"มันก็แสนจะทุกข์นั่นละการปฏิบัติ แต่ว่าทุกข์นั่น ถ้ามันไม่รู้จักว่ามีทุกข์ มันก็ไม่รู้จักทุกข์หรอก ถ้าเราจะพิจารณาทุกข์ เราจะฆ่าทุกข์นี่ มันก็ต้องพบกันก่อนซิ จะไปยิงนก ถ้าไม่เจอนกแล้วจะได้ยิงหรือ ทุกข์ ทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า... ทุกข์ ชาติทุกข์ ชะราปิทุกข์ เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่อยากให้มันทุกข์ มันก็ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นทุกข์มันก็ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์มัน...ก็เอาทุกข์ออกไม่ได้ อย่างนี้ . แล้วคนเราไม่อยากเห็นทุกข์ ไม่อยากได้ทุกข์ ทุกข์ตรงนี้ ก็หนีไปนั้น...นั่นแหละยิ่งเอาทุกข์ไว้ไม่ได้ฆ่ามัน ไม่ได้คิดไม่ได้พิจารณาดูมัน ทุกข์ตรงนี้...หนีไปตรงนั้น ทุกข์ตรงนั้น...หนีไปตรงนี้ หนีแต่ทางกายเรา
ครั้นมันหลงอยู่เมื่อใด จะไปตรงไหนมันก็ทุกข์ จะขึ้นเครื่องบินหนีไปจากมันก็ขึ้นไปด้วย แม้จะมุดลงไปในน้ำมันก็มุดไปด้วย เพราะทุกข์มันอยู่กับเรา แต่เรามันหลงมันอยู่กับเรา จะไปหนีจะไปละมันที่ไหนได้ . คนเรานะทุกข์ ทีนี้หนีไปที่นั้น... ทุกข์ที่นั้น...หนีมาทางนี้ ว่าเราหนีทุกข์มันก็ไม่ใช่ ทุกข์มันไปกับเรา เราไปกับทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์ ถ้าไม่รู้จักทุกข์...ก็ไม่รู้จักเหตุเกิดของทุกข์ ไม่รู้จักเหตุของทุกข์...ก็ไม่รู้จักความดับทุกข์ ที่ไหนมันจะดับได้ มันไม่มีหรอก."
หลวงพ่อชา สุภัทโท
"..ทาน เป็นการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ศีล เป็นเครื่องปัดป่ากิเลส ภาวนา อบรมจิตใจให้ฉลาดและเที่ยงตรงต่อเหตุผลความถูกต้อง ดังนั้นควรหันมาฝึกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะการภาวนาช่วยแก้ความยุ่งยาก ลำบากใจทุกประเภท...ที่เป็นภาระหนัก.."
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
“... ขึ้นชื่อว่ากิเลสตัวเป็นมารของธรรมแล้ว ต้องเป็นมารของสัตว์โลกไม่มีทางสงสัย การแสดงออกของมัน มีแต่การหลอกลวงสัตว์โลก ให้เข้าสู่หลุมถ่านเพลิง
... คือกองทุกข์ไม่มีประมาณ โดยถ่ายเดียว หาที่พอเชื่อถือและยึดเป็นที่อาศัย.. ชั่วระยะเดียวก็ไม่ได้ ผลเต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟ ทุกกิ่งทุกแขนง ไม่มีเกาะมีดอน พอให้หายใจ ด้วยมันได้
... ปราชญ์ท่านจึงตำหนิติเตียนมาตลอด ทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยยกยอบ้างเลยว่า.. กิเลสก็ทำให้โลกร่มเย็น กิเลสก็เป็นธรรม ให้ความเสมอภาคยุติธรรม.. แก่โลกเป็นต้น นอกจากกลหลอกลวงเต็มตัวของมันมาทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยทิ้งลวดลายแห่งการปลิ้นปล้อนหลอกลวงสัตว์โลกผู้โง่เขลาที่น่าสงสารบ้างเลย ...”
"" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "" "จากหนังสือประวัติ" #หลวงปู่ขาว_อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู โดยท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (พ.ศ. ๒๔๓๑ – ๒๕๒๖)
ปัจจุบัน คำว่า "ปฏิบัติธรรม" กำลังจะมีความหมายเพี้ยนไป
"ในปัจจุบัน คำบางคำก็กำลังจะมีความหมายเพี้ยนไป ยกตัวอย่างคำที่กำลังพูดถึงกันบ่อยๆ ก็คือคำว่า "ปฏิบัติธรรม" เดี๋ยวนี้เราเข้าใจคำว่า "ปฏิบัติธรรม" อย่างไร?
คนจำนวนมากทีเดียวจะเข้าใจคำว่า"ปฏิบัติธรรม"หรือพูดถึงคำว่าปฏิบัติธรรม ในความหมายว่า..เป็นการปลีกตัวเข้าวัด หรือต้องไปในป่า และไปอยู่เงียบๆสักระยะหนึ่ง ไปนั่งสมาธิ ไปทำกรรมฐาน ไปบำเพ็ญเพียรทางจิตใจเป็นพิเศษ ไปอยู่ในที่วิเวกห่างไกลจากผู้คน ออกจากสังคมไป จึงเรียกกันว่า"ปฏิบัติธรรม"
ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เข้าใจกันอย่างนั้นมากแล้ว ก็แสดงว่า..เดี๋ยวนี้คำว่า "ปฏิบัติธรรม" ก็เป็นคำหนึ่งที่กำลังมีความหมายเพี้ยนไป และเป็นเครื่องแสดงด้วยว่า วัฒนธรรมของไทยในปัจจุบันมีอะไรๆ ที่กำลังผันแปรไปอีก
คำว่า "ปฏิบัติธรรม" นี้คืออะไร "ปฏิบัติธรรม" ก็คือ การนำเอาธรรมมาใช้มาปฏิบัติ เรามาทำงาน ถ้าทำงานด้วยใจรักงาน ก็เรียกว่ามี ‘ฉันทะ’ ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร ก็เรียกว่ามี ‘วิริยะ’ ทำงานด้วยความเอาใจใส่ รับผิดชอบ ก็เรียกว่ามี ‘จิตตะ’ ทำงานด้วยการใช้ปัญญาไตร่ตรอง ใคร่ครวญ หาทางแก้ไขตรวจสอบ ทำให้งานดียิ่งขึ้น พิจารณาข้อยิ่งข้อหย่อนในการงานนั้น มีการตรวจตราวัดผลต่างๆ ก็เรียกว่ามี ‘วิมังสา’ ถ้าทำครบ ๔ อย่างนี้ ก็เรียกว่า ทำงานด้วย "อิทธิบาท ๔"
"อิทธิบาท ๔" ก็เป็นหลักธรรมสำคัญหมวดหนึ่ง เมื่อทำงานด้วยอิทธิบาท ๔ ก็คือ การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
หลายท่านในที่นี้ก็มีรถยนต์ เมื่อขับรถไปในท้องถนนนั้น ถ้าเราขับด้วยความมีสติ ระมัดระวัง มีความไม่ประมาท รักษากฎจราจร อยู่ในระเบียบข้อบังคับและขับด้วยความสุภาพ อย่างนี้ก็เรียกว่า"ปฏิบัติธรรม" แน่นอนไม่มีพลาดเลย
แม้แต่จะกินอาหาร ถ้ากินอย่างรู้จักประมาณ มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิต ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่ลุ่มหลงมัวเมา ไม่ตะกละมูมมาม ก็เป็นการปฏิบัติธรรม
แต่คนปัจจุบันไม่ค่อยมองถึงการปฏิบัติธรรม ในความหมายอย่างนี้ แม้แต่เพียงเรานั่งอยู่เฉยๆ เราตั้งจิตคิดนึกจะทำความดี ตั้งใจจะทำความดีต่อผู้อื่น ปรารถนาดีหวังดีต่อเขา เพียงเท่านี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันนี้เราเอาคำว่าปฏิบัติธรรมไปใช้ในความหมายที่แคบลงๆ จนกระทั่งมีความหมายเฉพาะ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าพิจารณาและระมัดระวังกัน"
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากธรรมนิพนธ์ "ธรรมกับการศึกษาของไทย" หัวข้อเรื่อง "ความหลงตัวเอง: ความยึดติตในวัฒนธรรมของตน" (ท.ส. ปัญญา วุฑโฒ)
“ถ้าหาคนที่มีศีลเสมอกัน หรือสูงกว่า เดินไปด้วยกันไม่ได้ พระพุทธองค์ทรงให้เลือก เดินไปคนเดียว เพราะเลือกคบคนอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น
ถ้าคบคนพาล คนโกง หลงโลก หลงกามคุณ ถ้าสติเราไม่พอ อีกไม่นานเราก็จะซึมซับ สิ่งเหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว
คนฉลาดใช้ชีวิตจึงเลือกคบกัลยาณมิตร ถ้าไม่มีคนมีศีลมีธรรมรอบตัวเลยจงเลือก เดินคนเดียว และมีสติเป็นเพื่อน”
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
|