นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 06 พ.ค. 2024 8:53 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความสุข
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 17 เม.ย. 2024 10:12 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
…ถ้าจิตไม่สงบกิเลสไม่ถูกตัดกำลัง เวลาพิจารณาทางปัญญา จะเกิดอารมณ์หดหู่ อารมณ์ไม่ดีตามมาได้ เช่นพิจารณาความตาย หรือพิจารณาอสุภะ ถ้าไม่มีสมาธิจะไม่อยากพิจารณา ไม่อยากดูซากศพ ไม่อยากดูอาการ ๓๒ ของร่างกาย

.แต่ถ้าจิตสงบแล้วจะดูได้ จะพิจารณาได้ จะไม่หดหู่ จะชอบ เพราะดูแล้วทำให้ปลงสังเวชได้ ปลงอนิจจังทุกขังอนัตตาได้ ถ้าไม่มีสมาธิแล้วไปเจริญปัญญา จิตจะวิปลาสได้

.สมัยพระพุทธกาลมีพระภิกษุที่พิจารณาความตายแล้วก็ฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่าร่างกายต้องตาย ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ก็เลยฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าจึงต้องห้าม ฆ่าไม่ได้

.ถ้าคิดจะฆ่าตัวตายก็ต้องหยุดคิดแล้ว ทรงสอนให้ เจริญสมถภาวนาก่อน ให้เจริญเมตตาภาวนา “ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น”

.เมื่อหลายปีมาแล้วมีข่าวครอบครัวหนึ่ง ที่แขวนคอตายทั้งครอบครัว ปฏิบัติธรรมแล้วจิตวิปลาสไป คิดว่าบรรลุแล้ว ไม่ต้องอยู่ต่อไป คงจะคิดว่าถ้าบรรลุแล้วต้องฆ่าตัวตายได้

.แต่ความจริงไม่ใช่เป็นอย่างนั้น ความจริงต้องยอมรับความตาย ต้องกล้าตาย แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องฆ่าตัวตาย ต้องปลงให้ได้ ต้องยอมรับความตายให้ได้

.อย่างที่พระภิกษุไปอยู่ในป่านี้ ก็เพื่อไปปลง เพื่อให้พบกับความตาย ไปอยู่ใกล้กับความตาย ที่จะทำให้เกิดความกลัว ซึ่งเป็นกิเลส พอเกิดความกลัวสุดขีดขึ้นมา วิธีที่จะดับได้ วิธีที่จะดึงจิตให้กลับเข้าสู่ความสงบได้ ก็ต้องใช้ปัญญา คือไตรลักษณ์นี้

.ต้องพิจารณาว่า เกิดมาแล้วต้องตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไม่ได้ พอยอมรับว่าต้องตายแล้วก็ยอมตาย จิตก็จะสงบ

.หลังจากนั้นร่างกายจะตายหรือไม่ตาย จะไม่เป็นปัญหา ที่เราต้องการฆ่านี้ไม่ใช่ร่างกาย ต้องการฆ่ากิเลส คือ ความกลัวตาย .

…………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๒๘ กัณฑ์ที่ ๔๓๕
วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕






#อานิสงส์แห่งวิหารทาน

หลวงตาสรวง สิริปุญโญ วัดป่าศรีฐานใน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ได้บอกเล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟังว่า..

ตอนท่านอดอาหารทำความเพียรอยู่ถึง ๒๘ วัน ท่านได้มรณภาพลงเป็นเวลา ๓ ชั่วโมง ปรากฎว่าตัวท่านได้ขึ้นไปโผล่อยู่บนสวรรค์ เเละได้มองลงมาข้างล่าง ก็เห็นขุมนรกต่างๆ เหล่าสัตว์นรกกำลังเสวยวิบากกรรมที่ตนกระทำไว้

..ท่านเล่าต่อว่า..บนสวรรค์นั้นมีเหล่าเทพบุตรเเละเทพธิดาหล่อ ๆ สวย ๆ งาม ๆ ทั้งนั้น เมื่อท่านขึ้นไปสวรรค์ชั้นหนึ่ง ท่านก็เห็นวิมารหลังหนึ่งใหญ่โตมาก สร้างด้วยทองคำ ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาต่างๆระยิบระยับ

