นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 06 พ.ค. 2024 2:44 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ฝึกอบรมพัฒนา
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 21 เม.ย. 2024 9:03 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4550
สนใจเรื่อง“หลักพระพุทธศาสนา”ให้มาก
อย่าเอา“พระพุทธศาสนา”ไปแขวนไว้กับบุคคล

“ชาวพุทธปัจจุบันนี้ มีความแกว่งไกวมาก แกว่งไกวไปตามเหตุการณ์ เรื่องราว หรือ บุคคล ไม่ได้หลัก

ถ้าหากเป็นคนที่มีหลัก รู้หลักพระศาสนาดีแล้ว ก็ยืนอยู่กับหลัก เหตุการณ์ เรื่องราวอะไรต่างๆผ่านมา ถ้าเรายืนอยู่กับหลักแล้ว เราก็ไม่หวั่นไหว เรามองเห็นแล้ว สิ่งนั้นก็ผ่านไป

ยิ่งกว่านั้น เมื่อเรามีหลักแล้ว เราจะสามารถวินิจฉัยได้ด้วยซ้ำไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหรือการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถูกต้องหรือไม่? แทนที่จะต้องฟัง..ทางโน้นที..ทางนี้ที ซึ่งอาจทำให้หวั่นไหวไป ถ้าหากว่าดำรงตัวไม่ดี ดีไม่ดี ก็จะหล่นไปจากพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นคนที่มีหลักแล้ว ก็ไม่ต้องเป็นห่วง อยู่ได้ตลอดเวลา

เวลานี้ จะต้องให้คนสนใจเรื่องหลักพระพุทธศาสนาให้มาก แล้วก็อยู่กับหลักให้ได้ อย่างที่พูดบ่อยๆว่า อย่าเอาพระศาสนาไปแขวนไว้กับบุคคล บุคคลมีอันเป็นอะไรไป พระศาสนาของเราก็ร่วงหล่นไปด้วย”

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : หนังสือ “ปฏิบัติธรรม ให้ถูกทาง”







"..เรื่องอสุภะกับจิตที่เต็มไปด้วยราคะความกำหนัดยินดี นี้เป็นคู่ปรับ หรือคู่แก้กันได้ดีและดีมาก จิตมีราคะมากเพียงไรให้พิจารณาอสุภะอสุภังมากเพียงนั้น หนักเพียงนั้น จนกลายเป็นป่าช้าผีดิบขึ้น ให้เห็นประจักษ์ใจในร่างกายของเขาของเราทั่วโลกดินแดน ราคะตัณหานั้น จะกำเริบขึ้นไม่ได้เมื่อปัญญาหยั่งรู้ว่ามีแต่ปฏิกูลเต็มตัว ใครจะไปกำหนัดยินดีในปฏิกูล ใครจะไปกำหนัดยินดีในสิ่งที่ไม่สวยไม่งาม ในสิ่งที่อิดหนาระอาใจ นี่เป็นยาระงับอสุภะอสุภังประการหนึ่ง เป็นยาแก้โรคราคะตัณหาขนานเอกขนานหนึ่ง เมื่อพิจารณาสมบูรณ์เต็มที่แล้ว ให้จิตสงบตัวลงไปในวงแคบ

เมื่อจิตได้พิจารณาอสุภะอสุภัง หลายครั้งหลายหนจนเกิดความชำนิชำนาญ พิจารณาคล่องแคล่วว่องไว ทั้งรูปภายนอกทั้งรูปภายใน จะพิจารณาให้เป็นอย่างไรก็เป็นได้อย่างรวดเร็ว แล้วจิตก็จะรวมตัวเข้ามาสู่อสุภะภายใน และจะเห็นโทษแห่งอสุภะที่ตนวาดภาพไว้นั้นว่า เป็นเรื่องมายาประเภทหนึ่ง แล้วปล่อยวางทั้งสองเงื่อน คือเงื่อน อสุภะ และเงื่อน สุภะ ทั้งสุภะทั้งอสุภะ สองประเภทนี้ เป็นสัญญาคู่เคียงกันกับเรื่องของราคะ เมื่อพิจารณาเข้าใจทั้งสองเงื่อนนี้เต็มที่แล้ว คำว่าสุภะก็สลายตัวลงไปหาความหมายไม่ได้ คำว่าอสุภะก็สลายตัวลงไปหาความหมายไม่ได้ ผู้ที่ให้ความหมายว่าเป็น สุภะ ก็ดี อสุภะ ก็ดี ก็คือใจ ก็คือสัญญา สัญญาก็รู้เท่าแล้วว่าเป็นตัวหมาย เห็นโทษแห่งตัวหมายนี้แล้ว ตัวหมายนี้ก็ไม่สามารถที่จะหมายออกไปให้ใจติดและยึดถือได้อีก นั่น ! เมื่อเป็นเช่นนั้นจิตก็ปล่อยวางทั้งสุภะทั้งอสุภะ คือทั้งสวยงามทั้งไม่สวยงาม โดยเห็นเป็นเพียงตุ๊กตา เครื่องฝึกซ้อมของใจของปัญญา ในขณะที่จิตยังยึด และปัญญาพิจารณาเพื่อถอดถอนยังไม่ชำนาญเท่านั้น

เมื่อจิตชำนาญ รู้เหตุผลทั้งสองประการคือ สุภะอสุภะนี้แล้ว ยังสามารถย้อนมาทราบเรื่องความหมายของตนที่ออกไปปรุงแต่งว่า นั้นเป็นสุภะนั่นเป็นอสุภะอีกด้วย เมื่อทราบความหมายนี้อย่างชัดเจนแล้ว ความหมายนี้ก็ดับลงไป และเห็นโทษแห่งความหมายนี้อย่างชัดเจน ว่านี้คือตัวโทษ อสุภะไม่ใช่ตัวโทษ สุภะไม่ใช่ตัวโทษ ความ "สำคัญว่าเป็น" สุภะ อสุภะ ต่างหากเป็นตัวโทษ เป็นตัวหลอกลวงเป็นตัวให้ยึดถือ นั่นมันย่นเข้ามา นี่การพิจารณาย่นเข้ามาอย่างนี้ และปล่อยวางโดยลำดับ.."

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศนาธรรมเรื่อง"รู้อสุภะ รู้อย่างไร"
๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑






“เมื่อต้องเจอกับปัญหา หรือเหตุร้าย
การยิ้มรับมัน ย่อมดีกว่าการปฏิเสธมัน
ด้วยความกลัว เพราะการยิ้มรับนั้น

ในแง่หนึ่ง หมายถึง การไม่ยอมรับอำนาจ
คุกคามของมัน และทำให้มันไม่น่ากลัวอีกต่อไป
แทนที่จะมองเป็นศัตรู กลับเห็นเป็นมิตรไปเสีย
ท่าทีเช่นนี้ ยังสามารถใช้ได้กับความตาย
ซึ่งเป็นความจริง ที่ไม่มีใครหนีพ้น

เมื่อจะต้องเจอมันอย่างแน่นอน ควรเรียนรู้
ที่จะยิ้มรับมันเสียแต่ตอนนี้ หรือ ถึงจะไม่ได้เตรียมใจ
ไว้ก่อนเลย เมื่อถึงคราวที่ต้องเจอมัน อย่างเลี่ยงไม่ได้
การเดินยิ้มเข้าหามัน ย่อมดีกว่าการพยายาม
เบือนหน้า หรือหลีกหนีมันด้วยความกลัว”

พระไพศาล วิสาโล







"คนอื่นเขาดี ก็ดีเขา
เขาชั่ว ก็ชั่วเขา
จิตใจของเรา เป็นอย่างไร"

หลวงปู่ขาว อนาลโย







" #เราเท่านั้นเป็นผู้ที่เตือนเราได้ดีที่สุด

... เพราะเราอยู่กับเราตลอดเวลา จะคอยปล่อยให้คนอื่นเตือนเป็นความไม่ถูกต้อง และ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คอยคนอื่นเตือน สอนให้เตือนเราเอง

... ถ้าเราเตือนเราได้ ใส่ใจที่จะเตือนเรา พระพุทธเจ้าก็เตือนเราได้ ศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นประโยชน์แก่โลก เราก็มีส่วนได้ประโยชน์กับเขาผู้หนึ่ง ถ้าหากว่าเรามีการเตือนเราอยู่เสมอ

... ถ้าหากว่าเราไม่เตือนเรา ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นประโยชน์แก่โลก แต่ไม่เป็นประโยชน์แก่เรา จึงให้พากันเข้าใจ "
______________________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร







ความดี อยู่กับตัวเราเอง
ถ้าเราดี อยู่ที่ไหนก็ดี
ถ้าเราไม่ดี อยู่ที่ไหนก็ไม่ดี

ต้องถามตัวเรา ว่า
ดีพร้อมแล้วหรือยัง
ถ้าตัวเองไม่ดี จะหาคนอื่นดีคงไม่เจอ
ถ้าตัวเราดี จะไปไหนก็พบแต่คนดี

หลวงปู่ชา สุภัทโท






#บุญนั้นไม่ได้เกิดแต่การบริจาคทานอย่างเดียว
บุญเกิดจากการรักษาศีล บุญเกิดจากการภาวนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญภาวนา
เป็นบุญที่สามารถทำได้ไม่เลือกบุคคล
ไม่ว่าจะเป็นคนแก่คนเฒ่าหรือเด็ก หญิงหรือชาย
หรือคนเจ็บป่วยก็ตาม สามารถทำได้
.
คนที่มีสติปัญญา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นบุญแล้ว
ทำการทำงานก็เป็นบุญ ทุกสาขาอาชีพที่เป็นอาชีพบริสุทธิ์
ถ้าเราระลึกพุทโธคราวใด บุญก็เกิดขึ้นคราวนั้น ไม่ต้องหาไกล
คนมีปัญญาไม่ต้องหาไกล หาอยู่ในกาย หาอยู่ในวาจา หาอยู่ในจิต
.
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
จากหนังสือ "รำลึกวันวาน" โดยหลวงตาทองคำ จารุวัณโณ





. ศีลนี้ ไม่ได้หมายความว่า ต้องไปรับกับพระวัดโน้นวัดนี้แต่ประการใด ท่านมีสติไหม หนึ่งนาที หรือห้านาทีของท่าน

ท่านมีสติ ควบคุมจิตไหม มีสัมปชัญญะ รู้ตัว รู้นอก รู้ใน รู้จิต รู้ใจ รู้สิ่งที่มีประโยชน์ รู้กาลเทศ กิจจะลักษณะ รู้บาป รู้บุญ รู้คุณ รู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์หรือไม่ประการใด ตรงนี้คือ ศีลฯ...

คำสอนหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี







เมื่อกระผมทำความสงบให้เกิดขึ้นแล้ว ก็พยายามรักษาจิตให้ดำรงอยู่ในความสงบนั้นด้วยดี แต่ครั้นกระทบกระทั่งกับอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จิตก็มักจะสูญเสียสถานะที่พยายามธำรงไว้นั้นร่ำไป

หลวงปู่ว่า

"ถ้าเช่นนั้น แสดงว่าสมาธิของตนเองยังไม่แข็งแกร่ง
เพียงพอ ถ้าเป็นอารมณ์แรงกล้าเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอารมณ์ที่เป็นจุดอ่อนของเราแล้ว ต้องแก้ด้วยวิปัสสนาวิธี จงเริ่มต้นด้วยการพิจารณาสภาวธรรมที่หยาบที่สุด คือกาย แยกให้ละเอียด พิจารณาให้
แจ่มแจ้ง ขยับถึงพิจารณานามธรรม อะไรก็ได้ทีละคู่ ที่เราเคยแยกพิจารณามาก็มี ความดำความขาว ความมืดความสว่าง เป็นต้น"

หลวงปู่ดูย์ อตุโล
หลวงปู่ฝากไว้






" ไม่มี...ปาฏิหาริย์ใดจะอัศจรรย์ เท่ากับ
#การฝึกอบรมพัฒนาตนเอง
จาก...ปุถุชนสู่...ความเป็นอริยชน.

_______________________________________
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO