นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 12:40 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: โลภ โกรธ หลง
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 23 ก.ย. 2023 7:25 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4546
"โลภ โกรธ หลง เป็นไฟท่านให้ละ
มันลุกขึ้นเอาขี้ฝอยเชื้อไฟไปใส่
ก็ไม่ลุก ใครอยากว่าอะไรก็ช่างเขา
สมมติเขาว่าเราไอ้หมา ไอ้สุนัข
ลองจับดูหางเราไม่มี
ก็จะไปโกรธเขาทำไม
เขาทำไม่ดีกรรมก็ย้อนหาเขาเองแหละ
การยึดมั่นถือมั่นมันหนัก
เหมือนเรายกก้อนหิน ถ้ามันหนัก
เราไม่วางมันก็หนักตลอด"

หลวงพ่อสมบูรณ์ กนฺตสีโล








..ศีลเป็นพื้นฐานของบุคคลที่จะทำสมาธิให้จิตใจสงบได้ดี เราก็ต้องมองศีลของตนเองว่าศีล 5 ศีล 8 ของเราที่ได้สมาทานไปแล้วนั้นว่าบริบูรณ์ดีหรือไม่ จิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน เวลานั่งสมาธิก็ดีทำจิตใจให้สงบได้ง่าย เพราะมีศีลเป็นเครื่องอุดหนุน เมื่อมีสมาธิแล้วก็สร้างปัญญาให้เกิดขึ้น ให้รู้ว่าอานิสงส์ของศีลนั้นเป็นยังไง อานิสงส์ของการทำบุญทำทานการกุศลทั้งหลายเป็นอย่างไร การปฏิบัติทั้งหลายให้รวบรวมลงมาอยู่ที่สมาธิ คนที่มีปัญญานั้นเองจึงสามารถทำงานการกุศลได้ รักษาศีลได้ เป็นผู้มีสติปัญญา
..แม้ว่าเราจะรักษาศีลไว้วันหนึ่งกับคืนหนึ่งก็ตาม ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่รักษาศีลเลยสักข้อ เหตุฉะนั้นเราจะรักษาได้เท่าใดข้อ ตามกำลังความสามารถของตนเองที่รักษาได้ เป็นส่วนตัวของใครของมันไม่สามารถรักษาแทนกันได้ เหตุฉะนั้นเมื่อเราได้รักษาแล้ว เราก็จะอบอุ่นใจว่า เอ..เรานี้ได้สมาทานตั้งใจรักษาศีลเป็นผู้บริสุทธิ์ หากมีอะไรเกิดขึ้นหรือล่วงลับดับไปก็ดี ผู้ที่ได้ถือศีลแค่งูแลบลิ้นแปล้บเดียวก็สามารถไปสู่สุคติได้..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่







..." ควรเป็นผู้หนักแน่นในเหตุผลซึ่งเป็นเรื่องของธรรมแท้ ไม่ควรปล่อยให้ความอยากที่คอยผลักดันอยู่ตลอดเวลาออกมาเพ่นพ่านในวงปฏิบัติ จะมาทำลายธรรมอันเป็นแนวทางที่ถูก และเป็นแบบฉบับแห่งการดำเนินเพื่อความพ้นทุกข์ จะทำให้ทุกสิ่งที่มุ่งปราถนาเสียไปโดยลำดับ "

จากประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี







หญิงนักภาวนาชาวกรุง

หลวงตากล่าวถึงสตรีท่านหนึ่ง เธอใช้ชีวิตที่ไม่แตกต่างอะไรจากคนทำงานทางโลกทั่วไป เนื่องจากมีครอบครัวมีบุตรธิดาถึง 3 คน ยิ่งกว่านั้นยังมีภาระหน้าที่การงานที่จะต้องบริหารและรับผิดชอบ แต่ด้วยจิตใจที่รักและเห็นคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงของงานด้านจิตตภาวนา เธอจึงพยายามเจียดเวลาเพื่อเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง ฝึกสติอบรมปัญญาไปพร้อมๆ ควบคู่กับการงานโดยมิยอมให้เสียงานทางโลกแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ความคิดความอ่านในหน้าที่การงานดีขึ้นแจ่มชัดขึ้นอีกด้วย เพราะเต็มพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ ความคิดความอ่าน... จึงไม่วู่วามตามอารมณ์หรือตามความฟุ้งซ่านส่ายแส่ของจิตใจ เหมือนในขณะที่ยังควบคุมจิตได้ไม่ดีพอ

