ว่ามีต่าง ๆ กัน
เพราะฉะนั้นไม่ให้ดูถูกเหยียดหยาม
ในชาติกำเนิดความเป็นอยู่ของกันและกัน
และสอนให้รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมดี กรรมชั่ว
เป็นของ ๆ ตน”
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
"พระพุทธศาสนา"
เป็นของ "บริษัท ๔"
ถ้าพระเสีย แต่โยมยังอยู่
อุบาสก-อุบาสิกา ก็ต้อง
รักษาพระพุทธศาสนาไว้
ยามใดที่พระสงฆ์เพลี่ยงพล้ำ
อุบาสก-อุบาสิกา ก็ต้องเป็นหลัก
กลับมาช่วยฟื้นฟูหนุนให้มี
"พระดี' มารักษาพระพุทธศาสนา
...
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
"...การศึกษาพระพุทธศาสนา
ถ้าจะให้เข้าใจถูกต้องแล้ว ต้องให้มีปริยัติ
คือการศึกษา และปฏิบัติตามความรู้ที่ได้
ศึกษามานั้นให้ถูกต้อง โดยเฉพาะการปฏิบัติ
ถ้าไม่ยืนตัวอยู่ในไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
แล้ว จะไม่มีความถูกต้องอันจะเกิดความรู้ใน
สัจจธรรมได้เลย มรรคปฏิปทาอันจะให้ถึง
สัจจธรรมนั้น ก็ต้องรวม ศีล สมาธิ ปัญญา
ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วปฏิเวธธรรม
จึงจะเกิดขึ้นได้..."
โอวาทธรรม
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
อานิสงค์พุทธมนต์
พุทธมนต์นั้นใครสวดก็ตาม จะเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์เช้า เย็น หรือชาวพุทธทุกคน
- สวดมนต์ระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล
- สวดออกเสียงพอฟังได้ มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักรวาล
- สวดมนต์เช้าเย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏิจักรวาล
- สวดเต็มเสียงสุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้ อนันตจักรวาล
แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสามภพ และที่สุดอเวจีมหานรก ยังได้รับความสุข เมื่อแว่วเสียงพุทธมนต์ผ่านลงไปถึงชั่วขณะหนึ่ง ครู่หนึ่ง ดีกว่า หาความสุขไม่ได้เลยตลอดกาล อานิสงค์พุทธมนต์
ท่านพระอาจารย์มั่น
#ถูกดี_ถึงดี_พอดี
ฟังนะลูกเอ๊ย มึงอาจจะเคยได้ยินหลาย ๆ คน มักจะพูดกันอยู่เสมอว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” นั่นมันความคิดของคนพาลคนจัญไรที่มันคิด เพราะไอ้คนที่พูดแบบนี้ หรือมันพูดแบบนี้ เพราะมันไม่อยากจะสร้างความดี หรือ “มันทำความดีไม่เป็น” มันจึงพูดแบบนี้ ไม่เข้าใจว่าการทำความดีนั้นจะต้องทำอย่างไร เลยคิดว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ถ้าคนเหล่านี้เข้าใจถึงการทำดี แล้วก็พิจารณาดูว่า สิ่งที่ตัวเองคิดว่าทำดี..มันดีอยู่ตรงไหน บางคนทำดีแต่ยังไม่รู้ว่า..การทำดีนั้นควรทำอย่างไร ก็จะขอพูดให้มึงฟังพอเป็นเครื่องเข้าใจอย่างง่าย ๆ ว่า “การกระทำดีนั้น ต้องทำให้ถูกดี ถึงดี แล้วก็พอดี”
๑. คำว่า “#ถูกดี” นั้น เราต้องรู้จักพิจารณาว่า เวลาถูกดีนั้น ทำดีให้ถูกกาลเวลา ให้ถูกจังหวะ แล้วก็พอเหมาะพอควรแก่การทำให้ถูกต้องในการการกระทำดี อย่างบางครั้งดีไม่ถูกจังหวะ อย่างสมมุติเราอยากจะทำดี เราเห็นคนอื่นเขาเทปูนหรือช่วยเหลือการงานกันนี่ หรือเห็นคนอื่นเขาทำงานกันอยู่ เราอยู่ในที่ตรงนั้น แต่เราไม่ได้ไปช่วยเขา จนเขาทำกันเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว เราก็วิ่งไปว่าจะช่วยเขาทำงาน แล้วคนเขาจะมองเราเป็นคนแบบไหน?.. ตอนที่คนเขาอยู่เขาทำงานกัน เราก็อยู่..เรากลับไม่ช่วย แต่พอเขาทำการทำงานเสร็จแล้ว เราจะเข้าไปช่วย อย่างนี้เรียกว่า “เราทำไม่ถูกกาลเวลา” ถ้าเราจะถูกดี ทำให้ถูกตามกาลเวลา อย่างนี้ “ดีย่อมปรากฏ” แต่นั่นเอาความชั่วมาปรากฏ พอคนอื่นเขาติเตียนว่ากล่าวเรา ก็จะหาว่ากูก็อยากจะช่วย ทำไมมาว่ากูได้ แต่มาลืมนึกไปว่า เพราะมันทำไม่ถูกเวลา ถ้าทำถูกเวลาจะมีใครเขามาว่าเราได้ ขอให้เราลองพิจารณาดูตัวดูใจเราด้วย ว่ามันถูกดีรึเปล่า
๒. “#ถึงดี” คือการทำดียังไม่ถึงดี ก็เบื่อหน่ายเกียจคร้านเลิกทำดีเสียแล้ว โดยขาดความเพียร คือตัววิริยะที่ได้ตั้งใจอุตสาหะที่มันจะทำให้ถึงดี แต่บางคนนั้นความเพียรไม่ถึง ขันติไม่พอ เลยไม่ถึงดีกันสักทีหนึ่ง เพราะเกิดท้อดีเสียตั้งแต่มันยังไม่ถึงดี เหมือนสมมุติว่าเราตั้งใจจะไปกรุงเทพฯ แต่พอไปถึงสิงห์บุรี เราขี้เกียจขับรถขับราต่อ อย่างนี้เราจะถึงกรุงเทพฯมั้ย มันก็ไม่ถึง เพราะเราขาดความเพียร แล้วเราก็กลับ พอกลับแล้วเราก็มานั่งบ่นว่า กรุงเทพฯมันไกล ขี้เกียจไป อันนี้เราจะโทษใคร เราก็ต้องโทษจิตโทษใจตัวเราเอง เป็นเพราะว่าเราเกียจคร้าน เราไม่มีความอุตสาหะ เราไม่มีขันติ เราไม่มีความเพียร เราจึงไปไม่ถึงกรุงเทพกรุงทัน เพราะเราเบื่อหน่ายซะก่อนที่จะไปให้ถึง เปรียบเหมือนเราทำดีแต่มันยังทำไม่ถึง มันเลยยังไม่ถึงดีสักทีหนึ่ง ก็เกิดท้อเสียแล้ว
๓. “#พอดี” คำว่า พอดีนั้น บางคนว่าทำดีเกินพอดี ทำล้ำหน้าเพื่อนฝูง เอาเด่นเอาดังเพียงคนเดียว อย่างนี้จะดีได้อย่างไร?.. ถ้าจะพูดง่าย ๆ ก็คือ “คนประจบประแจง” ไม่รู้จักคำว่าพอดีนั้นวางอยู่ตรงไหน และควรตั้งเอาไว้ตรงไหน ถ้ารู้จักคำว่าพอดีว่าควรตั้งควรวางไว้ตรงไหน และควรทำอย่างไร จึงจะเรียกได้ว่าพอดี บางทีงามก็อย่าให้มันงามเกินหน้า ถ้ารู้จักคำว่า “งามพอดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ออกมาดี” เพราะเรารู้จักคำว่าพอดี
ก็อยากให้ลูกหลานทั้งหลายได้ใคร่ครวญว่า สิ่งที่คนพาลหรือคนโง่ทั้งหลายได้พูดกันว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปนั้น ลองมาไตร่ตรอง แล้วก็ลองมาพิจารณาดูกันเอาเองซิว่า “ตัวเองทำถูกดี ทำถึงดี ทำพอดีกันแล้วหรือยัง” จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดโทษผู้อื่น หรือไปคิดว่า ทำดีไม่มี ทำชั่วดีกว่า นั่นคือความคิดของคนอัปรีย์!
#ปู่สอนหลาน
#หลวงปู่ทองดี_อนีโฆ
#วัดใหม่ปลายห้วยจังหวัดพิจิตร
cr. หนังสือปู่สอนหลาน ปี ๒๕๕๙ โดยคุณอัมพร ตระกูลทิวากร
"สัจธรรม ก็คือทุกข์กับสมุทัย
นี่เป็นเครื่อง...ปิดบังมรรคผลนิพพาน
มรรค คือ...
ข้อปฏิบัติมีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นต้น
เป็นเครื่องกำจัดปัดเป่า หรือบุกเบิกสมุทัย
ที่เป็นสิ่งที่รกรุงรังนี้ ให้ออกไปได้โดยลำดับๆ ก็เปิดโล่งไปหมด ไม่มี...อะไรเหลือ
นิโรธ คือ...
ความดับสนิทไม่ต้องบอก นั่นเป็นผลของมรรคที่ทำงานขึ้นมา เป็นคู่เคียงกัน เช่นเดียวกับการรับประทาน กับความอิ่มนี้แหละ
การรับประทานกับความอิ่มก็อิ่มไปโดยลำดับๆ รับประทานโดยลำดับ อิ่ม...ไปโดยลำดับ
ทุกข์...
เกิดจากความหิว ก็ดับไปโดยลำดับๆ
เช่นเดียวกัน ไม่เห็นมีอะไรผิดกัน
ยังผลนั้นๆ...
ให้เกิดขึ้นโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง
ผลใดๆ ก็ตาม
ไม่เกิดขึ้นจากการคาดการหมาย ให้พากัน
จำไว้ให้ถึงใจ สิ่งใด ที่เราเคยเป็นมาแล้ว
เรา เป็นครูสอนเราแล้ว...
ได้นำมาสั่งสอนหมู่เพื่อน ไม่ให้ยึดอารมณ์
ของตัวเอง ผลของตัวเองที่เกิดขึ้น
เช่นวันนี้...พิจารณาแจ้งสว่างไปหมดภายในร่างกาย ไม่มี...สงสัย จิต มีความสงบแน่วแน่ละเอียดลอออย่างนี้ เป็นต้น
ทีนี้ ! วาระต่อไป
เราจะมาเอาอันนี้เป็นอารมณ์ ไม่ได้
เอาได้แต่ปฏิปทาเครื่องพิจารณา
นั่นคือเหตุเรา เป็นอย่างนี้...เพราะพิจารณาอย่างไร ให้จับต้นเหตุนั้นไว้
แต่อย่ามายึดผล ต้นเหตุนั้นๆ
ถ้าหากเป็นสัญญาอารมณ์ อยู่...มันก็ไม่เหมาะ ไม่ยึด
จึงว่าปัญญา เป็นของสำคัญมากนะ
คือมันเกิดขึ้นมาเอง แม้...จะเหมือนเก่าก็ตาม ถ้าเกิดขึ้นมาในหลักปัจจุบันล้วนๆ แล้ว...
มันก็เป็นของใหม่ขึ้นมา ถ้าเกิดขึ้นมาด้วยความคาดคิดว่า...เราเคยพิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว จะไปพิจารณาอย่างนั้นๆ
มันก็พ้นไปจากการคาด ผลอีกในขณะเดียวกัน ไม่ได้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น...ปัญญาให้เกิดขึ้นในปัจจุบันๆ
ที่พิจารณา จะเหมือนเก่าหรือไม่เหมือน
ก็ให้ถือหลักปัจจุบันเป็นเหตุ อย่างนั้น...
ไม่เป็นไร จึงค่อยคืบขึ้นไปเรื่อย ๆ "
หลวงตาบัว ญาณสัมปันโน
"การนั่งฝึกสมาธิ
ไม่ใช่เพื่อจะหนีจากความทุกข์
แต่เพื่อจะสะสมและเพื่อจะสร้างพลังจิต
ที่จะได้เผชิญหน้ากับความทุกข์
และปล่อยวางเหตุของความทุกข์"
.
--- คำสอน พระอาจารย์ชยสาโร
สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี นครราชสีมา
พวกเราอยู่ในบ้านในเรือนอยู่ที่ไหน ๆ ก็ตาม ถ้ามีห้องพระ เราก็เข้าไปกราบพระในห้องพระ เป็นวันพระหรือเป็นวันอาทิตย์ หรือว่าก่อนหลับก่อนนอนเราจะนั่งภาวนา แต่ละวัน บางทีจิตใจปั่นป่วนก็มี จิตใจสบาย ๆ ก็มี ก็เข้าห้องพระไปนั่งภาวนา จิตใจจะได้รับความสงบได้ง่าย ทำใจให้นิ่ง ดูสาเหตุแห่งการปั่นป่วนเพราะอะไร เราเข้าไปแล้วก็ไปกราบพระอยู่ในมุมสงบ อรหํ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน
แต่ถ้าบ้านไม่มีห้องพระ ก็กราบไปทางหมอนก็ได้ พระคุณของพระพุทธเจ้า อยู่ทุกอณูของอากาศ เรากราบพระพุทธเจ้า กราบที่เมืองไทย เรากราบไปพุทธคยาประเทศอินเดียเราก็ยังกราบถึงได้ เพราะใจเราถึง ใจเราถึงเสียอย่างเรากราบที่ไหนก็ถึงหมด
แล้วก็กราบ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ อรหํ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน นโม ตสฺส เราสวดได้ขนาดไหนก็ขนาดนั้นแหละ พอสวดจบเพียงแค่นี้ เราก็แผ่เมตตา อย่าลืมอย่าได้ขาดนะ นึกในใจทำใจให้นิ่ง และก็แผ่เมตตาในใจ ข้าพเจ้าจงเป็นสุขผู้อื่นจงเป็นสุข ข้าพเจ้าต้องการความสุขอย่างไรผู้อื่น สัตว์อื่น วิญญาณอื่น ดวงใจทุกดวงใจ ขอให้มีความสุขอย่างที่ข้าพเจ้าต้องการ อย่างที่ข้าพเจ้าปรารถนาทุกดวงใจด้วยเถิด นึกในใจคือแผ่เมตตาครอบจักรวาล
เมื่อเราแผ่เมตตาจบแล้วเราก็นั่งขาขวาทับขาซ้าย จากนั้นก็ประณมมือขึ้นระหว่างอก ไหว้ครูเสียก่อน คือไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พอประณมมือขึ้นแล้วก็พุทโธ นึกในใจ นึกถึงพระพุทธเจ้า เพราะการภาวนาไม่ใช่เราคิดได้คิดทำนะ ไม่ใช่หลวงพ่อเป็นผู้แนะแนวแนะนำ ไม่ใช่แนวความคิดของหลวงพ่ออินทร์นะ หลวงพ่ออินทร์ก็เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาแนะแนวแนะนำให้อย่างพุทธบริษัทของพวกเรา เพราะฉะนั้นเราเมื่อจะนั่งภาวนา เราต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า
พุทโธ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เอง เป็นผู้มีเมตตาต่อโลกวัฏสงสาร เราจะได้นำธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ จะทำจิตใจของเราให้สงบ ทำให้จิตใจของเรานิ่ง
ธมฺโม พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
สังโฆก็คือพระสงฆ์สาวก ที่ได้นำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าออกมาประกาศ มาเผยแผ่เอามาแนะนำให้พวกเราประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นี้ก็คือพระสงฆ์เป็นผู้แนะนำ
เราก็ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ ๓ จบ จากนั้นเอามือลง
พอเอามือลงกำหนดลมหายใจเข้าบริกรรม พุท หายใจออกบริกรรม โธ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ กำหนดดูลมหายใจเข้าหายใจออก ไม่ให้มันคิดไปทางอื่น ถ้ามันคิดไปทางอื่นก็บังคับให้มาอยู่กับพุทโธ ข้าพเจ้าจะนั่งเพียง ๒๐-๓๐ นาที วันหนึ่งเท่าไร ๒๔ ชั่วโมง เราจะนั่งภาวนาเพียง ๑๐ นาทีให้อยู่กับตัวเองไม่ได้หรือ หรือบังคับไม่ให้จิตใจปรุงฟุ้งไปทางอื่น อยู่กับพุทโธ
นี่แหละถ้าหากว่าเราทำได้อย่างนี้ทุกวันนะ หรือว่าอย่างน้อยก็ทุกอาทิตย์ ทุกวันพระ อย่างนี้เป็นต้นนะ ถ้าได้ทุกวันก็ยิ่งดี จิตใจเข้าสู่ความสงบนิ่ง พอจิตใจเข้าสู่ความสงบเป็นขณิกสมาธิ เป็นอุปจาร เป็นสมาธิ จิตใจนิ่ง จิตใจสบาย จิตใจมีความสุข
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “สังเวชนียกถา พิธีบำเพ็ญกุศลศพ หลวงปู่ไสว สุวโจ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๘
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มะโน ปุพพัง คะมา ธัมมา มะโน เสฏฐา มะโน มะยา" ธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อน สำเร็จแล้วด้วยใจ
เพราะฉะนั้น เมื่อเราไปแสวงหาทางที่จะแก้ไขชีวิต ทางที่จะแก้ไขตัวของเราให้ดีขึ้น เราไปหาทางอื่นไม่ได้ เราต้องหาทาง "การทำสมาธิ" เพราะว่า ต้องการที่จะให้ตัวของเรานี้อยู่ใน "ศีลธรรม"
คำว่า "ศีลธรรม" นั้นคือ "ศีล" ก็ได้แก่การไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมยของใครอื่น ไม่ประพฤติข่มขืนอนาจาร ไม่โกหกหลอกลวง ไม่กินเหล้าเมาสุรายาเสพติด อะไรต่างๆ
พวกคดโกงอะไรต่างๆ เหล่านี้ อยู่ในการที่ไม่ทำ คือว่ามันเป็นศีล ถ้าหากว่าทำลงไปแล้ว ก็เรียกว่าผิดศีล เมื่อผิดศีลไปแล้วนี่ เรื่องมันก็ยืดยาวก้าวไกลไป ทำให้เกิดความเศร้าหมอง
เพราะอะไร เพราะว่าไม่สามารถที่จะควบคุมจิตใจได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ศีลธรรมก็เกิดขึ้นไม่ได้ อันนี้เรียกว่า "ศีล" ที่อธิบายให้ฟังเมื่อตะกี้นี้ว่าคือ ศีล ๕
แล้วทีนี้ต่อไปก็คือ "ธรรม" ธรรมได้แก่ "เมตตาธรรม" เมตตาธรรมนั้นจะเกิดขึ้นมาได้ ก็ต้องอาศัย "สมาธิ" อีกเหมือนกัน เพราะว่า..
เมื่อทำสมาธิเข้าแล้วนี่ มันจะมี ๒ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
*สิ่งหนึ่งนั้นคือ..การรับผิดชอบสูง
*สิ่งหนึ่งนั้นคือ..การมีเหตุผล
ทั้งสองอย่างนี้ เป็นตัวแปรที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
..เพราะคนเราขาดการรับผิดชอบแล้ว
เรื่องก็ไปกันใหญ่
..คนเราพอขาดเหตุผลแล้วก็..
เรื่องก็ไปกันใหญ่
ต่างคนต่างเอาสีข้างเข้าสีกัน
ในที่สุดมันก็เกิดอันตราย เรียกว่า ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีเหตุผล แล้วความรับผิดชอบและการมีเหตุผลนี้ จะเกิดขึ้นมาได้จาก 'การทำสมาธิ'
เพราะว่า 'สมาธิ' เป็นตัวประกันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิต "พลังจิต"
**การผลิตพลังจิตขึ้นมานั้นเป็นหน้าที่ของสมาธิ**
ถ้าเราไม่ทำสมาธิ..การผลิตพลังจิตก็ไม่มี
ถ้าเราทำสมาธิเมื่อไหร่เราก็มีการผลิตพลังจิตเมื่อนั้น
พลังจิตนี้ต้องสะสมเป็นระยะเวลาอันยาวนานพอสมควร ถ้าหากว่าสะสมไม่พอก็เรียกว่า "ขาดพลังจิต" ถ้าสะสมพอก็เรียกว่า "มีพลังจิต" ถ้ามีพลังจิตแล้วเหตุการณ์ต่างๆ จะไม่เกิดขึ้นในทางที่เกิดความวุ่นวาย
เพราะว่า ความวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานั้น เกิดขึ้นจากการบังคับจิตใจของตนเองไม่ได้ ไม่รู้อ่ะจะเป็นเหตุผลยังไงฉันไม่รู้ด้วย การรับผิดชอบยังไงฉันไม่รู้ด้วย เพราะว่า การขาดพลังจิต
สมเด็จพระญาณวชิโรดม
(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพลังจิตตานุภาพ
ที่มา : หนังสือธรรมะรุ่งอรุณ ๒ ลำดับที่ ๐๑๑ เรื่องการสืบสานงานพระพุทธศาสนา พระธรรมเทศนาเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๑ หน้า ๔๒-๔๓
อดีตก็เป็นทำเมา อนาคตก็เป็นทำเมา
จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้อยู่ในปัจจุบัน
ละอยู่ในปัจจุบันนี้ จึงเป็นพุทโธ เป็นธัมโม
ปัจจุบันก็พอแล้ว ... อดีต และอนาคต
ไม่ต้องคำนึงถึง เกิด แก่ เจ็บ ตาย
วัน คืน เดือน ปี สิ้นไป หมดไป อายุเรา
ก็หมดไป สิ้นไป หมั่นบำเพ็ญจิต บำเพ็ญทาน
รักษาศีล ภาวนาต่อไป ...
โอวาทธรรม หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
#เริ่มแรกให้ดูลมที่มีอยู่ ไม่ต้องไปปรุงแต่ง
อะไรมากมาย
เวลาจิตอยู่กับลมแล้ว ไม่ต้องว่าพุทโธก็ได้
เหมือนเราเรียกควายของเรา พอควายมาแล้ว
จะเรียกชื่อมันอีกทำไม
ให้ลมกับจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เอาให้เป็นหนึ่งอย่าให้มีสอง
ให้เกาะลมไว้เหมือนอย่างมดแดงมันกัด
ถึงหัวมันขาด มันก็ไม่ยอมปล่อย
เมื่อรู้ลมแล้วก็ให้รู้จริงๆ ไม่สักแต่ว่ารู้เฉยๆ
การดูลมต้องเอาความสบายเป็นหลัก
ถ้าลมสบาย ใจสบาย นั่นแหละใช้ได้
ถ้าลมไม่สบาย ใจไม่สบาย อันนี้ต้องแก้ไข
เวลาภาวนาต้องใช้ความสังเกตเป็นข้อใหญ่
ถ้ารู้สึกไม่สบายให้ปรับปรุงแก้ไขลม ให้สบายขึ้น ถ้ารู้สึกหนักก็นึกแผ่ลมให้มันเบา
ให้นึกว่าลมเข้า - ออก ได้ทุกขุมขน
คนปฏิบัติพอปฏิบัติได้ ก็เปรียบเหมือน
ว่าวติดลมแล้วมันไม่อยากจะลง...
#ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก
"แม้ชักกายออกจากกาม...
แต่ใจยังเสพกามเหมือนไม้สดชุ่มด้วยยาง
ตั้งอยู่บนบก
การปฏิบัติ ให้เราเข้าใจของแยบคาย
ในพุทธศาสนาของเรา อย่างพวกเรานี้
เป็นพระ เป็นเณร
ถามไปอีกทีหนึ่งว่า...มันเณรจริงหรือเปล่า?
มันเป็นพระจริงหรือเปล่า?
ถามตัวเองเข้าไปอีก
ไปเห็นตัวจริงแล้ว แหม...มันจะไปเร่ร่อนอยู่
ในบ้าน มันไปคลุกคลีอยู่ในบ้าน
อย่างเรามาบวช ในพุทธศาสนานี้
ไม่ได้เสพกามแล้วเดี๋ยวนี้ ก็เลยดีใจ
ฉันไม่ได้ เสพกามแล้ว เลิกมาแล้ว
อันนี้ เป็นคำพูดของเราที่ติดปากกันมา
แต่เมื่อเรามองเข้าไปอีกทีว่า...
ใครเสพนี่ ตามันเห็นรูป ถ้ามันยังเกลียดเค๊า
มันก็ไปเสพเค๊าอีก ถ้ามันชอบเค๊า
มันก็ไปเสพเค๊าอีก ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต
ถ้าไปรู้เรื่องมัน...มันก็เสพทั้งหมด
เดี๋ยวนี้ ทั้งพระทั้งเณรนี่...
เสพกามอยู่นี้ ไม่ได้หนีจากกามหรอก
ตา เห็นรูปผู้หญิง มันชอบไม๊มันเสพแล้วนี่
จมูก ดมกลิ่น มันหอมชอบ มันเสพแล้วนี่...
เสพแล้ว ยังเสพกามอยู่ยังปล่อยวางอารมณ์ไม่ได้ เรียกว่ายังเสพกามอยู่...
ที่ว่าเราเป็นพระนั้น...สมมติขึ้นมาหรอก
แต่ก่อนเราก็เป็นโยมอยู่...
เมื่อวานเราเป็นโยม วันนี้ มาบวชเป็นพระ
ก็นึกว่าเราเป็นพระ เป็นเณรแล้ว...
มันเป็น แต่รูปร่างน่ะ ความเป็นจริงใจมันยัง
อยู่ตรงนั้น...ใจยังอยู่...เราต้องการตรงนั้น ระวังตรงนั้น มันจึงถูก
ตรงนั้น...ไม่ระงับ มันก็เป็นไปไม่ได้
มันโลภ มันโกรธ มันหลง มันเกิดมาจาก
ตัวนั้น คือ...จิตอันนั้น
ถ้าระงับจิตไม่ได้ ก็ไม่เป็นสมณะ
ตรงนี้พระศาสดา ท่านว่า...การปฏิบัติมันเป็นอย่างนั้น
ให้ดูภายในจิตของเจ้าของ ให้มันเห็น."
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
ความสงบก็ให้มีเพียงพอ
โดยมากครูบาอาจารย์ท่านฝึกครั้งแรก
มีแต่ฝึก #ให้เกิดความสงบเสียก่อน
ถ้า #จิตมันรวมลง ได้แล้ว
มันเป็นไปเองเลย
#ปัญญามันเกิดเองเลย
นั่น ถึงจะเป็นวิปัสสนา
#เราไปคิดเอง ค้นเอง
#มันเลยเป็นสัญญา
(ความจำได้หมายรู้) ไปหมดนั่นแหละ
ค้นก็ค้นไปกับสัญญานั่นแหละ
#ว่าได้ยินมาจากครูบาอาจารย์อย่างนั้น
ท่านเห็นอย่างนั้น
ที่จริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ
แต่ #จำเอามาจากสัญญา
แล้วก็พูดไปคิดไป
#ถ้าตัวจริงแท้ๆ
#ปัญญา มันเกิดขึ้นกับตัวเราเองนะ
#ถึงจะเห็นตัวจริง
นั่นล่ะธรรมของพระพุทธเจ้า
หลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรม
นำมาฝึกหัดแก่ลูกศิษย์ลูกหา
"เอ้า พากันเร่งความพากความเพียร"
หลวงปู่ลี กุสลธโร
เมื่อยังไม่พัฒนา เห็นความพอดีว่าเป็นทุกข์
แต่ผู้ได้พัฒนารู้ว่า ความพอดีเป็นมรรคา
แห่งความสุข เป็นอันว่า มนุษย์ในยุคที่ผ่านมา
มุ่งเสพมุ่งบริโภคให้มากที่สุด แต่พอมาถึงยุคนี้
มนุษย์จะต้องรู้จักประมาณ และก็ได้มีแนวโน้ม
มาสู่การรู้จักประมาณ คือรู้จักพอดีนั่นเอง
ดังที่เดี๋ยวนี้ชอบพูดกันถึงความสมดุล
หรือดุลยภาพในด้านต่างๆ ที่แท้นั้น เรามีหลัก
อย่างนี้อยู่แล้วในพระพุทธศาสนา
หลักธรรมสำคัญอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา
เรียกว่า มัตตัญญุตา แปลว่าความรู้จัก
ประมาณ เช่น โภชเนมัตตัญญุตา คือ
ความรู้จักประมาณในการบริโภค หรือการ
บริโภคเป็น คือบริโภคแต่พอดี เช่นรู้ว่า
กินอย่างไรจึงจะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ชีวิต
และกินไม่เกินขอบเขต ว่าที่จริง ความรู้จัก
ประมาณหรือรู้จักพอดีนี้ เป็นประโยชน์
มีผลดีต่อชีวิตของมนุษย์โดยตรงทีเดียว
โดยเฉพาะเป็นภาวะที่เกื้อกูลต่อสุขภาพ
เป็นอย่างยิ่ง ...
...
หนังสือ : รุ่งอรุณของการศึกษา
เบิกฟ้าแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืน
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
บางคนฟังธรรมมาตั้งแต่เด็กน้อยๆ
จนมาถึงแก่ ความเป็นจริงนั้นไม่ได้ฟังธรรม
ซักนิดเดียวก็ได้ เหมือนเราไปนั่งอยู่ใกล้ๆ
อาหาร มันจะเอร็ดอร่อยเท่าไรก็ตามเถอะ
เราไปนั่งติดๆ มันก็อยู่เท่านั้นแหละ
ความอิ่มมันก็ไม่ปรากฏขึ้นมา
รสมันก็ไม่ปรากฏขึ้นมา เพราะอะไร
เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติ คือไม่ได้ชิมดู
บริโภคดู ไม่ลิ้มเลียดู ฉันใดก็ฉันนั้น ...
...
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
อุปลมณี
พวกเราอยู่ในบ้านในเรือนอยู่ที่ไหน ๆ ก็ตาม ถ้ามีห้องพระ เราก็เข้าไปกราบพระในห้องพระ เป็นวันพระหรือเป็นวันอาทิตย์ หรือว่าก่อนหลับก่อนนอนเราจะนั่งภาวนา แต่ละวัน บางทีจิตใจปั่นป่วนก็มี จิตใจสบาย ๆ ก็มี ก็เข้าห้องพระไปนั่งภาวนา จิตใจจะได้รับความสงบได้ง่าย ทำใจให้นิ่ง ดูสาเหตุแห่งการปั่นป่วนเพราะอะไร เราเข้าไปแล้วก็ไปกราบพระอยู่ในมุมสงบ อรหํ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน
แต่ถ้าบ้านไม่มีห้องพระ ก็กราบไปทางหมอนก็ได้ พระคุณของพระพุทธเจ้า อยู่ทุกอณูของอากาศ เรากราบพระพุทธเจ้า กราบที่เมืองไทย เรากราบไปพุทธคยาประเทศอินเดียเราก็ยังกราบถึงได้ เพราะใจเราถึง ใจเราถึงเสียอย่างเรากราบที่ไหนก็ถึงหมด
แล้วก็กราบ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ อรหํ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน นโม ตสฺส เราสวดได้ขนาดไหนก็ขนาดนั้นแหละ พอสวดจบเพียงแค่นี้ เราก็แผ่เมตตา อย่าลืมอย่าได้ขาดนะ นึกในใจทำใจให้นิ่ง และก็แผ่เมตตาในใจ ข้าพเจ้าจงเป็นสุขผู้อื่นจงเป็นสุข ข้าพเจ้าต้องการความสุขอย่างไรผู้อื่น สัตว์อื่น วิญญาณอื่น ดวงใจทุกดวงใจ ขอให้มีความสุขอย่างที่ข้าพเจ้าต้องการ อย่างที่ข้าพเจ้าปรารถนาทุกดวงใจด้วยเถิด นึกในใจคือแผ่เมตตาครอบจักรวาล
เมื่อเราแผ่เมตตาจบแล้วเราก็นั่งขาขวาทับขาซ้าย จากนั้นก็ประณมมือขึ้นระหว่างอก ไหว้ครูเสียก่อน คือไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พอประณมมือขึ้นแล้วก็พุทโธ นึกในใจ นึกถึงพระพุทธเจ้า เพราะการภาวนาไม่ใช่เราคิดได้คิดทำนะ ไม่ใช่หลวงพ่อเป็นผู้แนะแนวแนะนำ ไม่ใช่แนวความคิดของหลวงพ่ออินทร์นะ หลวงพ่ออินทร์ก็เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาแนะแนวแนะนำให้อย่างพุทธบริษัทของพวกเรา เพราะฉะนั้นเราเมื่อจะนั่งภาวนา เราต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า
พุทโธ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เอง เป็นผู้มีเมตตาต่อโลกวัฏสงสาร เราจะได้นำธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ จะทำจิตใจของเราให้สงบ ทำให้จิตใจของเรานิ่ง
ธมฺโม พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
สังโฆก็คือพระสงฆ์สาวก ที่ได้นำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าออกมาประกาศ มาเผยแผ่เอามาแนะนำให้พวกเราประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นี้ก็คือพระสงฆ์เป็นผู้แนะนำ
เราก็ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ ๓ จบ จากนั้นเอามือลง
พอเอามือลงกำหนดลมหายใจเข้าบริกรรม พุท หายใจออกบริกรรม โธ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ กำหนดดูลมหายใจเข้าหายใจออก ไม่ให้มันคิดไปทางอื่น ถ้ามันคิดไปทางอื่นก็บังคับให้มาอยู่กับพุทโธ ข้าพเจ้าจะนั่งเพียง ๒๐-๓๐ นาที วันหนึ่งเท่าไร ๒๔ ชั่วโมง เราจะนั่งภาวนาเพียง ๑๐ นาทีให้อยู่กับตัวเองไม่ได้หรือ หรือบังคับไม่ให้จิตใจปรุงฟุ้งไปทางอื่น อยู่กับพุทโธ
นี่แหละถ้าหากว่าเราทำได้อย่างนี้ทุกวันนะ หรือว่าอย่างน้อยก็ทุกอาทิตย์ ทุกวันพระ อย่างนี้เป็นต้นนะ ถ้าได้ทุกวันก็ยิ่งดี จิตใจเข้าสู่ความสงบนิ่ง พอจิตใจเข้าสู่ความสงบเป็นขณิกสมาธิ เป็นอุปจาร เป็นสมาธิ จิตใจนิ่ง จิตใจสบาย จิตใจมีความสุข
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “สังเวชนียกถา พิธีบำเพ็ญกุศลศพ หลวงปู่ไสว สุวโจ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๘
พวกเราอยู่ในบ้านในเรือนอยู่ที่ไหน ๆ ก็ตาม ถ้ามีห้องพระ เราก็เข้าไปกราบพระในห้องพระ เป็นวันพระหรือเป็นวันอาทิตย์ หรือว่าก่อนหลับก่อนนอนเราจะนั่งภาวนา แต่ละวัน บางทีจิตใจปั่นป่วนก็มี จิตใจสบาย ๆ ก็มี ก็เข้าห้องพระไปนั่งภาวนา จิตใจจะได้รับความสงบได้ง่าย ทำใจให้นิ่ง ดูสาเหตุแห่งการปั่นป่วนเพราะอะไร เราเข้าไปแล้วก็ไปกราบพระอยู่ในมุมสงบ อรหํ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน
แต่ถ้าบ้านไม่มีห้องพระ ก็กราบไปทางหมอนก็ได้ พระคุณของพระพุทธเจ้า อยู่ทุกอณูของอากาศ เรากราบพระพุทธเจ้า กราบที่เมืองไทย เรากราบไปพุทธคยาประเทศอินเดียเราก็ยังกราบถึงได้ เพราะใจเราถึง ใจเราถึงเสียอย่างเรากราบที่ไหนก็ถึงหมด
แล้วก็กราบ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ อรหํ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน นโม ตสฺส เราสวดได้ขนาดไหนก็ขนาดนั้นแหละ พอสวดจบเพียงแค่นี้ เราก็แผ่เมตตา อย่าลืมอย่าได้ขาดนะ นึกในใจทำใจให้นิ่ง และก็แผ่เมตตาในใจ ข้าพเจ้าจงเป็นสุขผู้อื่นจงเป็นสุข ข้าพเจ้าต้องการความสุขอย่างไรผู้อื่น สัตว์อื่น วิญญาณอื่น ดวงใจทุกดวงใจ ขอให้มีความสุขอย่างที่ข้าพเจ้าต้องการ อย่างที่ข้าพเจ้าปรารถนาทุกดวงใจด้วยเถิด นึกในใจคือแผ่เมตตาครอบจักรวาล
เมื่อเราแผ่เมตตาจบแล้วเราก็นั่งขาขวาทับขาซ้าย จากนั้นก็ประณมมือขึ้นระหว่างอก ไหว้ครูเสียก่อน คือไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พอประณมมือขึ้นแล้วก็พุทโธ นึกในใจ นึกถึงพระพุทธเจ้า เพราะการภาวนาไม่ใช่เราคิดได้คิดทำนะ ไม่ใช่หลวงพ่อเป็นผู้แนะแนวแนะนำ ไม่ใช่แนวความคิดของหลวงพ่ออินทร์นะ หลวงพ่ออินทร์ก็เอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาแนะแนวแนะนำให้อย่างพุทธบริษัทของพวกเรา เพราะฉะนั้นเราเมื่อจะนั่งภาวนา เราต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า
พุทโธ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เอง เป็นผู้มีเมตตาต่อโลกวัฏสงสาร เราจะได้นำธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ จะทำจิตใจของเราให้สงบ ทำให้จิตใจของเรานิ่ง
ธมฺโม พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
สังโฆก็คือพระสงฆ์สาวก ที่ได้นำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าออกมาประกาศ มาเผยแผ่เอามาแนะนำให้พวกเราประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นี้ก็คือพระสงฆ์เป็นผู้แนะนำ
เราก็ พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ ๓ จบ จากนั้นเอามือลง
พอเอามือลงกำหนดลมหายใจเข้าบริกรรม พุท หายใจออกบริกรรม โธ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ กำหนดดูลมหายใจเข้าหายใจออก ไม่ให้มันคิดไปทางอื่น ถ้ามันคิดไปทางอื่นก็บังคับให้มาอยู่กับพุทโธ ข้าพเจ้าจะนั่งเพียง ๒๐-๓๐ นาที วันหนึ่งเท่าไร ๒๔ ชั่วโมง เราจะนั่งภาวนาเพียง ๑๐ นาทีให้อยู่กับตัวเองไม่ได้หรือ หรือบังคับไม่ให้จิตใจปรุงฟุ้งไปทางอื่น อยู่กับพุทโธ
นี่แหละถ้าหากว่าเราทำได้อย่างนี้ทุกวันนะ หรือว่าอย่างน้อยก็ทุกอาทิตย์ ทุกวันพระ อย่างนี้เป็นต้นนะ ถ้าได้ทุกวันก็ยิ่งดี จิตใจเข้าสู่ความสงบนิ่ง พอจิตใจเข้าสู่ความสงบเป็นขณิกสมาธิ เป็นอุปจาร เป็นสมาธิ จิตใจนิ่ง จิตใจสบาย จิตใจมีความสุข
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “สังเวชนียกถา พิธีบำเพ็ญกุศลศพ หลวงปู่ไสว สุวโจ”
แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๘
สร้างคน สร้างวัด
พระแต่ละรูปแต่ละองค์ อยากสร้างวัด ควรสร้างใจให้เป็นพระก่อน สร้างใจให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สร้างแต่ศาลาวิหาร โอ้อวดกัน สมัยนี้ญาติโยมไปวัด ต้องใส่แว่นดำเข้าวัดแล้ว เพราะหลังคามีแต่ทองคำ
จะสร้างวัดต้องสร้างใจให้เป็นพระก่อน จากนั้นเป็นเป็นผลพลอยได้ตามมาเอง เพราะเป็นของโลกิยะ เน้นภาคปฏิบัติให้มาก่อน รีบเร่ง มุ่งหามรรคผลนิพพาน ดูลมหายใจเข้าออก ใจเกิดความสงบ เป็นบุญกุศล เป็นมรรคเป็นผล มีความสุขกว่าเรื่องไหนๆ เน้นลมหายใจเข้าออก ดูซิกิเลสจะหลบไปทางไหน อะไรที่มีบ้างในใจขัดออก เอาออก หาความมีออกไปจากใจ
(โอวาทธรรมแก่พระสงฆ์)
หลวงปู่ทองอินทร์ กตปุญฺโญ
พระราชพัชรญาณมุนี
วัดประชาคมวนาราม(ป่ากุง)
ศรีสมเด็จ ร้อยเอ็ด
"หมดลงแล้ว เรียกว่าตาย...
มีเงิน มีทอง มีแก้วก็ตาย
ละเสียจากเงินทองเหล่านั้น
มีลูกสาวก็ตายจากลูกสาว
มีลูกชายก็ตายจากลูกชาย
มีผัวมีเมีย ก็ตายจากผัวจากเมีย
มีพ่อมีแม่ ก็ตายจากพ่อจากแม่
จะมีเงินหมื่นเงินแสน เงินล้านก็เป็นแค่ของกลางเท่านั้น
ที่มีอยู่ในโลก เราตายเสียแล้วก็ทิ้งหมด
ถ้าเมื่อเรายังไม่ตายจงมาพากันสร้างบุญสร้างกุศลให้พอเมื่อเราตายไปแล้ว บุญนั้นก็จะได้เป็นที่พึ่งของเรา
สำคัญต้องรู้จักก่อนว่า บุญ นั้นคืออะไร?
เราทำแต่เพียงทานเท่านั้นหรือ
เราทำแต่เพียงศีลพอแล้วหรือ
หรือว่าเราทำทั้ง ทาน ศีล และภาวนา"
โอวาทธรรม หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
Powered by phpBB © phpBB Group.
phpBB Mobile / SEO by Artodia.