หลวงตาสรวง (สิริปุญโญ) จึงเอ่ยถามเทพบุตรว่า..วิมานนี้เป็นของใคร

..เทพบุตรชี้มือลงมายังเมืองมนุษย์

ปรากฎว่าบริเวณนั้น คือหมู่บ้านขามเฒ่า จ.นครพนม เห็นชายผู้หนึ่งชื่อนายพรหมา รังษี เป็นกำนันตำบลนั้น เทพบุตรบอกว่าวิมานหลังนี้เป็นของชายผู้นี้

เมื่อหลวงตาถามว่าด้วยเหตุใดนายพรหมา รังษี จึงได้เป็นเจ้าของวิมานใหญ่โตเช่นนี้ ก็ได้รับคำอธิบายว่า..

สมัยที่หลวงปู่ศรี มหาวีโร ออกธุดงค์มาถึงบ้านขามเฒ่า ได้มีประชาชนเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก

กำนันพรหมา รังษี ได้ชักชวนชาวบ้าน ช่วยกันสร้างศาลาปฏิบัติธรรมถวายท่าน ด้วยอานิสงส์ที่สร้างศาลาถวายหลวงปู่ศรี มหาวีโร พระผู้ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำให้กำนันพรมมา ได้เป็นเจ้าของ "วิมาน" หลังนี้บนสวรรค์

หลวงตาสรวง สิริปุญโญ
วัดป่าศรีฐานใน ต.ศรีฐาน อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร






ธรรมะหลวงพ่อสตีเฟน​ เขมานันโท
ท่านได้เมตตา​สอนญาติโยม
เมื่อวัน พุธ​ ที่ ๑๖ มีนาคม​ ๒๕๖๕
ใจความสำคัญ​ดังนี้....

“ถ้ามัวแต่เล่นกับอารมณ์ทางโลก
เปลี่ยนอารมณ์ ระบายอารมณ์
ไม่คิดไม่รับผิดชอบอะไร
ก็ไม่เจริญทางธรรม
เหมือนเด็กเล่นในกองทราย
ชาตินึงผ่านไปก็ได้แค่ความทรงจำ”

หลวงพ่อสตีเฟ่น เขมานันโท
พระอาจารย์ฝรั่งที่หลวงพ่อชาอุปสมบทให้
หนึ่งในสหธรรมิกของพระอาจารย์ชยสาโร





การทำงานให้ได้ผล
ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
อารมณ์ต้องมีปัญญา
คอยกำกับอยู่เสมอ

พระอาจารย์ชยสาโร





..ถ้าหากพวกเราท่านทั้งหลายมีสติปัญญาดูจิตใจของตนเอง มารู้ถึงสถานที่นี้ก็เรียกว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีสติปัญญาประคองจิตของตน และฝึกฝนอบรมจิตใจของตน รู้อารมณ์เกิดขึ้นภายในจิตของตนได้อย่างแน่นอน เมื่อรู้แล้วอย่างนี้เราก็ตั้งสติปัญญาดูจิตเท่านั้น อันนี้เป็นข้อสำคัญ ถ้าหากทุกคนยังไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วยังหลงอยู่ มันก็จะทำให้มีความทุกข์ความเดือดร้อนดังได้กล่าวมาแล้วนั้นแหละ นี้เป็นข้อสำาคัญการพิจารณาจิตในจิต
..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงชี้แจงแสดงเอาไว้ให้พวกเราท่านทั้งหลายว่า จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ ต้องพิจารณาดูจิตในจิตของตน สมุทยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ ว่าให้รู้ทั้งความเกิดขึ้นของจิต ว่าอารมณ์อะไรเกิดขึ้น
..วยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ ให้รู้ทั้งความเสื่อมไปของจิต คือจิตยึดอยู่ในอารมณ์นั้น มันก็วางไป
..สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วา จิตฺตสฺมึ วิหรติ ให้มามีสติปัญญากำ หนดรู้ทั้งความเกิดขึ้นของจิตว่าอารมณ์นี้เกิดขึ้นมานั้น รับอารมณ์อยู่นั้น แล้วก็ให้มารู้มาเข้าใจจนกระทั่งอารมณ์นั้นเสื่อมไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้อย่างนี้..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ ( สอนพระสงฆ์ )

เรื่อง…สมาบัติ ๘ ก็เรื่องเล็ก ถ้าสนใจจริง

..." คนในวัดของเราทั้งหมดนี่ ผมว่าถ้าสนใจจริง ๆ ตั้งใจจริง ๆ เรื่องสมาบัติ ๘ นี่มันเล็กเหลือเกิน..

สำหรับ อภิญญา นี่.. ก็ยังหนักใจนิด เพราะว่า.. ใช้ความพยายามมาก.. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สังโยชน์ ๓ สังโยชน์ ๕ สังโยชน์ ๑๐ เป็นของไม่ยาก.. เพราะพูดกันไปพูดกันมาอยู่ตลอดเวลา..

เว้นไว้แต่พวกท่านทั้งหลาย จะไม่สนใจในความดีเท่านั้น ที่จะไม่ได้..

พึงจะเห็นได้ว่า.. เวลาเขาเปิดโทรทัศน์ ก็ไปนั่งออที่หน้าโทรทัศน์บ้าง.. เวลาที่เขามีร้านค้า ก็ไปนั่งชุมนุมกันที่นั่นบ้าง..

เวลาจะพูดจาปราศรัยเรื่องอะไร ก็ไม่ได้ดูละ ไม่ได้ดูหน้าดูหลัง ไม่ดูกาลเวลา ไม่ได้ดูบุคคล.. อันนี้แสดงว่า บุคคลประเภทนั้นไม่ได้มีความเข้าใจ หรือไม่ได้สนใจในสมณวิสัย ซึ่งได้ดีไม่ได้..ไม่มีทางใด ที่จะได้ดี เพราะขาดการระมัดระวัง..

ถ้ามีการสำรวมอยู่ ปฏิบัติตนอยู่ในจรณะ ๑๕ แล้วสมาบัติ ๘ เป็นของเล็ก.. เพราะ จรณะ ๑๕ นี่ จบสมาบัติ ๔ แล้ว.. ถ้าได้สมาบัติ ๔ แล้ว เจริญสมาบัติ ๘ ในอรูปฌาน ไม่เกินครึ่งเดือนได้หมด นี่เป็นของง่าย ๆ

ถ้าให้ดีนะ พิจารณาตัวเองด้วย "อัตตนา โจทยัตตานัง" จงเตือนตนเอง.. แต่ว่าการเจริญสมาบัติ ๘ นี่ ยากกว่าการตัดสังโยชน์ ๓ เพราะสังโยชน์ ๓ นี่ ตัดง่าย เว้นไว้แต่ว่า เราจะไม่สนใจกันเท่านั้น..

ดูพวกเราเองนะ ชอบไปออกันที่ร้านค้าไหม.. ชอบไปชุมนุมกันที่นั่นไหม.. ชอบพูดจาปราศัยในการที่ไม่สมควรไหม.. ชอบดูโทรทัศน์ไหม.. ถ้าชอบแบบนี้ ไม่มีทาง เพราะไม่ใช่สมณวิสัยที่จะทำแบบนั้น..."

( จากหนังสือ รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๘ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี )

ขอเชิญฝึกปฏิบัติธรรมในกลุ่ม "นิพพานชาตินี้" ทางออนไลน์
ในหลักพระพุทธศาสนา
ตามปฏิปทาของพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ( วัดท่าซุง)
เพื่อก้าวเข้าสู่พระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป








..เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ไทยของเรา ตามโบราณสืบสืบกันมา ทางพระพุทธศาสนานั้นงานตรุษสงกรานต์เขานิยมรดน้ำดำหัว ทำไมถึงต้องอาบน้ำดำหัวตุ๊เจ้าตุ๊นาย ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย พ่อหม่อนแม่หม่อนก็ดี ทำไมถึงต้องให้คารวะขอขมาโทษ ถ้าเราอยู่ด้วยกันก็ดี เหมือนศรัทธาญาติโยมไปมาหาสู่ตุ๊เจ้าหัววัดนั้นหัววัดนี้ ไปมาหาสู่ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ก็ดี หากได้ล่วงเกินไม่ดีไม่งามด้วยกายวาจาใจ หรือคณะศรัทธาทั้งหลายที่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย พ่อหม่อนแม่หม่อน ปู่ย่าตายาย ทั้งหลายที่อยู่ร่วมกัน บางทีท่านสอนให้อยู่ในคุณงามความดี เกิดเราไปล่วงเกินแสดงความไม่ดีไม่งามทางกายวาจาใจเกิดขึ้นก็เป็นบาปที่ล่วงเกิน
..เหตุฉะนั้น จึงได้มีการอาบน้ำดำหัวเคารพคารวะ ตุ๊เจ้าตุ๊นายก็ดี พ่อแม่ปู่ย่าตายาย พ่ออุ้ยแม่อุ๊ย พ่อหม่อนแม่หม่อน อาก๋งอาม่า ป๊ะป๋าก็ดี ทั้งหลายเหล่านั้น ก็คือว่าที่เราไปมาหาสู่ หากได้แสดงอาการที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้นทางกาย บางทีพูดจาปราศรัยเกี่ยวพันมาถึงครูบาอาจารย์รูปนั้นรูปนี้ ได้พูดผิดพลาดล่วงเกิน ก็เป็นบาปเป็นกรรมเกิดขึ้นทางวาจา บางทีคิดในจิตในใจว่าองค์นั้นองค์นี้..ดีน้อ..ไม่ดีน้อ..พระองค์นั้นองค์นี้ ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ บางทีอาจจะหลงพูดได้ เรียกว่าติติง ก็จะเป็นบาปทางด้านจิตใจถึงได้ต้องอาบน้ำดำหัวตุ๊เจ้าตุ๊นาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เพื่อขอขมาโทษจากท่านลดโทษลดกรรมให้จะได้ไม่มีเวรมีกรรมต่อกันในปีหนึ่งๆ
..ศรัทธาญาติโยมอยู่กับพ่อกับแม่ พ่ออุ้ยแม่อุ้ย พ่อหม่อนแม่หม่อน อาก๋งอาม่า ป๊ะป๋าก็เหมือนกัน บางทีท่านสอนคุณงามความดีให้ เราก็ไปว่าให้ท่านไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ อาจจะพูดคุยกันหรือโต้เถียงเวลาท่านสอนธรรมะ ให้ปฏิบัติตนเป็นคนดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ได้โต้แย้งคำสอนของท่าน ก็ทำให้เราเป็นบาปทางด้านวาจา ที่โต้แย้งเพราะเราไม่รู้จักธรรมะที่แท้จริง บางทีคิดในจิตในใจเรื่องไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้กับพ่อกับแม่หรืออาก๋งอาม่าป๊ะป๋าก็ดี ที่ญาติโยมอยู่ด้วยกัน มันก็จะหลงด้วยกายวาจาใจดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จึงได้ต้องพากันอาบน้ำดำหัวพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย อาก๋งอาม่า พ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย พ่อหม่อนแม่หม่อนก็ดี เพื่อลดโทษลดกรรม ไม่มีเวรมีกรรมให้ท่านอโหสิกรรมให้ และถือโอกาสรับพรปีใหม่ หมดบาปหมดกรรมเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีเวรมีกรรมทั้งกายวาจาใจ ปีใหม่ก็เลยนิยมทำกันอย่างนั้น ก็เลยหมดเวรหมดกรรม
..ทีนี้เราก็ตั้งหลักใหม่ในปีใหม่นี้ เมื่อท่านได้ให้พรและอโหสิกรรมเราแล้ว เราก็ตั้งตัวใหม่อะไรที่ไม่ดีไม่งาม จะเป็นบาปเป็นกรรมก็สำรวมระวังเอาไว้ เวลาพูดจาปราศรัยกับท่านก็ดี ท่านพูดอะไรให้ฟัง ก็รับฟังอย่าพึ่งไปโต้แย้งคำพูดของท่าน เราก็รักษาตนเองได้ ต้องคิดว่าพ่อแม่เป็นผู้มีอุปการคุณ มีบุญมีคุณกับลูกกับหลานทั้งหลาย รวมไปถึงปู่ย่าตายาย พ่อหม่อนแม่หม่อน ตุ๊เจ้าตุ๊นายก็ดี ครูบาอาจารย์ทั้งหลายผู้มีบุญมีคุณแก่เราเราก็ไม่ไปลบหลู่บุญคุณของท่าน ให้สำรวมระวังตนเองเอาไว้ เป็นคนมีคุณธรรมมีคุณงามความดีเป็นเครื่องประดับตนเอง
..ปีหนึ่งๆเราได้อาบน้ำดำหัวเคารพคารวะท่านแล้วเราก็จะได้สบายใจ เราจะได้ไม่มีบาปมีเวรมีกรรมกับท่านหรือใคร ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น หาทางไปอยู่ใกล้ชิดกับท่านทั้งพ่อแม่และครูบาอาจารย์ องค์นั้นองค์นี้ วัดนั้นวัดนี้ เราก็จะตั้งใจว่าไปขอขมาโทษ เพื่อลดโทษลดกรรมด้วยกายวาจาใจ ก็จะได้สบายใจว่าได้ทำแล้วก็จะทำให้มีความสุข ดังนั้นทุกคนก็ควรได้ประพฤติปฏิบัติความดีอันนี้ ที่เป็นจารีตประเพณีอันดีงามของชาวไทยเรา ชาวพุทธที่เคารพบุคคลที่มีบุญมีคุณมีอุปการคุณ เรามีพ่อมีแม่เหมือนกันหมด เราไม่ได้เกิดมาจากโพรงไม้ เราเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ที่มีบุญคุณกับเรา..
..เหตุฉะนั้นเราก็ได้ขออโหสิกรรม เราก็สบายเราก็มีความสุขใจ เหตุฉะนั้นก็ขออำนวยอวยพรให้ทุกท่าน ในวาระดิถีปีใหม่ที่ได้มาอาบน้ำดำหัวนี้ มีความประสงค์สิ่งใดปรารถนาอะไรเอาไว้ในใจ ก็ขอให้ศรัทธาญาติโยมสมความมุ่งมาดปรารถนา ที่ตนเองตั้งสัจจะเอาไว้ด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ..ขอเจริญพร..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่









..บางคนนั้นมีดวงตาแจ่มใส ตาสว่างไสวตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนถึงเฒ่าถึงแก่ ก็เพราะผลบุญอะไร ก็เพราะได้ทานประทีปโคมไฟส่องแสงสว่าง เรียกว่าเหมือนได้ทานดวงตา ตั้งแต่เล็กจนถึงใหญ่ ไม่ได้ใส่แว่นตาก็เพราะอะไร ก็เพราะบุญกุศลที่ได้เคยทำบุญถวายธูปเทียน เครื่องส่องแสงสว่างเอาไว้ เหมือนพวกเราถวาย เครื่องแสงสว่างไฟฟ้านี้ก็ดี ก็จะขจัดความมืดออกไป ความมืดก็เหมือนกับกิเลส อยู่ในที่มืดไม่สว่างไสว เมื่อเราจุดไฟฟ้าขึ้นมา มันก็กำจัดความมืดออกไป เราก็ได้อานิสงส์อันนั้น ทำให้ดวงตาแจ่มใสมองเห็นถี่ เห็นใกล้เห็นไกลเห็นชัด บางบุคคลนั้นอายุ 90 กว่าปีแล้ว อ่านหนังสือพิมพ์ได้สบ้ายสบาย ไม่ต้องใส่แว่นตาเลย เพราะอะไร เพราะบุญกุศลอำนวยผลเป็นผู้ที่มีดวงตาแจ่มใส มองเห็นใกล้ไกลเห็นชัด..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อแม่แตง จ.เชียงใหม่


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO