นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 02 พ.ค. 2024 7:59 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บุญ และ บาป
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 30 ม.ค. 2024 4:28 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4545
” วันนี้คงจะกระจ่าง “

… ถ้าไม่ต้องการให้มีอารมณ์มากระทบกับจิต ไม่มารบกวนความสงบของจิต รบกวนอุเบกขา จะรักษามันได้อย่างไร เราได้มาจากสมาธิแล้ว แต่จะถูกทำลายด้วยความหลงความโลภความโกรธ ถ้ายังมีความหลงอยู่ ก็ยังจะกระทบกระเทือนจิตใจได้ ถ้าเรารู้ทันว่าเป็นไตรลักษณ์ เรายอมรับ เรารู้ล่วงหน้าแล้วว่า มันจะต้องเป็นอย่างนี้ พอมันเป็นขึ้นมาเราก็นิ่งเฉยได้

.นั่นแหละที่สอนให้พิจารณา พอไม่พิจารณานี่ เหมือนกับลืมไปว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ พอเป็นขึ้นมาก็จะรับไม่ได้ ตอนต้นเราทำสมาธิ สมาธิก็ระงับดับสิ่งที่มากระทบกับจิตได้ชั่วคราว พอออกจากสมาธิ ก็กลับเป็นเหมือนเดิม พอได้เห็นอะไรได้ยินอะไรสัมผัสอะไร ก็จะกระทบใจ เพราะใจยังไปรับมาเป็นอารมณ์อยู่


.ถ้าพิจารณาจนเห็นเป็นไตรลักษณ์ ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่ได้เป็นตัวตน เป็นแค่ดินน้ำลมไฟ เราก็จะเฉยๆ เพราะไม่ได้ไปยึดไปติดว่าเป็นของเรา หรือให้ความสุขกับเรา ถ้ายังมองว่าจะให้ความสุขกับเรา เป็นของเรา ก็จะมีอารมณ์กับสิ่งนั้นทันที พอคิดว่าจะต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป ใจก็เศร้าขึ้นมาทันที ร่างกายของเราทุกคนนี้เป็นเหมือนกันหมด แต่ทำไมเราจึงเสียใจเฉพาะของคนบางคน คนที่เราไม่ได้มีความผูกพันด้วย เราไม่มีอารมณ์อะไรกับเขา เขาจะเป็นอะไรเราก็เฉยๆได้ แต่คนที่เราให้ความสำคัญนี่ เราเฉยๆไม่ได้

.ปัญหาอยู่ที่ไหน อยู่ที่ไปให้ความสำคัญกับเขา เพราะอะไร เพราะเราโง่ใช่ไหม เราหลงสมมุติใช่ไหม สมมุติว่าเขาเป็นพ่อเรา เป็นแม่เรา ทำไมไม่ดูว่าเป็นเพียงร่างกาย กายเขากายเราเป็นกายเหมือนกัน ดินน้ำลมไฟเหมือนกัน ตายเหมือนกัน ถ้ากายนั้นตายเราไม่รู้สึกอะไร แล้วกายนี้ตายจะไปรู้สึกอะไรทำไม มันก็กายเหมือนกัน ลองถามตัวเองดู ไล่ไปอย่างนี้ ไล่หาเหตุหาผลไป ก็จะสรุปลงว่า เราไปแยกแยะเอง ไปหลงสมมุติ สมมุติที่แยกแยะว่า อันนี้เป็นของเรานะ อันนี้ไม่เป็นของเรา ถ้าไม่ใช่ของเรา เราไม่เดือดร้อน ถ้าเป็นของเรานี้ ใครแตะไม่ได้ แต่ความจริงธรรมชาติไม่ว่าเป็นของใครทั้งนั้น ถึงเวลาเขาเอาไปหมด เขาขอคืนหมด ของเขาๆก็เอาไป ของเราเขาก็เอาไปเหมือนกัน


.เราต้องเอาจินตมยปัญญามาเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญามี ๓ ขั้น ที่พูดให้ฟังนี้ก็เป็นสุตตมยปัญญา ถ้าเอาไปคิดต่อก็เป็นจินตมยปัญญา ถ้าพิจารณาทุกลมหายใจเข้าออกก็เป็นภาวนามยปัญญา คิดทุกลมหายใจเข้าออกเลย จนปลงได้ปล่อยได้ ไม่กังวลกับเขาแล้ว ทีนี้ก็หยุดพิจารณาได้แล้ว เราไม่กังวลแล้ว ไม่ต้องพิจารณาก็ได้แล้ว เพราะรู้ว่าไม่มีปัญหากับเขาแล้ว ต้องไปถึงตรงนั้นให้ได้ พอถึงตรงนั้นแล้วก็จะสบาย พอเสร็จแล้วก็ไม่ต้องพิจารณาอีกต่อไป เรียนจบแล้ววิชานี้ เอาเรื่องอื่นต่อ

.คนนี้หมดปัญหาไปแล้ว เอาคนอื่นมาพิจารณาต่อ หรือจะพิจารณาพร้อมกันหมดเลยก็ได้ ร่างกายของคนทุกคนเป็นเหมือนกันหมด เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นหญิงเป็นชาย เป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก เป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อน เป็นใครก็ตาม เป็นเหมือนกันหมด พิจารณาให้ครอบไปหมดเลย แล้วก็กลับมาพิจารณากายเราด้วย กายนอกก็คนอื่น กายในก็กายเรา ไม่ใช่เห็นแต่คนอื่นตายไปหมด แต่ไม่เห็นตัวเราจะต้องตายด้วย พอรู้ว่าจะต้องตายจะทำใจไม่ได้ พิจารณาทั้งกายนอกทั้งกายใน เพื่อตัดความทุกข์ความวุ่นวายใจ เท่านั้นเอง ไม่ได้ไปฆ่าเขา ไม่ได้ไปสาปแช่งให้เขาตาย บางคนคิดว่าพอไปคิดว่าเขาจะตายนี้ เหมือนไปสาปไปแช่งเขา ไม่ใช่ เป็นการสอน เป็นการเรียนธรรมชาติของร่างกายนี้ ว่าเป็นอย่างไร ร่างกายนี้มีแก่เจ็บตาย เป็นอสุภะ เป็นปฏิกูล ไม่สวยงาม เพื่อจะได้คลายความหลง คลายความทุกข์กับร่างกายเท่านั้นเอง


.ความจริงเราก็คิดกันอยู่บ้างแล้ว แต่ยังไม่เป็นภาวนามยปัญญา ภาวนาคือการเจริญอยู่เรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง เช่นเดินจงกรมก็พิจารณา พอเหนื่อยก็หยุดพิจารณา มาทำจิตให้สงบพักเอาแรงก่อน พอจิตถอนออกมาแล้ว ก็พิจารณาใหม่ พิจารณาไปเรื่อยๆ แต่คงจะทำกันไม่ได้ เพราะต้องเอาจิตไปทำอย่างอื่น ถ้าเป็นรถจะเอาไปวัดทุกวันก็ไม่ได้ เพราะต้องไปโรงพิมพ์ ต้องไปซื้อกับข้าวซื้อข้าวซื้อของ จิตก็เป็นเหมือนรถ ต้องทำหลายอย่าง ถ้าไม่อยากให้ทำหลายอย่างก็ต้องบวช ถ้าบวชแล้วก็ทำอย่างเดียว ไม่ว่าจะทำกิจอะไร ก็สามารถพิจารณาไปได้เรื่อยๆ ปัดกวาดก็พิจารณาได้ บิณฑบาตก็พิจารณาได้

.ถ้ายังต้องทำมาหากินก็ต้องคิดมาก มีลูกน้องมีลูกจ้าง มีรายรับรายจ่าย มีภาษีต้องเสีย ก็จะไม่มีเวลาภาวนา ไม่เกิดวิปัสสนา รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมา อย่างมากพอว่างตอนไหนก็ได้แค่มีสติดูจิต เพราะคิดมามากแล้ว ไม่อยากจะคิดอะไร อยากจะพักจิตมากกว่า ก็จะอยู่แค่ระดับสมาธิ พอออกจากสมาธิก็ไปทำงานทางโลกต่อ เพราะยังมีภาระทางโลกที่จะต้องทำอยู่ นอกจากเราฉลาด ในขณะที่ทำภารกิจทางโลก ก็เอาธรรมะสอดแทรกไปเรื่อยๆ ว่ามันไม่เที่ยงนะ เดี๋ยวก็จบ เดี๋ยวก็ตาย ถ้ามีสอดแทรกไปเรื่อยๆ ก็พอจะมีธรรมะ อาจจะเป็นภาวนามยปัญญาก็ได้ อย่างพระราชบิดาของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้บวช ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ แต่บรรลุตอน ๗ วันก่อนที่จะเสด็จสวรรคต วันนั้นท่านคงจะเห็นร่างกายไม่เที่ยงจริงๆ คงจะพิจารณาอย่างเต็มที่เลย จนปล่อยวางได้เลย


.ถ้าไม่คิดในทางไตรลักษณ์ จะไม่มีทางเกิดปัญญาได้เลย ไม่มีทางที่จะตัดกิเลสได้เลย ไตรลักษณ์เป็นอาวุธสำคัญที่สุดของพระศาสนาเลย ไม่มีในศาสนาอื่น ศาสนาอื่นอาจจะเห็นทุกข์ อาจจะเห็นอนิจจาความไม่เที่ยง แต่ไม่เห็นอนัตตา ไม่มีใครเห็น มีแต่พระพุทธเจ้าที่เห็น เพราะพระพุทธเจ้าทรงเห็นจิต เห็นว่าจิตกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน ร่างกายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ร่างกาย ถ้ายังหลงว่าจิตเป็นเรา ก็ต้องแยกความหลงออกจากจิต จิตก็ไม่ใช่เป็นเรา จิตก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เป็นธาตุรู้ สรุปแล้วไม่มีเรา เราเป็นสมมุติ ที่อวิชชาความหลงสร้างขึ้นมา พอมีเรามันก็มีอุปาทานยึดติด มีตัณหาความอยากตามมา ถ้ารู้ว่าใจไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องมีอะไร ก็จะคลายความโลภความอยากได้


.วันนี้คงจะกระจ่างเรื่องสมาธิกับปัญญา ถึงแม้จะไม่มีสมาธิเราก็พิจารณาไปก่อนบ้างก็ได้ เป็นการฝึกไปก่อน ให้เป็นนิสัย ถึงแม้จะไม่ได้ผลมาก ก็ยังได้ประโยชน์บ้าง เพราะปัญญาก็อบรมสมาธิได้ ถ้าบริกรรมไม่ถูกจริตกับเรา สวดมนต์ไม่ถูกจริต ดูลมหายใจไม่ถูกจริต ก็พิจารณาเรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาไป ก็ทำให้จิตสงบได้ แล้วแต่จริตของแต่ละคน บางเวลาจิตอาจจะชอบแบบนี้ บางเวลาอาจจะชอบแบบนั้นก็ได้ จิตเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ เหมือนกับกินอาหารจานโปรด ถ้ากินทุกวันก็จะเบื่อได้ ก็อยากจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ถ้าภาวนาพุทโธแล้วรู้สึกไม่ค่อยได้เรื่อง ลองพิจารณาธรรมบ้างก็ได้ ว่าเราเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย คนอื่นก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกัน ขอให้นำไปปฏิบัติ.

…………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๑๓ กัณฑ์ที่ ๓๘๒
วันที่๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑






"..ธรรมอยู่ที่ใจนั่นแล ต่อไปท่านจงรักษาระดับจิตระดับความเพียรไว้ให้ดีอย่าให้เสื่อมได้ นั่นแลคือฐานของจิต ฐานของธรรม ฐานของความเชื่อมั่นในธรรม และฐานแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่นั่นแล จงมั่นใจและเข้มแข็งต่อความเพียรถ้าอยากพ้นทุกข์ การพ้นทุกข์ต้องพ้นที่นั่นแน่นอนไม่มีที่อื่นเป็นที่หลุดพ้น อย่าลูบคลำให้เสียเวลา เรามิใช่คนตาบอดพอจะลูบคลำ.."

พระครูวินัยธร(หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ. สกลนคร(พ.ศ.๒๔๑๓-๒๔๙๒)ที่มาจากหนังสือชีวประวัติของหลวงปู่ขาว อนาลโย







"... สัตว์โลกย่อมเป็น ไปตามกรรมดี
กรรมชั่วที่ตนทำไว้ คนดี..ถึงจะทำตัว
เป็นใบ้ ใครก็รู้ ถึงจะหลบหลีกปลีกตัว
อยู่ถ้ำ ภูเขา
... ถึงแม้มนุษย์ไม่รู้ เทวดาก็บอกเอง
กลิ่นของศีลย่อมฟุ้งขจรขจาย ไปทั่วทิศ
เป็นนิมิตรหมาย ของคนดี ..."
____________________
#หลวงปู่ขาว_อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู




.." #โลกเขายิ่งเจริญมากเท่าไหร่
นั่นล่ะเครื่องมือกำลังของกิเลส
เขายิ่งมีกำลังมากเท่านั้น

...เขาสามารถที่จะดึงจิตดึงใจของสัตว์โลกทั้งหมด อยู่ใต้อำนาจของเขา สัตว์โลกทั้งหมดนี่ไม่สามารถที่จะประมาณเอาได้ เพียงแต่มนุษย์นี่ สามารถที่จะประมาณเอาได้ เพราะเดี๋ยวนี้โลกมันแคบ โลกมันกว้างเท่าเดิมแต่ทีนี้ ความเจริญของโลกนี่มันทำให้โลกแคบ จนสามารถที่จะประมาณได้ คนในโลกนี่มีจำนวนใกล้เคียงเท่าไหร่ ถ้าหากว่าบวกสัตว์อื่นๆเข้าไปนี่ ไม่สามารถที่จะคำนวณได้ว่ามีเท่าไหร่

...แต่สัตวฺโลกจะมากมายขนาดไหนเพียงไรก็ช่างเถอะ อยู่ใต้อำนาจอยู่ในกำมือเขาหมด กิเลสเขามีอำนาจถึงขนาดนั้น

...มีแต่พระพุทธเจ้า มีแต่พระอรหันตสาวกเจ้าเท่านั้น ที่พ้นจากอำนาจกิเลสไปได้ ทำไมท่านจึงพ้นได้เล่า เพราะท่านมีความพากความเพียร เพราะท่านมีความพยายาม การทำความเพียรของท่านทำจริงๆ การปฏิบัติธรรมของท่านก็ปฏิบัติจริงๆ ไม่ได้ปฏิบัติเล่นๆ ไม่ได้ปฏิบัติเป็นพิธี ทุ่มเทเอาชีวิตเข้าแลกจริงๆ

...เรียกว่า ทำจริงๆ ทำเพื่อมรรคเพื่อผล ทำเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ ในเมื่อท่านทำเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคเพื่อผลจริงๆ อรรถธรรมมรรคผลท่านก็ได้ เพราะท่านทำเพื่ออันนั้นจริงๆ "
______________________________________________

พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร












คนที่จะไม่เกิดต้องทำอย่างไร...
1.รักษาศีลให้บริสุทธิ์
2.รักษาสมาธิให้ตั้งมั่น
3.ปลงสังขารไว้ว่า...โลกทุกโลกเป็นแดนของความทุกข์
สังขารทุกสังขารเป็นแดนของความทุกข์
คนเราจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ก็ไม่พ้นทุกข์
ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
หรือสัตว์เดรัจฉานอยู่ดี เราไม่ต้องการโลกทั้ง 3 ประการ
และไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ขึ้นชื่อว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี
พรหมโลกก็ดี ไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา สิ่งที่เราปรารถนาจริงๆก็คือ พระนิพพาน

หลวงปู่ปาน โสนันโท






“ ธรรมจาก ผู้รู้จริงเห็นจริง ”

การที่เราจะได้ธรรมะที่วิเศษนี้ เราต้องได้ฟังจากคนที่ เป็นผู้ที่ได้ใช้ธรรมะนี้
มารักษาใจให้หายจากความทุกข์ต่างๆ แล้ว ถึงจะเป็นคนที่จะบอกวิธีใช้ธรรมะ
ให้มากำจัดความทุกข์ของเราได้ อย่างถูกต้องแม่นยำ แล้วถ้าเรานำเอาไปปฏิบัติ เราก็จะสามารถ กำจัดความทุกข์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจ ให้หมดสิ้นไปได้เลย

ถ้าเราไปได้ยินได้ฟังคำสอน
ของผู้ที่ยังไม่ได้กำจัดความทุกข์ต่างๆ
ให้หมดไปจากใจ เราจะไม่ได้ยินคำสั่งคำสอนที่ถูกต้อง ที่จะเอามากำจัดความทุกข์ภายในใจของพวกเราได้ เพราะผู้ที่สอนเอง ยังไม่สามารถกำจัดความทุกข์ภายในใจของตนได้ จะไม่สามารถสอนผู้อื่น ให้กำจัดความทุกข์ต่างๆ ที่มีอยู่ในใจให้หมดไปได้

"นี่ก็คือการได้ยินได้ฟังธรรมจาก ผู้รู้จริงเห็นจริง“.

ธรรมะบนเขา 2/10/2561
ณ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี







“สิ่งนั้น” เป็น “โลกุตระธรรม” อันนั้นเป็น “ปัจจัตตัง”
“อันผู้รู้” ก็รู้ได้ “เฉพาะ” “เจ้าของ”
“ประกาศไม่ได้”
“ผู้รู้" ธรรม” ก็เป็น “ธรรม” อันที่รู้มันก็เป็น “ธรรม”
เป็นอยู่อย่างนี้ เป็นอย่าง “เสรี” เป็น “หนึ่ง” เสียแล้ว
“ธรรม” อันนี้จึง “ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่น้อย ไม่ใหญ่ ไม่หนัก ไม่เบา ไม่สั้น ไม่ยาว ไม่ดำ ไม่ขาว
ไม่มีเรื่องเปรียบเทียบ ไม่มีเรื่องเอามาเปรียบ “สมมุติอะไรๆ เข้าไม่ถึง” เข้าไม่ถึงที่นั่น
ฉะนั้นเมื่อ “พ้น” จากสิ่ง “เหล่านี้” แล้ว ไม่มีเรื่อง “เหล่านี้” ตามไปถึง จึงกล่าวว่า “สิ่งนั้น” เป็น “โลกุตระ” “ธรรม” อันนั้นจึงว่าเป็น “ปัจจัตตัง” “อันผู้รู้” ก็ได้ “เฉพาะ” “เจ้าของ”
“ประกาศไม่ได้”
มีแต่ ให้ “อุบาย” ผู้ที่ “เข้าไปถึง” แล้ว “ก็แล้ว” จะเอา “สมมุติบัญญัติ” มาพูด ไม่ได้ มันหมด มันหมดสิ้น

หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี






สิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าจะไม่มี
สายลมถึงมองไม่เห็น แต่ก็มีอยู่จริง
บุญ บาป...ก็เหมือนสายลม
อยู่รอบๆตัวเราของเสมอ

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ






คนที่จะฟังธรรมได้นั้น มี 3 ประเภท
1. ต้องเป็นมนุษย์ที่มีความทุกข์เเล้ว
2. อยากพ้นทุกข์แล้ว
3. บารมีแต่ชาติปางก่อนได้มาถึงแล้ว

สมเด็จโต พรหมรังสี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO