นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 16 มิ.ย. 2025 10:57 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: สร้างคุณงามความดี
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 09 พ.ย. 2024 12:40 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4955
อันความรัก หรือที่รัก
เมื่อผู้ใด มีร้อยหนึ่ง
ผู้นั้น ก็มีทุกข์ร้อยหนึ่ง
รักเก้าสิบ แปดสิบ เจ็ดสิบ
หกสิบ ห้าสิบ เป็นต้น
จำนวนทุกข์ ก็มีเท่านั้น

ถึงแม้มีรักเพียงอย่างหนึ่ง
ก็มีทุกข์อย่างหนึ่ง
ต่อเมื่อไม่มีรัก จึงจะไม่มีทุกข์
ผู้หมดรัก หมดทุกข์นั้น
พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า

"เป็นผู้ไม่มีโศก ไม่มีธุลีใจ ไม่มีคับแค้น"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ







"..ผู้จะพาให้ผิดพลาดและพาให้ฉลาดแหลมคมก็มีอยู่กับใจดวงเดียวจะเป็นผู้ผลิต ไม่มีอยู่ในที่ใด ๆ จึงไม่ควรตั้งความหวังไว้กับที่ใด ๆ ที่มิได้สนใจดูตัวเอง ตัวจักรเครื่องทำงาน คือกายวาจาใจที่กำลังหมุนตัวกับงานทุกประเภทอยู่ทุกขณะ ว่าผลิตอะไรออกมาบ้าง ผลิตยาถอนพิษคือธรรมเพื่อแก้ความไม่เบื่อหน่ายและอิ่มพอในความเกิดตาย หรือผลิตยาบำรุงส่งเสริมความมัวเมาเหมาทุกข์ ให้มีกำลังขยายวัฏวนให้ยืดยาวกว้างขวางออกไปไม่มีสิ้นสุด หรือผลิตอะไรออกมาบ้าง ควรตรวจตราดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ไม่เช่นนั้นจะเจอแต่ความฉิบหายล่มจม ไม่มีวันโผล่ตัวขึ้นจากทุกข์ที่โลกทั้งหลายกลัว ๆ กันได้เลย.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
(พ.ศ. ๒๔๑๓-๒๔๙๒)







“เราไม่เคยเห็นท่านผู้รู้เถียงกันเรื่องธรรม

เห็นแต่ผู้อวดรู้เถียงกันเรื่องธรรม…

ผู้ปฏิบัติได้ธรรมแล้ว เพิ่นบ่เถียงกันเรื่องธรรม”

โอวาทธรรม
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม






"...การเยี่ยมป่าช้าเพื่อพิจารณาความตาย จึงเป็นทางผ่อนคลายหายกลัวทั้งเรื่องของตัวและเรื่องของคนอื่นได้อย่างไม่มีประมาณ จนเกิดความอาจหาญต่อความตาย ทั้ง ๆ ที่โลกกลัวกันทั่วดินแดน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ได้เป็นไปในวงของนักปฏิบัติธรรมมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าและพระสาวกเป็นตัวอย่างอันยอดเยี่ยม เสร็จแล้วจึงประทานพระโอวาทเกี่ยวกับการพิจารณาความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไว้ทุกแง่ทุกมุม เพื่อหมู่ชนผู้มีความรับผิดชอบในตนและผู้เกี่ยวข้องได้นำไปพิจารณาหาทางแก้ไข บรรเทาความมัวเมาเขลาปัญญาของตนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเวลาที่พอดิบพอดี ยังไม่สายเกินไป เมื่อสิ้นลมหายใจจนไปถึงสถาบันใหญ่แล้ว ต้องนับว่าหมดหนทางแก้ไข มีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ถ้าไม่เผาก็ต้องฝังเท่านั้น จะพาไปรักษาศีลภาวนาทำบุญสุนทานอย่างแต่ก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว..."

อ้างอิงที่มา : จากหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน







#ความชั่วไม่เคยชนะความดี

"... แต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้า.. ก็ทรง
สอนให้ชนะความชั่วด้วยความดี ธรรมบทนี้หรือบทใดก็ตามไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอด
มา นับแต่เริ่มประกาศธรรมแก่มวลสัตว์จนวันเสด็จเข้าสู่นิพพาน เพราะเป็นธรรมของจริง
อันตายตัวโดยสมบูรณ์แล้วไม่มีทางเป็นอื่น ...”
___________________________

#พระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต)
วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร
(พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒)
#ที่มาหนังสือปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น_ภูริทัตตเถระ








“ ไอ้ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหลาย
มันมาจากความรู้สึกว่ามีตัวตน
แต่ก่อนมันมีความรู้สึกว่ามีตัวตนก่อน
แล้วมันเหน็ดเหนื่อย แล้วมันก็ กูเหนื่อย
แล้วมันก็โกรธ แล้วมันก็เป็นทุกข์
ถ้ามันอยากมีตัวกู
มันมิรู้ว่าเป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ
ฉะนั้น มันก็จะไม่รู้สึกโกธรแค้น
เมื่อเหน็ดเหนื่อย แค่มันรู้ว่าเรามีชีวิต
ต้องทำหน้าที่รักษาชีวิตไว้ได้ และทำให้ชีวิต
ก้าวหน้าสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป
สูงจนสูงสุดคือบรรลุมรรคผลนิพพาน...

มันเกิดมาแล้วมันก็ต้องทำต่อไป ให้เจริญ
ให้ดีถึงที่สุด ดังนั้นเราจึงมีหน้าที่ที่จะรักษาชีวิต
เราต้องทำอาชีพ อาชีพให้รอดชีวิตอยู่ได้
ถ้ามันเหนื่อย ก็รู้ว่าถูกแล้ว ดีแล้ว
ถ้ามันมีเหงื่อออกมา
ก็ให้เย็นเหมือนกับอาบน้ำมนต์
อย่าให้เป็นน้ำร้อนแล้วโกรธผี
แช่งเทวดา ไปขโมยดีกว่า
ไม่ทนทำงานอีกแล้ว นี่ มันไม่รู้อะไรเป็นอะไร
มันก็ไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ”

พุทธทาสภิกขุ







สำรวจที่ตนเอง

ความอยากนั้นมันรู้ที่จิต เหมือนชาวประมงออกไปทอดแห พอได้ปลาก็รีบตะครุบ ปลามันก็กลัว คนกลัวปลาจะออกจากแห เมื่อเป็นอย่างนั้น ใจมันสับสน บังคับมันมาก เดี๋ยวปลามันก็ออกจากแห โบราณจึงให้ค่อย ๆ คลำมันไป ทำไปเรื่อย ๆ ขี้เกียจก็ทำ ขยันก็ทำ ทำไปมาก ๆ ถูกทางความสงบมันก็ระงับ การปฏิบัติท่านให้ไปเรื่อย ๆ อย่าหยุด ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ แต่ปฏิบัติเหมือนบุรุษสีไฟ เดี่ยวหยุดเดี๋ยวทำ ใจร้อนมันก็ไม่สำเร็จเพราะใจมันร้อน

การภาวนาการปฏิบัติไม่ต้องคิดอะไรมาก ให้สำรวจที่ตนเอง ไม่ต้องไปสำรวจที่อื่น ถ้าเราเห็นตัวเรา เราก็เห็นคนอื่น เหมือนยาทันใจกับยาปวดหาย เพราะมันมีลักษณะรักษาโรคอันเดียวกันคือยาแก้ปวด คนที่ปฏิบัติกับคนเรียนนั้นชอบโทษกัน เหมือนกับการที่เราหงาย-คว่ำฝ่ามือ ซึ่งมันไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก มันอยู่ของมันตรงนั้นแหละ แต่เรามองไม่เห็น การเรียนแล้วไม่ปฏิบัติ เราก็จะไม่รู้ตามความเป็นจริง มันจะทำให้หลงไป

พระธรรมเทศนา
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
จาก มรดกธรรมเล่มที่ ๑๓ “ความผิดในความถูก” หน้า ๕







แยกแล้วยุ่ง

ตัวปัญญากับตัวสมาธินี้ เมื่อเราพูดแยกกันออกคล้าย ๆ กับคนละตัว จริง ๆ มันตัวเดียวกันนั่นเองแหละ ตัวปัญญามันเป็นเครื่องเคลื่อนไหวของสมาธิเท่านั้น อือ มันออกจากจิตนี้แหละ แต่มันแยกกันออกไป มันเป็นคนละลักษณะ เหมือนมะม่วงใบนี้ ลูกมะม่วงใบนี้มันเล็ก ๆ แล้วก็มันโตขึ้นมาอีก แล้วก็มันสุก แล้วมันจะเน่า... มะม่วงใบนี้ก็คือมะม่วงใบเดียวกัน... มันเล็กก็ใบนี้ มันโตขึ้นมาก็ใบนี้ มันสุกก็ใบนี้ แต่มันเปลี่ยนลักษณะ อาการอย่างหนึ่งท่านเรียกว่าสมาธิ อาการอย่างหนึ่งท่านเรียกว่าปัญญา ความเป็นจริง ศีล สมาธิ ปัญญา นี่คือของอันเดียวกัน ไม่ใช่คนละอย่าง เหมือนมะม่วงใบนี้ใบเดียวกัน

พระธรรมเทศนา
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
จาก มรดกธรรมเล่มที่ ๑๓ “ความผิดในความถูก” หน้า ๘











#ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"
ธรรมโอวาทหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

เราทั้งหลายต่างเกิดมาด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิดังที่ทราบอยู่แก่ใจ อย่าลืมตัวลืมวาสนา โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อ ภพชาติของเราที่เคยเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลง และกลับกลายหายไปเป็นชาติที่ต่ำทราม ไม่ปรารถนา จะกลายมาเป็นตัวเราเข้าแล้วแก้ไม่ตก
ความสูงศักดิ์ ความต่ำทราม ความสุขทุกขั้นจนถึงบรมสุข และความทุกข์จนเข้าขั้น มหันตทุกข์ เหล่านี้มีได้กับทุกคนตลอดสัตว์ ถ้าตนเองทำให้มี
อย่าเข้าใจว่ามีได้เฉพาะผู้กำลังเสวยอยู่เท่านั้น โดยผู้อื่นไม่มี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติกลาง แต่กลับกลายมาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้ผลิตผู้ทำเองได้ ท่านจึงสอนไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน
เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจน จนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้นหรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริง ๆ
ไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดีกรรมชั่วเรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น จึงมีทางเป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้เช่นเดียวกับที่เราเคยเป็น
ศาสนาเป็นหลักวิชาตรวจตราดูตัวเองและผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ ไม่มีวิชาใดในโลกเสมอเหมือน สิ่งดีชั่วที่มีและเกิดอยู่กับตนทุกระยะ มีใจเป็นตัวการพาให้สร้างกรรมประเภทต่าง ๆ จนเห็นได้ชัดว่ากรรมมีอยู่กับผู้ทำ มีใจเป็นเหตุของกรรมทั้งมวล
กรรมเป็นของลึกลับและมีอำนาจมาก
ไม่มีผู้ใดหนีกฎแห่งกรรมได้เลย.


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO