“คำพูดคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมั่นคงถาวร การปฎิบัติธรรมะก็ดี การให้ทานก็ดี การรักษาศีลก็ดี มีจุดสำคัญอยู่ที่การจะมาทำลายโทสะ ทำลายโมหะ ทำลายโลภะ นี่เอง
ถ้าทำบุญให้ทานรักษาศีล ไม่มุ่งมาที่จุดนี้แล้ว ก็แสดงว่า คนๆ นั้นยังไม่รู้จริง แต่ถ้าคนใด แม้จะไม่เคยให้ทาน ไม่เคยรักษาศีล แต่การอยู่การกิน การนั่งการนอนของเขา มีจุดมุ่งหวังที่จะมาทำลายโทสะ ทำลายโมหะ ทำลายโลภะนี้ แสดงว่า คนผู้นั้นแหละ เข้าใจในคำสอน ของพระพุทธเจ้า"
หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
"ในหมู่คนดี ย่อมมีคนไม่ดีปะปนอยู่ด้วย เป็นของธรรมดา จึงไม่ควรใส่ใจ คนไหนดี เราก็สรรเสริญ คนไหนไม่ดี เราก็ออกห่าง ไม่ยกย่อง จงรักคนทุกคน ไว้ใจบางคน อย่าทำผิดต่อทุกคน และจงดูตนเสมอ"
หลวงปู่หลอด ปโมทิโต
"เลี้ยงแต่คนอื่น รักแต่คนอื่น ให้อาหารแต่คนอื่น อาหารของตัวเอง ได้มาแล้วก็ไม่รักษาไว้ นั่นแหละ"
ธรรมที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ได้แก่ สมาธิธรรม เกิดขึ้น มันเป็นอาหารเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นมรรค เป็นผล ที่จะข้ามล่วงพ้นทุกข์เสียได้ ก็เพราะจิตสงบ
จงรักษาไว้อย่าเพิ่งให้แต่คนอื่นมากไป ให้มากไปก็เสียหวัง เพราะคนอื่นนี้นั้น ท่องเที่ยวเกิดดับภพน้อยภพใหญ่ เป็นอื่นอย่างนั้น มีตั้งแต่เอาเปรียบเอารัด เอาแพ้เอาชนะ อยู่ภพน้อยภพใหญ่ ไม่มีวันจบสิ้นได้ นี่ข้อสำคัญ พูดมาอย่างนั้นคนอื่น ได้แก่ ร่างกาย นี่แหละ สังขารขันธ์ คนอื่นอื่นภายนอก ได้แก่ ญาติมิตรสายโลหิตเพื่อน ๆ บิดา มารดา ถนอมกล่อมเกลี้ยงดูปูเสื่อแล้วก็อื่นอย่างนั้น
อื่นภายใน ได้แก่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตัวของเรานี่แหละ มันอื่นเพราะมันแก่ อื่นเพราะมันเจ็บ อื่นเพราะมันตาย ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่มีวันจบสิ้นได้ จงให้รู้หน้ารู้ตาของคนอื่นเสีย
พระธรรมเทศนา: หลวงปู่จันทา ถาวโร
การนั่งฝึกสมาธิ ไม่ใช่เพื่อจะหนีจากความทุกข์ แต่เพื่อจะสะสมและเพื่อจะสร้างพลังจิต ที่จะได้เผชิญหน้ากับความทุกข์ และปล่อยวางเหตุของความทุกข์
พระอาจารย์ชยสาโร สถานพำนักสงฆ์บ้านไร่ทอสี นครราชสีมา
ในการภาวนา ในการประพฤติปฏิบัติ เราต้องตั้งต้นตั้งตัวตั้งใจในใจของตนเองอยู่เสมอ อย่างหลวงพ่อถึงจะมีภาระอะไรมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่หลวงพ่อก็นั่งภาวนากลางคืน พอมานั่ง เออ...หลวงพ่ออินทร์เอ้ย สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็ใช่ ประโยชน์ท่านเราก็ต้องทำ แต่ประโยชน์ตนในตัวของเรานี้ เราจะต้องรู้จักปล่อยรู้จักวางทุกสิ่งทุกอย่าง
ทำดีขนาดไหนก็ตามมันก็เป็นเรื่องของโลก เอาไปด้วยไม่ได้สักอย่าง มีแต่บุญกุศลที่เราทำนั่นแหละที่เอาไปด้วยได้ นอกจากนั้นก็ต้องทิ้งต้องวาง เราไปยึดมั่นถือมั่นมากก็ไม่ได้ จะไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งภายนอกไม่ได้ ขนาดร่างกายของตนเองก็ยังจะต้องทิ้ง เอาไปเผาไฟทิ้ง เพราะฉะนั้นสิ่งภายนอกทั้งหลายทั้งปวง เราจะไปถือมั่นยึดมั่นถือว่าตัวตนของเรา เป็นตุเป็นตะ มีอะไรเกิดขึ้นแสดงความโมโหโกรธา ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวร อย่างนั้นมันก็ไม่ถูกเหมือนกันนะใจนะ
นั่นแหละต้องสอนใจตนเอง เอาธรรมะนั่นแหละสอนใจตนเอง ถ้าเรามีธรรมะในจิตในใจ สอนใจตนเองแล้ว เราจะรู้ได้ เออ...โลกก็คือโลก ธรรมก็คือธรรม ถึงจะทำดีขนาดไหน อีกสักวันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งทั้งหมด เอาด้วยไม่ได้ เห็นไหม พ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์หลวงตามหาบัวก็เหมือนกัน หลวงหลวงปู่หล้าก็เหมือนกัน ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านมีกิตติศัพท์ชื่อเสียงขนาดไหน แต่บัดนี้ท่านไปที่ไหน ท่านก็ทิ้งปล่อยวางทั้งหมด เราเป็นใคร เราจะไม่ปล่อยวางไม่ทิ้งอย่างนั้นใช่ไหม
อันนี้แหละ เป็นเบรคในจิตใจ ไม่ให้เราลุ่มหลงมัวเมากับสิ่งภายนอกมากจนเกินไป
หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก จากพระธรรมเทศนา “โลกคือโลก ธรรมคือธรรม” แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๘
..ไม่ประมาทในชีวิต..
จงปรารภตัวเองว่า..ขึ้นชื่อว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
เราไม่สามารถจะห้ามหรือยับยั้งมันได้ ในเมื่อความตายเข้ามาถึง ถ้าบังเอิญความตายจะเข้ามาถึงจริงๆ ถ้าเรายังหวังความทุกข์อยู่ ก็จงอยากเกิดต่อไป
ถ้าไม่หวังความทุกข์ ก็จงอย่าคิดเกิด คิดตัดมนุษยโลก เทวโลกและพรหมโลก หวังนิพพานเป็นที่ไปเพียงที่เดียว
การหวังนิพพานเพื่อความแน่นอน ขอทุกคนจงตัดสังโยชน์ ๓ ประการเบื้องต้นคือ
๑.สักกายะทิฏฐิ ตัวนี้ถ้าเป็นสมถะภาวนา ท่านเรียกว่า "มรณานุสสติกรรมฐาน" คือ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ คิดว่าเราอาจจะต้องตาย
ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณ ก็มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตายเหมือนกันในเบื้องต้น พระโสดาบัน สกิทาคามี นึกถึงมรณานุสสติคล้ายคลึงกัน มีความรู้สึกคือ คิดว่าชีวิตหรือร่างกายนี้ต้องตาย
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี มีปัญญาเล็กน้อยและมีสมาธิเล็กน้อยแต่มีศีลบริสุทธิ์"
สมาธิของพระโสดาบัน กับ สกิทาคามี แค่ปฐมฌาน ทางด้านสักกายทิฏฐิ จะมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย เห็นว่าชีวิตจะตายจริงๆ ก็ยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ถ้าคิดว่า..ยึดพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระอริยสงฆ์ก็ดี ในเมื่อจิตเป็นกุศลเรา ตายแล้วไม่ไปนรกแน่พระท่านช่วย
หลังจากนั้นก็ทรงศีล ๕ให้บริสุทธิ์ จิต หวังตั้งถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทสามารถควบคุมอารมณ์ มันก็เผลอบ้างเป็นของ ธรรมดาว่าไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าชีวิตนี้จะต้องตาย
ยึดพระไตรสรณคมน์ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยายามทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ มันจะเผลอบ้างเป็นของธรรมดา แต่จิตหวังพระนิพพาน
ถ้าเป็นอย่างนี้นะ ถ้าทุกคนหวังนิพพาน ก็ได้แน่ เผอิญถ้าตายจากความเป็นคนยังไปนิพพานไม่ได้ ต้องเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หลังจากเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แล้วถ้าพระศรีอาริย์ตรัส ฟังเทศน์จบเดียวก็เป็นพระอรหันต์สมัยนั้นไปนิพพานได้
..ฉะนั้นขอบรรดาท่านทั้งหลายวันนี้ เป็นวันสุดท้ายของงวดนี้ และวันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท ใช้ปัญญาเล็กน้อยพอสมควรคิดตามความเป็นจริงว่า.. ▪️๑.ชีวิตนี้ต้องตาย
▪️๒.ความตายมี ๒ ประการ คือสุคติ กับ ทุคติ เราจะไม่ยอมไปสู่ทุคติแน่นอน หวังสุคติเป็นที่ไป การวางสุคติก็มีการยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
▪️๓.หลังจากนั้นพยายามรักษาศีลให้ทรงตัว ใหม่ ๆมันเผลอบ้างอะไรบ้างก็เป็น ของธรรมดา พยายามควบคุมกำลังใจเข้า ไว้
ตั้งใจเฉพาะพระนิพพานจุดเดียว
นี่ขอย้อนต้นนิดสำหรับญาติโยมพุทธบริษัทที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน วันนี้นะให้ใช้คำภาวนาว่า "พุทโธ" เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ"
ญาติโยมทั้งหลาย ถ้าเคยปฏิบัติมาจากสำนักอื่นใช้คำภาวนาก็ดี พิจารณาก็ดียัง ไหนคล่องได้โปรดอย่าเปลี่ยนใช้อย่างนั้นเป็นปกติ ถ้าขืนเปลี่ยน จะเป็นการขึ้นต้นใหม่จิตจะวุ่นวาย ต่อไปนี้ขอญาติโยมพุทบริษัททั้งหลายตั้งใจสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน.
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) จ.อุทัยธานี เพจคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน Moddam Thammawong พิมพ์ธรรมทานจากหนังสือธรรมปฏิบัติ ๒๙ หน้า ๖๒-๖๔
ทุกคำบ่นว่า คือ ความปรารถนาดี ใช้ความเมตตาปราณี คอยชี้หนทางเดินให้ ร้อยเหนื่อยพันหนัก กลั่นเป็นรัก และ ห่วงใย เพื่อทำหน้าที่ยิ่งใหญ่ เป็นคนผู้ให้วิชา
ทุ่มเทเพื่อศิษย์ จากจิตวิญญาณของครู แสงเทียนเพื่อการเรียนรู้ ยังสู้ยังส่องเรื่อยมา ให้ศิษย์ถึงฝั่ง ด้วยแรงหวังแรงศรัทธา เหนื่อยกายและใจ ทว่า เป็นสุขอยู่ทุกนาที
ความภูมิใจมิได้อยู่ในพานไหว้ครู แต่อยู่ในวันที่รู้ ว่าศิษย์นั้นไปได้ดี พ่อพิมพ์ แม่พิมพ์วันนี้ ยังพิมพ์คนดีสุดแรงหัวใจ
ทุกคนคือศิษย์ ตลอดชีวิตของครู ถ้อยคำชื่นชมเชิดชู ไม่ต้องให้ครูก็ได้ รู้ถูกรู้ผิด มีชีวิตที่สดใส สิ่งนั้นที่ครูฝันใฝ่ เพื่อเป็นแรงใจให้ครู
#กราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
#ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
เคยมีนักปราชญ์ทั้งหลาย ท่านได้กล่าวไว้ว่า “แม้ใบมีดโกนนั้น ถึงจะคมอย่างไร แต่ก็ตัดต้นไม้ใหญ่ไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ขวานถึงจะแข็งแรง แต่ก็โกนหนวดโกนเคราไม่ได้” เพราะฉะนั้นแล้วพวกเราทุกคนต่างมีความสำคัญ และมีหน้าที่ของตัวเราเอง ถ้าเรารู้ว่าหน้าที่ของเรานั้นคืออะไร เราจะมีความสุข เพราะว่าเราประพฤติ เราปฏิบัติตามหน้าที่
อย่างสมมุติ พวกเราทุกคนนั้นเป็นชาวพุทธ เมื่อพวกเราเป็นชาวพุทธ สิ่งที่เราต้องทำหรือพยายามทำให้เกิดขึ้นให้ได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องเจริญภาวนา เพราะอันนี้แหละ.. “เป็นคำสอนเบื้องต้น” ในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพวกเราเข้าใจคำสอนเบื้องต้นแล้ว เราเอาคำสอนเบื้องต้นนี้ มาประพฤติ มาปฏิบัติ ทาน .. เราก็รู้ คือการให้ ศีล .. คือการละเว้น และประพฤติกาย วาจา ใจ ให้เป็นปกติ ภาวนา .. ก็คือการที่เรานั้นจะทำใจของเราให้สงบ ที่เรียกว่า “สมถกรรมฐานเบื้องต้น” ถ้าเราทำอย่างนี้ เรียกว่า เราทำหน้าที่ของชาวพุทธ เพราะพระพุทธศาสนาของเรานั้น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า พระองค์ทรงตั้งศาสนานี้ไว้ ๕,๐๐๐ ปี นี่ก็กึ่งพุทธกาลมานานถึง ๖๗ ปีแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่พวกเรายังเหลืออยู่บนโลกใบนี้ “ขอให้พวกเรานั้นจงพยายามทำหน้าที่ และอยู่บนโลกใบนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เท่าที่เราจะทำได้”
เพราะฉะนั้นแล้ว ทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง เหมือนพ่อแม่ก็ต้องทำหน้าที่ดูแลลูก และลูกก็ต้องดูแลพ่อแม่ อันนี้เป็นหน้าที่ เมื่อเราทุกคนฟังคำสอนจากครูบาอาจารย์ ถ้าสิ่งไหนดี ฟังแล้วคิดว่าสิ่งนั้นดี เราก็เอาตรงนั้นแหละ เข้าไปประพฤติ เข้าไปปฏิบัติ “เราอย่าเอากิเลสมาสนองใจตัวเราเอง” ถ้าเราเอากิเลสมาสนองใจตัวเราเองแล้ว เราจะไม่รู้คุณโทษ ประโยชน์ของการทำดีหรือการทำชั่ว
เพราะฉะนั้นแล้ว ทุกคนย่อมมีกิเลสเหมือนกันหมด แต่ใคร..ที่จะอยู่เหนือกิเลสได้ ที่จะชนะอารมณ์ตัวของตัวเราเองได้ เพราะฉะนั้นแล้วก็อยากจะฝากให้พวกเราทุกคน เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ขอให้เราจงทำหน้าที่ชาวพุทธให้ดีที่สุด จนกว่าอายุเราจะหาไม่ เราจะเป็นผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ขอให้เราจงเข้าใจว่า ไม่มีใครเก่งไปหมดทุกเรื่อง และก็ไม่มีใครแย่ไปหมดทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเรามองคนในแง่ดี .. เราก็จะได้แต่สิ่งดี ๆ ถ้าเรามองคนในแง่แย่ .. เราก็จะได้สิ่งที่แย่ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ที่การมองของเรา พระราชวชิรคุณาธาร, ดร. (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ) วัดใหม่ปลายห้วย จ.พิจิตร
“ธรรม” ไม่เหมือน “กิเลส” กิเลสมันว่า “หยุดเสียดีกว่า” มันดีจริง ... แต่ดีเพื่อกิเลสไม่ใช่ดีเพื่อธรรม ส่วน “ธรรม” ต้องอุตส่าห์พยายามทำไป เรื่อยๆ จนมันดี และดีขึ้นๆ เรื่อยๆ เพราะทำไม่หยุด ... ... หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
|