เธอปฏิบัติเช่นนี้ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอมาหลายปีด้วยความพากเพียร กระทั่งเห็นผลแห่งการปฏิบัติพอเป็นแรงจูงใจให้เพียรยิ่งๆ ขึ้น ครั้งหนึ่งเธอมีโอกาสได้เข้ากราบสนทนาธรรมกับหลวงตา ที่สวนแสงธรรม ในคราวท่านลงไปกรุงเทพฯ และได้เล่าผลอัศจรรย์ของจิตที่เกิดจากจิตตภาวนาถวายหลวงตา เป็นที่รื่นเริงในธรรมทั้งอาจารย์และศิษย์

กาลผ่านไป เมื่อหลวงตาท่านกลับวัดป่าบ้านตาด อุดรธานีแล้ว ตอนเช้าวันหนึ่ง ปลายปี พ.ศ. 2538 หลังจังหัน หลวงตาท่านแสดงธรรมได้ระยะหนึ่ง เนื้อธรรมที่แสดงนั้นได้ไปสัมผัสกับเรื่องที่ท่านได้สนทนากับสตรีท่านนี้ ท่านจึงได้เมตตาเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า มีพยานแล้ว ดังคำเทศน์ต่อไปนี้

"...พอพูดอย่างนี้ ก็ไปสัมผัสเรื่องหญิงคนหนึ่ง แกภาวนาอยู่ตามประสีประสาของแก สุดท้ายเอาจริงเอาจัง... เป็นเข้าจริงๆ เวลาเป็นเข้าจริงๆ แล้วเห็นโทษของกิเลสนี้ แหม... แกว่าอย่างนั้นนะ

ทำไมมันถึงร้ายแรงเอานักหนากิเลสนี่ รุนแรงมาก ทั่วสามแดนโลกธาตุกิเลสขยำคน

ฟังซิ แกไม่ได้เรียนนะ แกไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนทางอรรถทางธรรม ออกจากภาคปฏิบัติล้วนๆ

มองไปที่ไหนดูมีแต่กิเลสขยี้ขยำหัวสัตว์โลกเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่ามนุษย์ ไม่ว่าชาติขั้นวรรณะใด มีแต่กิเลสขยำเอาโงหัวไม่ขึ้นเลย สลดสังเวช บางทีก็กระซิบบอกเพื่อนฝูงบ้าง บางคนพวกคลังกิเลสมันก็ไม่พอใจสุดท้ายจะทำภาวนาก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปทำอยู่ตามป่าตามอะไร เพราะทำงาน อยู่ตลอดเวลา สติไม่ได้เผลอตลอดเวลา มันเป็นเองของมัน

คำพูดอย่างนี้ไม่เป็นจริงเอามาพูดได้เหรอ ต้องออกมาจากภาคปฏิบัติรู้จริงเห็นจริง

สตินี้ดี ดีจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะทำการทำงานอะไร สติจ่อแล้ว ทำงานก็ทำไปตามเรื่อง ทำงานทางโลกก็ทำ ภายในก็ทำ หมุนติ้ว

นั่นเห็นไหม ได้ยินแต่หลวงตาบัวว่า หมุนติ้วๆ นี่ มีพยานแล้วนะ

เพื่อนฝูงเขาสงสาร พอทราบว่าเราไป เพราะแกอยากพบครูบาอาจารย์ อยากพบ เราแกก็อยากพบ พอดีแกก็มาจริงๆ คนมากๆ ก็ใส่เปรี้ยงเลย นั่นละ ขึ้นเวทีแชมเปี้ยน แล้วไม่ใช่เวทีธรรมดา ซัดกันใหญ่เลย แกก็ออกมาอย่างกระจ่างเลยนะ เปรี้ยงๆๆ นั่นละ ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นจากจิตใจไม่สะทกสะท้านนะ แกก็ใส่มาเปรี้ยงๆ ทางนี้ก็ใส่กันเลย

ก็ทำกำดำกำขาวไปอย่างนั้นละ แต่จิตมันดูดดื่มอยากทำตลอดไป แต่ทีนี้ก็ไม่ทราบว่า ผิดหรือถูกประการใด

บอกแกว่า ถูกแล้ว เอ้า เอาเลยนะ รวมตัวแล้ว ทีนี้ฟาดลงไป ถลุงมันตรงนั้นๆ ชี้แจง เป็นระยะๆ เข้าไป แกพอใจเอาอย่างมาก

ทีนี้เป็นที่ตายใจแล้ว

เราว่า ตายใจน่ะถูกต้องแล้ว ที่ปฏิบัติมานี่ถูกต้องแล้ว แกนั่งภาวนาได้ถึง 13 ชั่วโมงก็มี 9 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง 13 ชั่วโมงก็มี พิจารณาทุกขเวทนา ทุกขเวทนาเป็นของจริงทุกส่วน เป็นของจริงแล้วไม่มีกระทบกระเทือนกันเลย จะนั่งตั้งกัป ตั้งกัลป์ก็ได้ อย่าว่าแต่เพียง 12 - 13 ชั่วโมงเลย ลุกออกมาเฉยๆ นี่แหละจะนั่งตั้งกัป ตั้งกัลป์ก็ได้

ไม่มีอะไรที่จะเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจได้เลย เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วไม่คละเคล้ากัน

นั่นฟังซิแกพูด พูดอาจหาญเสียด้วยนะ เราก็รื่นเริงเห็นผลของการปฏิบัติธรรมนี่ละ ธรรมของพระพุทธเจ้าพอปรากฏขึ้นในใจ

เห็นโทษของกิเลสเห็นจริงๆ เห็นจนสลดสังเวช มองไปไหนๆ พิจารณาไปไหน แหม มีแต่กิเลสอย่างเดียวครอบงำสัตว์โลกให้ดิ้นล้มดิ้นตายกันอยู่ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด แล้วโลกก็ไม่รู้ ด้วยนะ น่าสงสารอันหนึ่ง แกว่า

โลกก็ไม่รู้ด้วยนะ มันขยี้ขยำจนจะตายก็ยังดิ้นเพลินกันอยู่

คนมากนะวันนั้น วันที่แกมาหา เพราะไม่มีเวลาที่จะพูดโดยเฉพาะ ไม่ต้องเฉพาะ ฟาดเลย เราว่าอย่างนี้แหละ แกเห็นโทษของกิเลสจริงๆ

เราไม่ตายให้กิเลสตายมีสองอย่าง ขั้นนี้ขั้นเห็น โทษของกิเลสเห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็เห็นเต็มหัวใจ ทั้งสองอย่างนี้บรรจุเข้าสู่ใจแล้ว เอาชีวิตเข้าแลกเลย ไม่มีความสะทกสะท้าน เรื่องกับความตายหมุนติ้วๆ

นี่ละคนหนึ่งจะไปได้ ไม่นานละ แน่แล้ว เป็นผู้หญิงนะ มีลูก 3 คน แกก็เคยส่งปัจจัยมาวัดนี้ ประจำเดือน แกเล่าให้พัง คนฟังนี่ โห อ้าปากไม่งับแหละ ลืมตาหลับไม่ลงเพราะขึ้นตามหลัก ธรรมชาตินี่ หมุนติ้วๆ แกพูดเปรี้ยงๆ เอ้า เปิดๆ ให้หมด เราว่าอย่างนั้นนะ เราก็หิวอยากฟังนี่นะ มันมีแต่พูดคนเดียว เป็นบ้าอยู่ พูดตลอดเวลาเพราะไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วย เหมือนบ้าพูดคนเดียว เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นบ้า พอดีได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นพยาน

เอ้าพูดๆ เลย เอาให้เต็มที่นะ เราอยากฟังเหลือเกินธรรมะประเภทนี้ พูดอย่างนี้แหละว่า

"ไม่เคยได้ฟัง เพิ่งจะมาได้ฟังนี่แหละ เอ้า เปิดเลย" พอแกเปิดแล้วตรงไหนเป็นจุดที่ควรจะแนะ ก็แนะแก แกไม่ใช่ธรรมดานะ ตีเปรี้ยงๆ ลงไปเลย

เอ้าจุดนี้ๆ เอ้าๆ

นี่ละจวนจะไป ไม่อยู่แล้ว เป็นธรรมชาติแล้ว เป็นอัตโนมัติแล้วหมุนเรื่อย จิตเข้าถึงขั้นนี้แล้ว หมุนเรื่อย เห็นโทษของกิเลสจนจะสลบไสล กิเลสเป็นโทษแก่โลกขนาดไหน เวลาเข้าถึงตัวมันจริงๆ แล้ว จนสลบไสล โทษของมันทำให้เจ็บให้แสบให้เข็ดให้หลาบให้กลัว จนไม่รู้จักเป็นจักตาย หลบกิเลสหนีกิเลส ตายก็ตาย ให้ได้พ้นจากกิเลสก็แล้วกัน ให้พ้นๆ มันก็บินละซิ พระพุทธเจ้าสอนเล่นเมื่อไร พวกเราไม่เห็นนั่นซี จึงได้ว่ากิเลสแหลมคมมากนา แกพูด แกก็เปิดเต็มที่เหมือนกัน

แกพูดด้วยความตื่นเต้น และแกก็ไม่มีผู้ใดจะตอบรับแกอย่างนั้น เราก็ตอบรับเต็มภูมิเลย เพราะหิวกระหายอยากฟังมานาน

ธรรมะประเภทนี้มีแต่ประเภทความจำ จำได้ก็มาบ้าน้ำลายกันเหมือนนกขุนทองแก้วเจ้าขาๆ เรียนจบพระไตรปิฎก กิเลสตัวเดียวหนังไม่ถลอกเลย เห็นแต่อย่างนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง นี่แกเอาจริงเอาจังแน่แล้ว...

คนนี้ไม่นานด้วยนะ เมื่อมีผู้แนะจุดสำคัญนี้แล้วมันจะพุ่ง ไม่ลูบไม่คลำเมื่อมีผู้แนะ ความที่ดำเนินมาแล้วก็ว่าถูกต้องแล้วก็หายห่วง

จุดไหนที่กำลัง ดำเนินก็ชี้บอก ทางนี้ก็พุ่งๆ เลย เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกันนะ คนไม่เคยกับศาสนาเวลามาปฏิบัติมันเป็นขึ้น นี่ละ

ความรู้จากภาคปฏิบัติกระจายอย่างนี้เอง ความรู้ในหนังสือที่ท่านจดจารึกมาในตำรับ ตำราในพระไตรปิฎกพประมาณเท่านั้นนะ ไม่ได้ซอกแซซิกแซ็กกระจายไปทุกแห่งทุกหน เหมือนภาคปฏิบัติ... เรียกว่าทั่วท้องฟ้ามหาสมุทรเลย..."

นับแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมา สตรีท่านนี้ยังไม่มีโอกาสเข้ากราบหลวงตาอีกเลย จนกระทั่งต้นเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2542 ณ สวนแสงธรรม ถนนพุทธมณฑลสาย 3 กรุงเทพมหานคร จึงได้เข้ากราบหลวงตาและสนทนาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ใช้เวลาสนทนาเล็กน้อย ดังนี้

หลวงตา เวลานี้พิจารณาอะไรอยู่

สตรีนักภาวนา การปฏิบัติของลูกอาจจะไม่ได้ถูกร่องรอยที่หลวงตาสอนให้พิจารณานะเจ้าคะ เพราะว่าการปฏิบัติของลูกตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนมีสติสัมปชัญญะ ตามรักษาจิต ใช้วิธีนี้อย่างเดียวเจ้าค่ะ ตามรักษาจิตนี้ ลูกไม่ต้องกลับมาพิจารณา เลย อยู่กับจิตว่าง อยู่กับปัจจุบันธรรมก็จะเห็นความเกิดดับของสัญญา ความ เกิดดับของสิ่งที่รู้ทั้งหมด รู้แล้วดับ ถ้ารู้แล้วไม่หลง รู้แล้วดับหมด พอทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ชัดขึ้นมาว่า มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ ตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ เกิดดับเท่านั้นเอง เท่านั้น หลังจาก ช่วงนั้นแล้วก็เลิกถูกต้ม เลิกถูกจิตต้มอีกต่อไป

หลวงตา มันต้มยังไง ?

สตรีนักภาวนา ถ้าเมื่อก่อนนี้การที่จะระมัดระวังเฝ้ารักษาจิตนี้ ต้องสติตามดูตามรู้ กิเลสถึงจะไม่เกิดนะเจ้าคะ แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้วรู้เท่าทันสัญญา สติตั้งมั่น ไม่หลงอารมณ์ ทุกอย่างดับหมด ดับหมด เพราะอย่างนั้นถ้าครั้งไหนเกิดเพลิน เผลอไป แล้วหลงอารมณ์ ไปคว้าอารมณ์ก็ปล่อยได้เลย เพราะว่ารู้ว่ามันโง่ไปแล้ว เพราะฉะนั้น ลูกกราบรายงานหลวงตาว่า การรักษาจิตของลูกนี้มิได้พิจารณา เลยเจ้าค่ะ แต่การรู้ที่เห็นขึ้นเป็นขึ้นในขณะที่อยู่กับปัจจุบันธรรมตลอดเวลา แล้วทุกๆ วันนี้สิ่งที่ปฏิบัติอยู่ของลูกนี้ แม้แต่ฟังหลวงตา แม้จะอยู่ในหมู่ผู้คน ลูกเหมือนกับมี ตาอีกตาหนึ่งเห็นจิตตลอดเวลา เฝ้าดูจิตตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาจนเข้านอน ฉะนั้น การภาวนาของลูกนี้ ความเผลอเพลินในการทำงาน มีบ้างที่จิตส่ออก แต่นอกนั้นแล้วจิตจะอยู่รักษาข้างในหมด จะไม่ออกไปเพ่นพ่าน เพราะรู้ดี รู้เช่น เห็นชาติหมดว่ามันออกไปมันเอามาแต่อะไรแล้วเข็ดหลาบเบื่อหน่ายเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้นวันทั้งวันจะมีสติตามรักษาจิตโดยไม่ต้องมีใครมาบอกเลย

หลวงตา เข้าใจ เอาอยู่จุดนั้นละนะ เราจะไม่เร่งไม่บอกอะไรละ ให้เอาปัจจุบันนี้ เป็นหลักนะ เร่งก็เร่งอยู่ในปัจจุบัน ไม่เร่งก็อยู่ในปัจจุบัน ไม่นอกปัจจุบันแล้วไม่ผิด เข้าใจไหม ให้อยู่ในปัจจุบัน จิตในลักษณะในธรรมชาตินี้เป็นยังงั้น คุณก็มีครอบครัวเหย้าเรือน มีงานมีการอยู่ จึงไม่ค่อยเร่งให้ ปล่อยให้เจ้าของ เร่งเจ้าของเอง เข้าใจ ? ถ้าเป็นนักบวชนักปฏิบัติ แล้วไล่ตีหลงทิศไปเลย มันเป็นขั้น เป็นตอน

สตรีนักภาวนา แต่จิตที่ดูเหมือนไม่เร่ง แต่มันก็ไม่ยอมปล่อยนะ

หลวงตา เราเข้าใจ พูดอย่างนี้เข้าใจทันทีทันทีเลย ยังบอกให้ไปตามหลักธรรมชาติ ปัจจุบันๆ อย่างนั้นละ มันไม่มีอะไรละ มันอยู่กับปัจจุบันนั้นหมดเลย พอเรียนจบ ปัจจุบันแล้วละ ไม่ต้องถามแล้ว ปัญหาอะไรไม่มีละ ทีนี้เอาละ ดูปัจจุบันของเจ้าของเป็นยังไงเท่านั้นละ

สตรีนักภาวนา ถ้ามีคนถามว่าลูกจะถามอะไรหลวงตา ลูกไม่รู้จะถามอะไร เพราะว่า ลูกเฝ้าแต่ปัจจุบันตลอดเวลา ถ้าอยู่กับปัจจุบันเมื่อไหร่ เกิดดับก็มาตลอดสายเจ้าค่ะ

หลวงตา ก็ยังงั้นแล้ว นี่ก็ไม่ถามอะไร เพราะงั้นจึงว่าปัจจุบันนี้ พิจารณายังไงเท่านั้นเอง แน่ะ ก็เข้าปัจจุบันแล้วใช่ไหมล่ะ ถามตรงนั้นแหละ ตรงปัจจุบันสำคัญมาก นี้มันลงปัจจุบันแล้ว

สตรีนักภาวนา เมื่อก่อนลูกตื่นตี 3 นะเจ้าคะ รู้สึกว่าเวลามันน้อยไป เดี๋ยวนี้ลูกขยับมา เป็นตี 2 ครึ่งทุกวันเจ้าค่ะ ลูกเดินจงกรมทุกวัน ลูกจะอยู่กับปัจจุบันเจ้าค่ะ อยู่กับปัจจุบัน เพราะฉะนั้น มันไม่มีความกลัวตาย ไม่มีความกลัวอะไรเลย เพราะรู้ว่าทุกๆ ขณะจิต ถ้าตายลงในขณะใด นี่มันอยู่พื้นเลยเจ้าค่ะ มันไม่มีสิทธิ์เลยที่จะหลุดไปไหนเจ้าค่ะ

หนังสือ...หยดน้ำบนใบบัว
หนังสือชีวประวัติของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






. ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน

ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำเพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์

ธรรมก็สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร






#คำถาม : หลวงพ่อครับ เมื่อได้ความรู้สึกที่สัมผัสปีติ
กับสุขในฌานแล้ว ทำไมจึงหันมาสนใจกิเลสทางโลก
ซึ่งมันต่ำกว่าล่ะครับ?

#หลวงพ่อ : เพราะว่าปีติและความสุขในฌานนี้ มันรู้สึก
สัมผัสสบายก็เฉพาะเมื่ออยู่ในฌาน ในเมื่อออกจากฌาน
มาแล้วมาสัมผัสกับสิ่งที่เป็นกิเลสทั้งหลาย มันก็รู้สึก
ยินดียินร้ายมีความกำหนัดยินดีย้อมใจอยู่ เพราะฉะนั้น
สิ่งที่ฝังจิตฝังใจเรามานี้ มันฝังมาหลายภพหลายชาติ
บางที ฌาน สมาธิ ปีติ และความสุข อาจจะเกิดขึ้น
เฉพาะในภพนี้ ชาตินี้ หรือหากว่าเคยเกิดมาในภพก่อน
ชาติก่อน มันก็มีเสื่อม มีเจริญ มีขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนั้น
เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน พูดถึงภูมิของสมาธิ
ภูมิฌานอะไรต่างๆ นี่ แม้ผู้สำเร็จพระอรหันต์แล้วก็
เสื่อมได้ เพราะเป็นวิถีทางเดินของจิต เป็นโลกียวิสัย
ทั้งนั้น แต่ความบริสุทธิ์สะอาดความเป็นพระอรหันต์
ของท่านไม่เสื่อม..."

#ที่มา หนังสือ สดใส หน้า ๙๖ - ๙๗
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)






#สาวกของพระพุทธเจ้า

... " สาวกของพระพุทธเจ้า ไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่เลือกหญิงเลือกชาย ไม่เลือกนักบวช ฆราวาส ปฏิบัติตรงแล้ว สามารถเข้าถึงความเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้ทั้งนั้น

... เพราะกาย กับจิตอันนี้ พร้อมที่จะเป็น ในเมื่อกิเลสตัวที่มาย้อมสีมันหมดไป มันสลายตัวไป กายอันนี้ จิตอันนี้ มันพร้อมที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้ทั้งนั้น

... ถ้าหากว่ากิเลสมันยังย้อมสีอยู่ เอาอันนั้นมาเคลือบ เอาอันนั้นมาย้อม มันเป็นกิเลสทั้งนั้น จะสีขาว สีดำ สีเหลือง สีกลัก สีอะไรก็ช่าง ถ้ากิเลสมันยังเคลือบยังย้อม มันเป็นสีของกิเลสทั้งนั้น

... เดี๋ยวนี้สับสนไปหมด มองไม่ออก เรื่องของกิเลส ปล่อยให้มันเข้าไปมากเท่าไหร่ เรื่องราวมันยิ่งมาก

... กิเลสอยู่ตรงไหนมันพังหมด อยู่ตรงไหนอันตรายทั้งนั้น "
___________________________________________________
พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร ( หลวงปู่แบน ธนากโร )
วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO