นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 02 พ.ค. 2024 2:42 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ธรรมชาติของจิตใจ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 26 ม.ค. 2024 5:32 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4546
วิธีต่ออายุคือให้ปล่อยสัตว์ที่จะถูกฆ่าเดือนละสองตัวทุกเดือน เก็บเงินไว้ทุกวันตั้งใจไว้ว่าเงินนี้จะนำไปซื้ออาหารถวายพระสงฆ์ พอเงินมีพอสมควรแล้วก็นำไปถวายสงฆ์แจ้งความจำนงไว้ตามนั้น

การถวายอาหารพระสงฆ์มีอานิสงส์พิเศษคือได้สืบต่ออายุให้พระพุทธศาสนา ถ้าพระสงฆ์ไม่มี พระพุทธศาสนาก็ดำรงคงอยู่ไม่ได้

ตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ
วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่
อ.ลี้ จ.ลำพูน






.หลับตาดูซิเราจะเห็นอีกจักรวาลหนึ่ง จักรวาลภายใน เวลานั่งภาวนา ถ้าไม่รับรู้ทางอายตนะเลย แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่รับรู้ เราจะเห็นว่าใจนี้เป็นอีกจักรวาลหนึ่ง

.อันนี้แหละที่เป็นไตรภพ มันอยู่ในนี้ นรกสวรรค์ก็อยู่ในจักรวาลภายในนี้ แต่เรามองไม่เห็นกัน ที่เขาว่านั่งภาวนาแล้วไปเห็นนรกเห็นสวรรค์ ก็เห็นอย่างนี้

.เวลาที่ใจรุ่มร้อนเราก็ไปนรกแล้ว เวลาที่ใจสงบเย็นเราก็ไปสวรรค์แล้ว มีความสุขเราก็ไปสวรรค์แล้ว แต่เป็นความสุขที่เกิดจากทำความดี

.ไม่ใช่ความสุขจากการไปเที่ยว นั่นเป็นนรกที่เคลือบด้วยสวรรค์ มันเป็นสวรรค์เดี๋ยวเดียว พอกลับมาบ้านก็กลายเป็นนรกทันที บ้านจึงเป็นสถานที่ไม่น่าอยู่เลย

.ทั้งๆที่บ้านควรจะเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ที่สุด กลับเป็นสถานที่ที่น่าเบื่อ ที่จะต้องหนีออกไปอยู่เรื่อยๆ

.พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ เพื่อให้เข้าสู่จักรวาลภายใน ให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ พระอริยเจ้าพระพุทธเจ้าก็อยู่ในใจของเรานี่ เป็นของเราอย่างแท้จริง.

…………………………………………
.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี

จุลธรรมนำใจ ๑๓ กัณฑ์ที่ ๓๘๐
วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๑






เปรต คือพวกที่ไม่ทำบุญ แต่ทำบาป เวลาตายไปก็ไม่มีทรัพย์ภายในติดตัว แต่จะมีบาปติดตัวไป ก็เลยต้องไปเป็นเปรต ต้องไปรอขอทานขอรับส่วนบุญส่วนกุศลจากผู้ที่มีชีวิตอยู่ อย่างพวกเราเวลาทำบุญ เราก็จะอุทิศบุญกุศลให้ผู้ที่จะรับบุญอุทิศได้ก็มีพวกเปรตนี้เท่านั้น พวกอื่นเขารับไม่ได้ ถ้าไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ก็หากินเองได้ ถ้าเป็นมนุษย์ ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นเทวดาก็มีทรัพย์ภายในมากจนไม่จำเป็นจะต้องมาเป็นขอทาน มาขอทรัพย์ภายในจากผู้อื่น

พวกเปรตนี้เวลามีชีวิตอยู่ ไม่ชอบทำบุญ ชอบทำแต่บาป โลภมาก ถ้ามาวัดก็เอาของมานิดหนึ่ง แต่ขากลับนี้เอาของเต็มปิ่นโตกลับไป อย่างนี้ลักษณะ ของพวกเป็นเปรตเข้าใจไหม คือ เอาแต่ได้อย่างเดียว แล้วเอาโดยวิธี ไม่ถูกต้องคือไปโกงเขา ไปขโมยของๆเขา คนมาวัดนี้ถ้าเอาของกลับ จะเอาไปได้ถ้าเป็นของที่วัด ให้แล้วพระให้แล้ว อย่างนี้ไม่เป็น เปรต เป็นเปรตก็ต่อเมื่อเขา ไม่ได้ให้แล้วก็ไปหยิบของๆเขา ไปแย่งของคนอื่นเขา อย่างนี้ ถึงจะไปเป็นเปรต

นี่คือลักษณะของเปรต แต่ถ้าทำบุญทำทาน รักษาศีล รับรองได้ว่าเมื่อตายไป ไม่ไปเป็นเปรตอย่างแน่นอน ไปเป็นเทวดาร้อยเปอร์เซ็นต์ อานิสงส์ของผู้ที่ ได้ทำบุญ ไม่ทำบาป ตายไปก็ได้กลับมา เป็นคนร่ำคนรวย มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผ่องใส มีอาการครบ ๓๒ มีร่างกาย สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีอายุ ยืนยาวนาน

นี่คืออานิสงส์ที่เกิดจากการทำบุญ ไม่ทำบาป เกิดจากการได้ศึกษาได้ยินได้ฟังพระธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ เรื่อยๆ ฟังแล้วก็จะได้เอาไปปฏิบัติ การฟังนี้เป็นการศึกษาแนวทาง ศึกษาวิธีที่จะพาให้เราไปสู่จุดหมายปลายทางของพวกเรา พอฟังแล้วเราต้องปฏิบัติด้วย

ถ้าเราอยากจะไปสวรรค์ก็ทำบุญ รักษาศีล ถ้าอยากจะไปสวรรค์ ชั้นพรหมก็ต้องรักษาศีล ๘ แล้วกนั่งสมาธิทำใจให้สงบ ถ้าอยากจะไปพระนิพพานก็ต้องเจริญปัญญา ต้องพิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ ให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก นี้เป็นไตรลักษณ์ พิจารณาทุกสิ่ง ทุกอย่างว่าไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์ เพราะ มันจะต้องจากเราไปสักวันหนึ่ง ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้วเราจะไม่อยาก มีอะไรไม่อยากได้อะไร พอไม่มีอะไรไม่อยากได้อะไรก็จะไม่มี ความทุกข์ จะมีความสุขไปตลอด

นี่คือการศึกษาของพระพุทธศาสนา คือสอนให้เรารู้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง แล้วถ้าเรานำเอาไปปฏิบัติ เราก็จะได้รับผล อย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้รับอย่างแน่นอน

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะในศาลา ธรรมะระดับชาวบ้าน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี





“ร่างกาย กับคุณความดี
แตกต่างกันไกลลิบลับ
เพราะร่างกายสลายไปทุกขณะ
ส่วนคุณความดีดำรงอยู่ชั่วกัลป์”

หลวงปู่ศรี มหาวีโร




“สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้ว เลยมาแล้ว
เราไม่สามารถไปตัด ไปปลงมันได้อีกแล้ว
สิ่งที่เราทำไปนั้น ถ้ามันดี มันก็ดีไปแล้ว
ผ่านไปแล้ว พ้นไปแล้ว ถ้ามันชั่ว
มันก็ชั่วไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เช่นกัน

อนาคตยังมาไม่ถึง สิ่งที่ยังไม่มาถึง
เราก็ยังไม่รู้เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไร
อย่างมากก็เป็นแต่เพียงการคาดคะเนเอาเอง
ว่าควรเป็นยังงั้น เป็นยังงี้ ซึ่งมันอาจจะเป็น
ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดคะเนก็ได้

ปัจจุบัน คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราได้เห็นจริง
ได้สัมผัสจริง เพราะฉะนั้น ความดีต้องทำในปัจจุบัน
ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี ต้องทำเสียในปัจจุบัน
ที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องการความดี ก็ต้องทำ
ให้เป็นความดีในปัจจุบันนี้ ต้องการความสุข
ต้องการความเจริญ ก็ต้องทำให้เป็นไปในปัจจุบันนี้”

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ





“ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเอง
เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่า... อย่าทำ”

หลวงปู่ไม อินทรศิริ




“อยากให้ชีวิตง่ายขึ้น อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น
ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น
๙๐% ดูตัวเองแค่ ๑๐% คือคอยดูแต่ความผิด
ของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น

กลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ ๑๐%
ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น
คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ
ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง ๙๐% จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่

ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
โบราณพูดว่า เรามักจะเห็นความผิดของคนอื่น
เท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม
มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย
เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ

เห็นความผิดของคนอื่นให้หารด้วย ๑๐
เห็นความผิดตัวเองให้คูณด้วย ๑๐
จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม”

หลวงปู่ชา สุภทฺโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO