นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 02 พ.ค. 2025 10:44 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พิจารณาให้ชัด
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 27 เม.ย. 2024 5:14 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4907
“เมื่อตาเห็นรูปแล้วรู้ว่าสวยงาม หรือรังเกียจ
อย่างไรแล้วก็หยุดเพียงเท่านี้

เมื่อหูได้ยินเสียงรู้ว่าไพเราะ หรือน่ารำคาญ
อย่างไรแล้วก็หยุดเพียงเท่านี้

เมื่อลิ้นได้ลิ้มรส รู้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย
เปรี้ยวหวานมันเค็ม อย่างไรแล้วก็หยุดเพียงเท่านี้

เมื่อจมูกได้กลิ่นหอม หรือเหม็นอย่างไรแล้ว
ก็หยุดเพียงเท่านี้

เมื่อกายสัมผัสโผฎฐัพพะ รู้ว่าอ่อนแข็ง
อย่างไรแล้วก็หยุดเพียงเท่านี้

ที่กล่าวมาท่านให้พิจารณากามคุณ ๕
ให้รู้เพียงเท่านี้แล้วพึ่งละเสีย”

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล






“เมื่อเรามาอยู่ในโลกยุคที่มันวุ่นวายอย่างนี้
เราฝึกใจของเราให้ดีก็แล้วกัน เราฝึกใจของเราไว้
อย่างน้อยที่สุดนะ เราไม่ไปเพิ่มปัญหาให้กับสังคม
เราไปแก้คนอื่นไม่ไหว เรามาแก้ตัวเองก่อน
ทำยังไงเราจะอยู่ในโลกที่เร่าร้อนนี้
โดยมีความทุกข์ให้น้อยที่สุด เกิดมาทั้งที
เรื่องอะไรจะปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์นานๆ
ธรรมะเนี่ยะช่วยเราได้ดีที่สุดเลย
ธรรมะเนี่ยะช่วยแก้ทุกข์ทางใจได้ชะงัดที่สุดเลย”

พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช





"...ชาวพุทธจะต้องศึกษาเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน
เพราะการเจริญสติปัฏฐานนี้เป็นทางสายเอก เป็นทาง
สายเดียวที่จะทำให้จิตใจของเราเข้าถึงความบริสุทธิ์
หลุดพ้นได้ ถ้าไม่มีสติปัฏฐาน ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร
อย่างมากที่สุดก็แค่ข่มกายข่มใจให้สงบเรียบร้อย
มีความสุขมีความสงบชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ไม่สามารถแก้รากเหง้าของปัญหาในจิตใจของเราได้
พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญกับสติปัฏฐานมาก
ถึงขนาดท่านกล้ารับรองเลยว่าเป็นทางสายเอก
ทางสายเดียว แล้วท่านก็ยืนยันด้วยว่า ตราบใดที่ยัง
มีผู้เจริญสติปัฏฐานอยู่ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
แต่ถ้าปราศจากการเจริญสติปัฏฐาน อย่าว่าแต่พระ
อรหันต์เลย แม้พระโสดาบันก็ไม่มี..."

#โอวาทธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
.......................................................................







อย่างหลวงพ่อได้พูดได้กล่าว พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกที่ท่านได้สำเร็จมรรคสำเร็จผลแล้วนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัส กล่าว เตือน บอกกล่าวภิกษุว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากว่าพวกเธอท่านทั้งหลายมีศาสนาอื่นนอกศาสนา ถ้าจะถาม เขาถามมาว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตสาวกผู้ได้สำเร็จมรรคผลแล้วนี่ท่านอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร วิหารธรรมคือเป็นเครื่องอยู่ทางด้านจิตใจ อยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร

ให้พวกเธอท่านทั้งหลายตอบได้เลยว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์สาวกท่านผู้ได้สำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์แล้วท่านอยู่ด้วยอารมณ์อานาปานสติ อานาปานสติคืออยู่ในอารมณ์กำหนดลมหายใจเข้ารู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก มีสติสัมปชัญญะในลมหายใจเข้า ในลมหายใจออก นี่แหละเป็นวิหารธรรม พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก อันนี้ท่านพูดชัดเจนนะ

เพราะฉะนั้นพวกเราเป็นสาวกก็เถอะ ก็ต้องเดินตามแนวแถวพุทธะที่ท่านวางไว้ อยู่ด้วยวิหารธรรม อยู่ด้วยอารมณ์ กายคตาสติ อารมณ์อานาปานสติคือมีสติสัมปชัญญะอยู่กับตนเองตลอดนั่นน่ะเลิศประเสริฐที่สุดสำหรับพวกเราที่เป็นนักพรตนักบวช เป็นฝึกในการฝึกเรื่องจิตภาวนา มิใช่ว่าว่าเอ้อระเหยลอยลมอยู่เป็นวันๆ กินเป็นวันๆ ไม่ได้นะ

พระธรรมเทศนาโดย หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก
จากพระธรรมเทศนา “บวชมาเป็นพระอย่าอยู่ลอยลมไปวัน ๆ”
แสดงธรรม เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗







..." #มีธรรมเป็นเครื่องอยู่_อยู่เป็นสุข
มีสติธรรมเป็นเครื่องอยู่.. อยู่เป็นสุข
มีความสงบเป็นเครื่องอยู่.. อยู่เป็นสุข

... ถ้าหากไม่มีสติ ไม่มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ หาความสุขใจไม่เจอ ดิ้นรนตะเกียกตะกาย อยากจะเปรียบเป็นสุนัขขี้เรื้อน แสวงหาความสุข ไม่มีโอกาสจะเจอสถานที่ที่ไม่คันได้ เพราะความคันไม่ได้อยู่ที่สถานที่ มันคันอยู่ที่ขี้เรื้อนนั้น
...จิตก็เช่นเดียวกัน เปลื้องคำว่าโลกออกเสีย โรคดี โรคชั่ว โรคทุกข์ โรคสุข โรครัก รักชัง เปลื้องออกไปซะ อยู่เป็นสุขสมกับที่เรามุ่งมั่นปราถนากัน "
_______________________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร






#พระพุทธเจ้าสอนให้ตื่นตัว_คือความไม่ประมาท

..." ถ้าหากว่าเราไม่ตื่นตัว ปล่อยเราให้ประมาท เราๆนี้ล่ะ จะถูกคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ที่มีแต่ของแตกของพังอันนั้น มาเป็นอันตรายแก่เรา

... ลาภ ก็เป็นอนิจจัง, ยศ ก็เป็นอนิจจัง, สรรเสริญ ก็หาความแน่นอนไม่ได้ หาตัวหาตนในการสรรเสริญเยินยอไม่ได้ ลมออกจากปาก ลมออกไปเท่าไหร่ ก็เป็นลมไปเท่านั้น ลมออกไปเท่าไหร่ จะสมมุติเป็นเสียงใดๆ ลมก็เป็นลม เสียงก็สลายไป

... สิ่งเหล่านี้มันบอกชัดๆ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด จะเป็นรูป เป็นกลิ่น เป็นเสียง เป็นรส เป็นสิ่งที่ยกยอสรรเสริญ หาอะไรที่จะเป็นตัวเป็นตนเป็นแก่นสารไม่มี ถ้าหากว่าเราไม่พิจารณาให้ชัด สิ่งเหล่านี้ล่ะ เป็นข้าศึกแก่เรา "
______________________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 20 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO