ความดีก็ตาม ความชั่วก็ตาม ทุกอย่างมีกาล มีเวลาหมด จะให้ผลตอนไหนก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ที่เราทำ เราสร้างขึ้น พวกเราก็เหมือนกัน ยังไม่พอ ก็สร้างกันไปก่อน บำเพ็ญไปก่อน ฝึกฝนอบรมจิตใจตนเอง สร้างคุณงามความดี ให้เกิด ให้มีขึ้นแก่ตน ไม่ได้ทำเพื่อใคร ทำเพื่อตนเอง...
#หลวงพ่อสมบูรณ์ กนฺตสีโล วัดป่าสมบูรณ์ธรรม จ.พิษณุโลก
#เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้จักว่ามันทุกข์..!!
"... ทุกข์นี่มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร มันจะเห็นอะไรไหม ถ้าเราเห็นตามธรรมดา มันก็ไม่ทุกข์ เช่นว่าเราอยู่อย่างนี้ เราก็สบาย อีกวาระหนึ่งเราอยากได้กระโถนใบนี้ เรายกมันขึ้นมา ต่างแล้ว ต่างกว่าแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ยกกระโถน ถ้าไปยกกระโถนขึ้นมา มีความรู้สึกว่ามันหนักเพิ่มขึ้นมา
... มันมีเหตุ หนักมันจะเกิดเพราะอะไร.. ถ้าไม่ใช่เพราะเราไปยกมัน ถ้าเราไม่ยกมัน มัน ก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ยกมันก็เบา อะไรเป็นเหตุผล ดูเท่านี้ก็รู้แล้ว ไม่ต้องไปเรียนที่ไหน ถ้าเราไปยึดอะไร อันนั้นแหละเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด ถ้าเรา ปล่อย มันก็ไม่ทุกข์ ..." _________________________________________
#สุภทฺโทวาท_____ #พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี (พ.ศ. ๒๔๖๑ – ๒๕๓๕)
...พระพุทธเจ้าท่านให้มาภาวนา ภาวนาคืออะไร คือ..#มาทําจิตใจให้สงบเสียก่อน ปกติใจมันมีอะไรหุ้มห่ออยู่ เป็นใจที่ยังเชื่อไม่ได้ ถ้ามาทําให้สงบแล้ว มันจะเกิด ความรู้สึกขึ้นมา ใจมันสบาย สงบ มันจะแสดงอะไรออกมา เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นสัญญา เห็นสังขาร เห็นวิญญาณ มันจะค่อยพิจารณาไป เกิดความรู้ว่า อันนี้มันพาดีพาไม่ดี พาผิดพาถูก ท่านให้พิจารณาอันนี้ก่อน เรียกว่า #สมถภาวนา เมื่อใจเรา สบาย มันสว่าง มันขาว มันสงบ ความนึกคิดที่จิตใจก็สบายขึ้น มันต่างจากความนึกคิดของคนที่ไม่สบายใจ มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ในใจ คือคนนึกคิด ไม่ดี ใจไม่สบาย คิดไปทั่ว คิดจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน คิดไปสารพัด คิดแต่เรื่อง ไม่สบายนั่นแหละ ถ้าใจสบายล่ะ คิดไปไหนก็มีแต่เรื่องสบาย เรื่องสงบ เรื่องระงับ มีแต่เรื่องเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าจิตใจมันเป็นแล้ว ก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้นท่านจึงให้ พิจารณาเรียกว่า #ภาวนา
...อย่างพวกเราทั้งหลายที่พากันทําวันนี้ บางคนอาจไม่เคยทําเลย เคยแต่ไปเรียนเอาคาถากับคนนั้นคนนี้ ได้คาถาแล้วก็ไปภาวนาให้พ่อให้แม่ ให้คนโน้นคนนี้ สัตว์โน้นสัตว์นี้ ให้ตนเองไม่มี ตนไม่มีความดีแต่จะให้ความดีแก่คนอื่น..#จะเอาความดีที่ไหนไปให้เขา อย่างเราจะภาวนาให้พ่อแม่หรือใครก็ตาม ทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือล่วงลับไปแล้ว เบื้องแรกเราต้องภาวนาให้ตัวเองก่อน #เพื่อชําระความชั่วออกจากจิตใจ..#ให้ความดีปรากฏขึ้นในตัวเรา..#ต่อจากนั้นจึงแผ่ความดีที่ตนมีตนได้ให้แก่คนอื่น อย่างนี้จึงจะสําเร็จประโยชน์ได้ ไม่ใช่ว่าให้ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มี นี่คือความเข้าใจผิด ภาวนา แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
...การภาวนา คือ #ทําให้เกิดขึ้นมีขึ้น..#ที่ไม่รู้ทําให้มันรู้..#ที่ไม่ดีทําให้มันดี..#ใจเป็นบาปเป็นกรรมทําให้เป็นบุญเป็นกุศล การสร้างบุญไม่ใช่ทําโดยการให้ทานอย่างเดียว การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา การฟังธรรมเหล่านี้เป็นบุญทั้งหมด เป็นเหตุที่จะให้บุญเกิด บางคนจะทําบุญแต่ละที ก็คอยแต่จะให้มีเงินมากๆ เสียก่อน เลยไม่ได้ทําสักที เห็นคนอื่นทําก็ออนซอนกับท่าน คิดว่าเพิ่นบุญหลายหนอ คนไม่รู้จักบุญ บุญไม่ใช่อย่างนั้น #การละความชั่วละความผิด มันก็เป็นบุญแล้ว #การรักษาศีล #การเจริญภาวนา #การฟังพระธรรมเทศนาทําให้เกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมา เหล่านี้ ก็ทําให้เกิดบุญขึ้นได้
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
#ความตาย ๓ อย่าง #ความตายนี้แบ่งออกเป็น ๓ อย่างด้วยกัน ๑. สมุจเฉทมรณะ #ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของพระอรหันต์ ท่านเสร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด คือ กิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้ว ท่านไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่าตายขาดตอน ไม่กลับมาเกิดอีก ๒. ขณิกมรณะ แปลว่า #ตายเล็กๆ น้อยๆ ท่านหมายเอาความตายคือความดับหรือการเคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่งๆ ในเวลาล่วงไป ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอด คือตายดับทุกขณะ #การผ่านไปของชีวิตท่านถือเป็นความตาย คือ ตายทุกลมหายใจออก และเกิดทุกๆลมหายใจเข้า อาหารเก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราว เมื่อสิ้นอำนาจของอาหารเก่า ร่างกาย้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทน แต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทนชีวิตก็จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ #เมื่อสิ้นสภาพของอาหารเก่าท่านถือว่าร่างกายต้องตายไปแล้วยุคหนึ่งพอได้อาหารใหม่มาทดแทนชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระหนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหารเก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลมหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าสภาพของร่างกายก็จะสิ้นลมปราณ คือ ตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุนทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามีความตายเป็นปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ทีละเล็กละน้อย หรือตายเล็กๆ น้อยๆ ๓. กาลมรณะ หรือ อกาลมรณะ กาลมรณะแปลว่า #ตายตามกาลตามสมัยที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุอย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้ อกาลมรณะแปลว่า #ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย ============= #คำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ทางสายเอก หน้า 26-27
|