"..ถ้าเผลอไปฆ่าตัวตาย เข้าแล้วในชาตินี้ ต่อไปนับชาติไม่ได้นะ ที่จะต้องวกวน กลับไปฆ่าตัวตายอีก ฆ่าตัวตายนี่ถ้าท่านเริ่มขึ้น ชาติหนึ่งแล้ว ก็จะต้องต่ออีก ๕๐๐ ชาติแล้ว ก็ไปเที่ยวเอาภพเอาชาติผูกเวรผูกกรรมกัน ฆ่าตัวตายอยู่อย่างนั้น อย่าไปทำอีกนะท่าน ไม่ถูก.."
โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
"..วิปัสสนานี้มีผลอานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล พรหมวิหารภาวนา ย่อมทำให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลงเมื่อทำกาลกิริยา มีสุคติภพคือมนุษย์และโลกสวรรค์เป็นไปในเบื้องหน้าหากยังไม่บรรลุผล ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมีก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั่นเทียว"
"อนึ่ง ยากนักที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์ คือ ศีล ๕ และกุศลกรรมบถ ๑๐ จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตที่เป็นมานี้ก็ได้โดยยากยิ่งนัก เพราะอันตรายของชีวิตทั้งภายในภายนอกมีมากต่างๆ การที่ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ก็ได้โดยยากยิ่งนัก เพราะกาลที่เปล่าว่างอยู่...ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบบางสมัยจึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ง
เหตุนั้น เราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด ... อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้เลย.."
โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
"..พุทโธ นั้นมิใช่คาถา หากแต่ว่าพุทโธนั้นคือ.... คำภาวนาเพื่อให้จิตไม่แส่ส่าย ไม่วอกแวก
ให้จิต....และอารมณ์มารวมอยู่ด้วยกัน เมื่ออารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน....อารมณ์จับอยู่ในจิต จิตอยู่ที่ไหนอารมณ์ก็อยู่ที่นั่น....
เอาจิตไว้กับลมหายใจ อารมณ์อยู่กับลม อารมณ์.... ก็ว่างเปล่า อารมณ์ว่าง จิตก็นิ่ง นานเข้าจิตก็สงบ....
เมื่อจิตสงบ จิตก็ใสสว่าง กายก็เบา ใจก็เบา จิตใสสงบ...สติก็รู้อยู่กับตัว เมื่อมีสติอยู่เสมอ ก็จะคิดจะทำแต่ในสิ่งดี.."
โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
"..ให้พากันทำอะไรมีความสัตย์ความจริงต่อตนเอง อย่าทำอะไรแบบเหลาะแหละๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ตั้งแต่เกิดมาก็เหลาะแหละมาแล้ว เหลาะแหละจนกระทั่งถึงวันตาย ไม่มีสารประโยชน์อะไรแก่พวกเราเลย นี่ให้นำไปคิดไปอ่านบ้างนะ การภาวนาเป็นของเลิศของเลอ พระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นในโลกเพราะการภาวนา พระธรรมที่ปรากฏขึ้นในพระทัยของพระพุทธเจ้าเพราะการภาวนา พระสงฆ์สาวกที่เกิดขึ้นในใจของพระสงฆ์ทั้งหลายที่ท่านอุตส่าห์พยายามนั้นก็เพราะภาวนาทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะความขี้เกียจขี้คร้าน ความท้อแท้อ่อนแอ ทำอะไรเหลวแหลกแหวกแนว ไม่มีความสัตย์ความจริงบังคับตนอย่างนี้ใช้ไม่ได้นะพวกเรา.."
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด พระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี (พ.ศ.๒๔๕๖–๒๕๕๔)
...การพิจารณาเรื่องอาหาร ที่เราเองเป็นผู้พึ่งอาศัยมันอยู่นี่ ก็เพื่อให้รู้จักว่ามันเป็นอย่างนั้น มันไม่มากไปกว่านั้น #ทีนี้เมื่อเรารู้เห็นตามความเป็นจริงไปเช่นนั้น..#มันก็เป็นสัจธรรม เมื่อมันเป็นสัจธรรมมันก็ไม่แปรเปลี่ยน ถึงแม้มันแปรเปลี่ยน มันก็เป็นสัจธรรมอย่างนี้ เช่นว่า อนิจจัง มันไม่เที่ยง มันแปร มันไม่เที่ยงมันก็เป็นสัจธรรมอยู่นั่นแหละ เรื่องที่มันแปรเปลี่ยนไปนั้น เป็นต้น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นสัจธรรมเหมือนกัน #มันคงที่ของมันอยู่อย่างนั้น
...แต่ว่าข้อปฏิบัติทั้งหลายเหล่านี้ #เราจึงเสียสละทิฏฐิ คือ #ความเห็นของเรากับความยึดมั่นถือมั่นของเรา ให้เรามาเห็นว่าอันนี้มันเป็น #อนิจจัง..#ทุกขัง..#อนัตตา ความยึดมั่นถือมั่นที่มันยึดสม่ำเสมอเรื่อยๆ มา ถ้าเราเห็นว่าของอันนี้มันไม่มีราคา..#มันไม่ใช่ของจริง..#มันเป็นเรื่องของสมมุติเมื่อไร #มันก็วาง
#พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
บุคคลผู้ให้ทานบ่อยๆ ย่อมมีฤทธิ์บันดาลในที่ทุกสถาน แม้เทวดาที่เรามองไม่เห็นก็มีความเคารพรัก ไปสู่สถานที่ใดไม่มีความอดอยากขาดแคลน ด้วยอานิสงส์แห่งการให้ทานนั่นเอง
โอวาทธรรม #หลวงปู่ลี ตาณังกโร
"..มนุษย์เวียนเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดติดของเก่า กามาวจรสวรรค์ ๑ สัตว์เดรัจฉาน ๑ มนุษย์ ๑ ท่านพวกนี้ติดของเก่า ... มีกิน ๑ มีนอน๑ สืบพันธ์ ๑ แม้ปู่ย่าตายายของเราล้วนแต่ติดของเก่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เมื่อท่านยังไม่ตรัสรู้ ก็ติดของเก่า เพลิดเพลินของเก่า ... ในรูป เสียง กลิ่น รสของเก่า ... ทั้งนี้ไม่มีฝั่งไม่มีแดน ไม่มีต้น ไม่มีสายย่อมปรากฏอยู่เช่นนั้น.."
ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร (พ.ศ.๒๔๑๓–๒๔๙๒)
...เมื่อเราตั้งใจปฏิบัตินั้น สิ่งที่เราทําอยู่ทุกวันนี้ให้มันมี #สติ ให้มันมี #สัมปชัญญะ ให้มันมี #ปัญญา ให้มัน #รู้รอบอยู่เสมอ สํารวมระวังให้มันเกิดขึ้นมา เช่นว่าการบริโภคอาหาร #อาหารทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของสะอาดอยู่..ไม่ใช่มันเป็นของสกปรกมาตั้งแต่เดิมของมัน การห่มผ้า ผ้าจีวรผืนนี้เราใช้ไป ต่อไปมันสกปรก ไม่ใช่ว่ามันสกปรกมาแต่เดิมของมัน อะไรทั้งหมดที่เราใช้กันอยู่นี้แหละ มันสกปรก มันคร่ำมันคร่า อันนี้มันเป็นขึ้นมาใหม่ เพราะเอามันมาใช้ อย่างจีวร จีวรที่มันสดใสนี่ มันไม่สกปรกหรอก #แต่เมื่อมันมาถูกกายของเรา..มันจึงสกปรก นี่มันก็แก้ทิฐิความเห็นของเราสิ
...#ถ้าหากว่ากายเรามันสวยมันงามนี้ ผ้าที่สะอาดอยู่มาถูกเข้า #ทําไมมันถึงสกปรก มันส่อให้เห็นอย่างนั้น สิ่งทั้งหลายมันก็ตามไปเรื่อยๆ เช่น อาหารการขบฉัน อย่างที่ เราสวดกันอยู่ทุกวันนี้ สวดชัดทั้งนั้นแหละ อาหารนี้มันไม่ใช่เป็นของสกปรกมาแต่เดิมมันนะ เมื่อมาถูกเข้าในกายอันไม่สวย มันเลยสกปรกไปเสีย พูดง่ายๆ คือ #มูตรหรือคูถ เรานี่เอง
..มูตร คูถ มันเป็นของไม่สะอาดทั้งนั้นแหละ อย่างน้ำที่เราฉันเราดื่มไปนี่ น้ำในขวดนี่ มันเป็นของที่สะอาด เมื่อเราดื่มเข้าไปแล้วน่ะ ออกมามันเป็น #ปัสสาวะเหม็น ความเหม็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่ามันเหม็นมาแต่เดิมมันนะ มันเข้าไปในท้องเราแล้ว ออกมามันถึงเหม็น แสดงว่าน้ำนี้มันมาสกปรกเมื่อมันมาถูกร่างกายของเรานี่เอง ไม่ใช่ว่ามันสกปรกมาแต่ก่อน
...#อาหารการขบฉันเรานี้ก็เหมือนกัน มันเป็นของเอร็ดอร่อย มันเป็นของที่สะอาดมาอย่างนี้ แต่ว่าเมื่อเข้ามาถูกในร่างกายของเราแล้วนะ เอาออกมาแล้วทีนี้ ปิดจมูกเสียแล้ว มองดูก็ไม่ได้ อะไรมันก็ไม่ได้ เพราะอะไร อาหารนี้มันสกปรก เมื่ออยู่ในกายเรานี้เท่านั้น แต่ก่อนมันไม่สกปรก มันมาสกปรกที่มาถูกกายเราเข้า เท่านี้มันก็เกิดเป็นของสกปรก อันนี้มันคือความจริง คือมันซัดเข้าไปอีกทีหนึ่ง
...นี่ถ้าเราคิดดูสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ #เสนาสนะที่เราอยู่นี้ ให้มันคุ้มฟ้าคุ้มฝน ไม่เอาอะไรให้มันเกินไปกว่านั้นมากมาย ถ้าเราได้อยู่ สิ่งที่มันดีก็ดี ที่เขาสมมุติว่ามันดี มันร้าย ก็เอาคุ้มฟ้าคุ้มฝนนั่นแหละ เป็นประมาณของมัน อยู่ก็ให้สบาย ให้สงบ ไม่ให้ติด
..ยาก็เหมือนกัน #ยาบําบัดโรค อันนี้มันก็เป็นปัจจัยที่พวกเราทั้งหลายจะอาศัยกันในยามเจ็บไข้ได้ป่วย เพื่อไม่ให้โรคเบียดเบียน #เพื่อจะได้มีโอกาสทําความเพียรเต็มที่ ไม่ให้มันมากกว่านั้น ปัจจัยที่พวกเราทั้งหลายจะอาศัย คือ #จีวร..บิณฑบาต..เสนาสนะ..เภสัช นี่ท่านได้พูดเท่านี้ ที่เราปฏิบัติกันนี่น่ะ ให้มันอยู่เถอะ เรื่องจีวร ก็ให้รู้จักรักษาผ้า รู้จักสบง รู้จักจีวร รู้จักประมาณ อย่าให้มันมากเกินไป อย่าให้มันน้อยเกินไป ให้มันรู้จัก คือ #ท่านไม่ให้ติดนั่นแหละ ไม่ให้ติดในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
...เรื่องของสมณะนี้ ไม่ใช่เรื่องมาก เรื่องจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัช ท่านจึงให้ดูอยู่นี้ เพื่อให้เห็นของทั้งหลายเหล่านี้ชัดเข้าไป แล้วก็น้อมเข้ามาเป็น #โอปนยิกธรรม..น้อมเข้ามาในตัวของเรา มีอะไรไหม ดูทีละชิ้น จะเห็นของไม่ค่อยสวย เห็นของไม่งดงาม เห็นของเหม็นสาบเหม็นคาว ทุกอย่างอย่างนี้
..เราพยายามคิดไปอย่างนี้ เราพยายามน้อมไปอย่างนี้ เมื่อเราพิจารณาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ติดต่อกัน ของทั้งหลายเหล่านี้ก็หมดราคา ไม่สวย ไม่งาม ไม่กําหนัด ไม่รักใคร่ หยิบขึ้นมาก็เรียกว่า #มันรู้..มันเห็น..สักแต่ว่า เท่านั้นแหละ #ตัณหามันก็ไม่เกิด..อุปาทานมันก็ไม่เกิด มีความเห็นว่ามันเป็นอย่างนี้เอง #จุดรวมคือท่านให้รู้เท่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อเราจะวางได้ ปล่อยได้ #รู้แล้วมันวางได้ เช่นว่าเราไม่รู้จัก เรากํางูอยู่อย่างนี้ เราสําคัญว่างูเป็นสัตว์อื่น เป็นสัตว์ที่เราเอาไปทําอาหารได้ และก็สําคัญว่ามันไม่มีพิษอะไร มันก็ไม่กลัว เพราะไม่รู้จักมัน เพราะไม่เห็นมัน
..ถ้าเรามารู้มาเห็นตามความเป็นจริงของมัน เราจะเกิดกลัวขึ้นมาเดี๋ยวนั้น #สกนธ์ร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกัน..หรือความยึดมั่นถือมั่นนี่ก็เหมือนกัน #ถ้าเราไม่เห็นโทษก็ยึดอยู่นั่นแหละ..มันปล่อยไม่ได้..มันวางไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องอย่างนี้
#พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
. #คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่ง..!!
"... บางคนก็ไม่รู้เรื่องกิเลส ทั้ง ๆ ที่ชีวิตนี้.. เกิดมาเพื่อละกิเลส แต่บางคนไม่ละ ปล่อย ไปตามเรื่อง
... ในที่สุดจึงกลายเป็นคนไม่มีที่พึ่งไม่รู้จักตนเอง ที่พึ่งอื่นก็ไม่มี ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ เพราะมีแต่กิเลสเข้าครอบงำ
... จึงกลายเป็นคนไม่มีที่พึ่งจนตลอดชีวิต บางคนคิดจะพึ่งพระเจ้าบนฟ้า ได้แต่รอให้พระเจ้ามาช่วย
... ความจริงตัวเองก็ช่วยตัวเองได้ แต่ไม่รู้จักช่วย ไปรอให้ผู้อื่นมาช่วยจึงต้องตายเปล่า ..." --------------------------------- #จากหนังสือ_อุปลมณี #พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี (พ.ศ. ๒๔๖๑-๒๕๓๕)
"ความอดทนมีรสขม แต่ผลนั้นหวานยิ่งนัก"
หลวงปู่ชา สุภัทโท
ปัจจุบัน คำว่า "ปฏิบัติธรรม" กำลังจะมีความหมายเพี้ยนไป
"ในปัจจุบัน คำบางคำก็กำลังจะมีความหมายเพี้ยนไป ยกตัวอย่างคำที่กำลังพูดถึงกันบ่อยๆ ก็คือคำว่า "ปฏิบัติธรรม" เดี๋ยวนี้เราเข้าใจคำว่า "ปฏิบัติธรรม" อย่างไร?
คนจำนวนมากทีเดียวจะเข้าใจคำว่า"ปฏิบัติธรรม"หรือพูดถึงคำว่าปฏิบัติธรรม ในความหมายว่า..เป็นการปลีกตัวเข้าวัด หรือต้องไปในป่า และไปอยู่เงียบๆสักระยะหนึ่ง ไปนั่งสมาธิ ไปทำกรรมฐาน ไปบำเพ็ญเพียรทางจิตใจเป็นพิเศษ ไปอยู่ในที่วิเวกห่างไกลจากผู้คน ออกจากสังคมไป จึงเรียกกันว่า"ปฏิบัติธรรม"
ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เข้าใจกันอย่างนั้นมากแล้ว ก็แสดงว่า..เดี๋ยวนี้คำว่า "ปฏิบัติธรรม" ก็เป็นคำหนึ่งที่กำลังมีความหมายเพี้ยนไป และเป็นเครื่องแสดงด้วยว่า วัฒนธรรมของไทยในปัจจุบันมีอะไรๆ ที่กำลังผันแปรไปอีก
คำว่า "ปฏิบัติธรรม" นี้คืออะไร "ปฏิบัติธรรม" ก็คือ การนำเอาธรรมมาใช้มาปฏิบัติ เรามาทำงาน ถ้าทำงานด้วยใจรักงาน ก็เรียกว่ามี ‘ฉันทะ’ ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร ก็เรียกว่ามี ‘วิริยะ’ ทำงานด้วยความเอาใจใส่ รับผิดชอบ ก็เรียกว่ามี ‘จิตตะ’ ทำงานด้วยการใช้ปัญญาไตร่ตรอง ใคร่ครวญ หาทางแก้ไขตรวจสอบ ทำให้งานดียิ่งขึ้น พิจารณาข้อยิ่งข้อหย่อนในการงานนั้น มีการตรวจตราวัดผลต่างๆ ก็เรียกว่ามี ‘วิมังสา’ ถ้าทำครบ ๔ อย่างนี้ ก็เรียกว่า ทำงานด้วย "อิทธิบาท ๔"
"อิทธิบาท ๔" ก็เป็นหลักธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง เมื่อทำงานด้วยอิทธิบาท ๔ ก็คือ การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
หลายท่านในที่นี้ก็มีรถยนต์ เมื่อขับรถไปในท้องถนนนั้น ถ้าเราขับด้วยความมีสติ ระมัดระวัง มีความไม่ประมาท รักษากฎจราจร อยู่ในระเบียบข้อบังคับและขับด้วยความสุภาพ อย่างนี้ก็เรียกว่า"ปฏิบัติธรรม" แน่นอนไม่มีพลาดเลย
แม้แต่จะกินอาหาร ถ้ากินอย่างรู้จักประมาณ มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิต ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่ลุ่มหลงมัวเมา ไม่ตะกละมูมมาม ก็เป็นการปฏิบัติธรรม
แต่คนปัจจุบันไม่ค่อยมองถึงการปฏิบัติธรรม ในความหมายอย่างนี้ แม้แต่เพียงเรานั่งอยู่เฉยๆ เราตั้งจิตคิดนึกจะทำความดี ตั้งใจจะทำความดีต่อผู้อื่น ปรารถนาดีหวังดีต่อเขา เพียงเท่านี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันนี้เราเอาคำว่าปฏิบัติธรรมไปใช้ในความหมายที่แคบลงๆ จนกระทั่งมีความหมายเฉพาะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าพิจารณาและระมัดระวังกัน"
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากธรรมนิพนธ์ "ธรรมกับการศึกษาของไทย" หัวข้อเรื่อง "ความหลงตัวเอง: ความยึดติตในวัฒนธรรมของตน" (ท.ส. ปัญญา วุฑโฒ)
|