นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 7:53 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: วัฏจักร
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 18 ก.ย. 2023 5:13 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
#หลวงพ่อพุธวิสัชนาเรื่องบุญ

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเมตตาตอบปัญหาเรื่อง "การฝากคนอื่นทำบุญ"

* #ถ้าให้คนอื่นทำบุญแทนเราจะได้บุญหรือเปล่า?

หลวงพ่อพุธ : ถ้าเป็นสมบัติของเรา เราให้คนอื่นเขาทำแทน เราจะได้บุญหลายทอด

ทอดที่ 1 เป็นบุญเพราะสละสมบัติของเราออกไป
ทอดที่ 2 เป็นการแบ่งบุญให้เขา เมื่อเราให้คนอื่นเขาทำ เราก็ได้บุญเพิ่มขึ้น เป็นการแบ่งปันความสุขให้กันและกัน

* #ถ้าฝากคนอื่นเขาทำบุญแล้วเราจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลได้หรือไม่?

หลวงพ่อพุธ : ทำได้ มีปัญหาอยู่ว่าคนเฒ่า - คนแก่โบราณมักจะพูดว่า "ทำบุญแล้วไม่กรวดน้ำจะไม่ได้บุญ" อันนี้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แล้วก็แก้กันอยู่บ่อยๆ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทำดีได้ดี - ทำชั่วได้ชั่ว" ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว เราทำอะไรลงไปแล้ว เราจะได้รับผลอย่างแน่นอน เราไม่ต้องการกรวดน้ำเราก็ได้

แต่หากเราจะทำบุญเพื่ออุทิศให้ใครสักคนหนึ่ง ถ้าเราไม่น้อมใจนึกถึงเขา เขาก็จะไม่ได้รับส่วนบุญจากเรา จึงมี "พิธีกรวดน้ำ" เพื่ออุทิศส่วนกุศล

แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องส่วนตัว เราจะกรวดก็ตาม ไม่กรวดก็ตาม ทำลงไปแล้วจะได้ผลเฉพาะตัวเรา ถ้าจะให้คนอื่นด้วย ต้องตั้งจิตอธิษฐานว่าเราจะให้ส่วนบุญแก่คนๆนั้น เขาก็จะได้รับส่วนบุญจากเรา

* #ถ้าอุทิศส่วนกุศลไปแล้วบุญของเราจะเหลืออยู่หรือเปลา?

หลวงพ่อพุธ : สำหรับการให้ส่วนบุญ เป็นการแบ่งส่วนความดีที่เราทำให้กับคนอื่น "บุญที่เราทำนั้นไม่ได้หมด" แต่ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น

แทนที่จะได้เฉพาะส่วนที่เราทำอย่างเดียว แต่เราได้ให้ส่วนบุญแก่คนอื่นด้วย การให้ส่วนบุญคนอื่นนั้น เรียกว่า "ทานบุญ" ให้บุญเป็นทาน

และถ้าสมมุติว่าเราเดินไปในที่ไหนๆก็ตาม ไปเห็นใครเขาทำบุญสุนทาน คนที่เขาทำจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่เราเห็นแล้ว "เราอนุโมทนา" แสดงความยินดีในบุญที่เขาทำ เราก็ได้บุญเหมือนกัน คือ "บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา"

* การทำบุญจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องทำกับพระสงฆ์ #ถ้าทำกับคนทุกข์คนยากจะได้บุญหรือไม่?

หลวงพ่อพุธ : "การทำบุญ" คือ "การให้" ไม่เฉพาะแต่ในพระพุทธศาสนาอย่างเดียว แต่เป็นอุบายผูกมิตรไมตรีระหว่างเพื่อนมนุษย์ เราอยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างให้ซึ่งกันและกัน ให้วิชาความรู้ ให้สิ่งของ ให้การช่วยเหลือ ได้ชื่อว่า "การให้ทาน" ทั้งสิ้น

ผู้ใดมีศรัทธาบริจาคทรัพย์สร้างถนนหนทาง / สร้างโรงพยาบาล / สร้างสาธารณะประโยชน์ ฯลฯ นับเป็น "การให้ทาน" เป็น "การทำบุญ" ได้บุญเหมือนกัน

เมตตาวิสัชนา...
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย







"ผู้ใดรักษาศีล มิขาดตกบกพร่อง
ไหว้พระสวดมนต์ เจริญสมถะและวิปัสสนา
ตามสมควร ได้ปัญญาตามวาสนา

โอกาศที่จะพ้นจากการท่องเที่ยว
ไปในภพน้อย ภพใหญ่ เกิดแล้วตาย
ตายแล้วเกิดเป็นวัฏจักร ก็พอจะมองเห็น
ทางมรรคผลนิพพาน อยู่ไม่ไกล

จงรีบทำความเพียรเสีย เพื่อมรรคผลนิพพานนั้น
แล้วจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด"

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ





#จิตที่ตกกระแสธรรมมีลักษณะอย่างไร

ถ้าคนที่ถึงกระแสธรรม จะรู้จักธรรมทั้งสองฝั่ง จะรู้จักว่าทุกคนมี 2 ด้าน จะรู้จักว่ามีบวกจะต้องมีลบ จะรู้จักว่ามีมืดก็ต้องมีสว่าง มีดีก็ต้องมีชั่ว จะเห็นธรรมคู่

และจะเริ่มไม่ไว้ใจความคิดเห็นตัวเอง คือไม่เชื่อตัวเองนั่นเอง คือมุมที่เราเห็น เห็นแค่มุมเดียว คือเห็นความจริงนะดับหนึ่ง ว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่มี 2 ด้านเสมอ แล้วทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัยในตัวเสมอ

เลยไม่กล้าเอาความคิดเห็นตัวเองไปตัดสิน สิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ตัดสินใคร คือไม่มีความเห็น คนที่ถึงกระแสแห่งธรรมเนี่ย จะเห็นความจริงประเภทนี้

เป็นความจริง ที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัยในตัว จะเห็นก็ตาม ไม่เห็นก็ตาม จะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัยในตัวของมัน เรียกว่า ความเห็นจะถูกทำลายลง ความเห็นที่เราเคยมีต่อความชอบใจไม่ชอบใจ จะถูกทำลายลงเรียกว่าอคติเนี่ยจะถูกพังลงนั่นเอง

ใจที่เคยให้คะแนนว่าสิ่งนั้นควรเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้ควรเป็นอย่างงี้ มันจะถูกทำลายลง ความคิดเห็นของเราจะถูกทำลายลง แล้วเราจะสามารถเปิดใจเรียนรู้ในธรรมที่ลึกขึ้น ชัดขึ้น เรียกว่าธรรมที่จริง

เวลาที่ฟังธรรม คนที่ตกอยู่ในกระแสธรรมะนี่ เขาจะมีเรดาร์คัดกรองบุคคลออก เห็นคนต่างกันก็จริง เห็นคนเหมือนกันก็จริง แต่คนก็ต่างกัน เห็นคนต่างกันก็จริง แต่คนก็เหมือนกัน เขาจะมีมิติในการรับรู้ว่าคนที่เหมือนกันน่ะ แต่ก็มีความต่างกัน คือกรรมของแต่ละคน คือจะรู้ได้ด้วยว่า เป็นบัณฑิตหรือเป็นคนพาล จะคัดกรองออก

แล้วจุดหลักๆอีกจุดหนึ่งก็คือ ที่สังเกตได้นะ ไม่สงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เวลาที่ได้ยินได้ฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์จะรู้ได้ชัด จะรู้ว่าองค์ไหนพูดเป็นธรรม มันจะรู้ชัดอยู่ในใจนั่นเอง

ไม่ลูบคลำในศีลด้วย ไม่ได้รักษาศีลเพื่ออวดใคร ไม่ได้รักษาศีลไว้เลี้ยงชีพ แต่เพราะศีลเป็นเครื่องคุ้มครองตน ไม่ให้ไปตกสู่โลกที่ชั่ว เป็นผู้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความปราศจากโทษ คือมีศีล รักษา กาย วาจา ใจตน ไม่ให้กระทบกระเทือนใคร ไม่เบียดเบียนใครนั่นเอง

ลักษณะที่สังเกตได้ ท่านไม่ค่อยพูดให้ใคร ท่านจะเกื้อกูลประโยชน์ ท่านจะมีน้ำใจ ท่านจะไม่เบียดเบียนใคร ท่านจะพูดในสิ่งที่จะเกื้อกูลประโยชน์

แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๖
……………………………………………………………………
พระอาจารย์ตะวัน ปัญญาวัฒฑโก
สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง จ.ลำปาง








#ความจริงคืออะไร?

ทำไมทุกคนชอบกล่าวอ้างถึงกันเหลือเกิน…

ความจริงคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว สว่างก็จริงอยู่แล้ว เวลามืดก็จริงอยู่แล้ว คนดีก็จริงนะ นี่คือความจริง คนชั่วก็จริงอยู่แล้วนะ ไม่ได้อยู่ภายใต้พื้นฐานของความชอบใจหรือไม่ชอบใจของใคร

ความจริงคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามจริง แต่ความสามารถในการเรียนรู้ในการยอมรับความจริงของแต่ละคนต่างกัน เพราะฐานของใจที่มีอคติ

บางคนก็ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะกลัว ลำเอียงเพราะหลง ลำเอียงเพราะความโง่เขลา ท่านก็เลยสอนสัมมาทิฏฐิ คือความปราศจากอคตินั่นเอง

ใจที่ปราศจากอคติ สามารถเปิดใจเรียนรู้ตามความจริงได้ คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆนี่แหละ เราก็จะเห็นความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ในใจเรา ว่าทำไมโลกมันไม่เหมือนอย่างใจเราคิดเลย

#การเรียนรู้ในการยอมรับตามความจริงนั่นแหละคือเป็นทางพ้นทุกข์

คือเราไม่สามารถไปปรับปรุงแก้ไขคนได้ ความหลากหลากทางความคิด ความหลากหลายทางความเชื่อที่ต่างกัน

เรียกว่ามนุษย์ที่มีความคิดที่ดีก็มีนั่นเอง คนที่มีความคิดที่ดีมีความเสียสละก็มี คนที่เห็นแก่ตัวก็มี คนที่เอาตัวรอดก็มี เราไม่สามารถบังคับและควบคุมใครได้ มันขึ้นอยู่กับสมบัติของคน

ท่านก็เลยสอนเรื่อง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไปตามกรรม คือการกระทำของเขา การกระทำของคนนั้นนั่นแหละคือที่พึ่งของเขา

ส่วนคนที่เห็นตรงต่อธรรมก็เกิดศัทธาเกิดความเลื่อมใส ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้แนะนำพร่ำบอกเรา คือการทำลายความทุกข์ร้อนที่ซ่อนอยู่ในใจ คือการทำลายความยึดมั่นถือมั่น คือการทำลายความเห็นผิด ที่ซ่อนอยู่ในใจของเรา

ความรู้ที่ตรงต่อความจริงเกิดขึ้นจากใจที่ปราศจากอคตินั่นเอง ใจของใครที่ปราศจากอคติ เมื่อเปิดใจในการศึกษาแล้ว ความรู้เราก็จะรู้จักเหตุตามจริงและผลตามจริง เมื่อเห็นเหตุเป็นอย่างงี้ ผลย่อมเป็นอย่างงี้

เมื่อเราเห็นเหตุและผลตามจริงแล้วเราจะไม่สงสัยในกรรม ใครประกอบกรรมอะไร นั่นคือสมบัติของเขา สิ่งนี้เป็นความจริงของมัน ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุของมัน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีเหตุผลในตัวของมัน คนก็เลยมีความต่างตามความเชื่อของแต่ละคน

ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร มันเป็นเรื่องปกติ ความเห็นที่มีความหลากหลายเป็นเรื่องปกติ

แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้น ความรู้ที่ตรงต่อความจริงที่จะเป็นไปในการเกื้อกูลประโยชน์เพื่อที่จะนำพาสรรพสัตว์ออกจากทุกข์ ก็ต้องยกคำสอนของพระพุทธเจ้าขึ้นมา

การให้ทาน ก็ทำลายความยึดมั่นถือมั่น ความตระหนี่เหนียวแน่นที่ซ่อนอยู่ในจิตใจนั่นเอง

ศีล ก็เป็นรั้ว ไม่ประพฤติเบียดเบียนตัวเอง ไม่ประพฤติเบียดเบียนบิดามารดา ไม่ประพฤติเบียดเบียนสังคม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ไม่ทำให้สติปัญญาของตนเสื่อมถอย

แล้วก็มาเจริญสติ สมาธิปัญญา เรียกว่าเจริญจิตภาวนา เพราะสติ สมาธิปัญญา นั่นแหละ คือที่พึ่งของสรรพสัตว์

การคบหากัลยาณมิตร คือการคบกับคนที่มีเหตุผลที่ตรงต่อความจริง คนที่มีความอดทน คนที่มีความรับผิดชอบ คนที่มีความเสียสละไม่คบคนพาล ไม่กระทบกระเทียบ ไม่ส่อเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่ดูหมิ่น ไม่ยกตนข่มใคร

เป็นเรื่องของศรัทธา ของความเชื่อที่ปราศจากอคติ ใจที่ตั้งไว้ชอบแล้วก็จะเกิดความกระจ่างแจ้งในธรรม ตามลำดับขั้นนั่นเอง

#เมื่อความรู้ของเราตรงกับความจริงแล้ว มันก็จะไม่ค้านกัน เมื่อความจริงที่เกิดอยู่ของโลกเป็นยังไง ใจจะไม่ค้านกับความจริงนั้น

ท่านก็เลยสอนให้เราถึงความจริง ให้เรารู้จักความจริง โลกเป็นอย่างงี้ คนที่รักก็มี คนที่ไม่รักก็มี คนที่ขอบก็มี คนที่ไม่ชอบก็มี นินทาก็มี สรรเสริญก็มี มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เป็นเรื่องธรรมดา ท่านเรียกว่าเป็นโลกธรรม

แต่การปฏิบัติธรรมเป็นการกลับมาเฝ้าสังเกตดูใจที่มันเร่าร้อนต่างหาก เมื่อไหร่ก็ตามที่ใจเราไปติดอยู่กับสิ่งที่เราไม่ควบคุมได้ เราก็ต้องกังวลใจ

อย่างเช่นติดอยู่กับคนอื่น กลัวว่าเขาจะไม่รักเรา เราก็จะมีความกังวลใจอยู่ ติดอยู่กับคนอื่นว่าเขาจะนินทาเรา ใจไปกังวลอยู่กับปากของคนอื่น

แต่ถ้าเกิดว่าเรามีกรรม คือมีการประพฤติ มีน้ำใจ ไม่เคยเบียดเบียนใคร ใครจะพูดอะไรไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย เพราะความจริงมันเป็นอย่างงั้นของมันอยู่แล้ว เมื่อเรารู้จักความจริงมันก็เลยไม่สนใจ เพราะมันเห็นประจักษ์ชัดกับใจตัวเอง

การทำดีก็เลยไม่ได้ทำให้ใครมาชื่นชม แต่เป็นการทำเพื่อทำลายความเร่าร้อนความทุกข์ที่อยู่ในใจ

เมื่อไหร่ที่เราเห็นตามแล้วเราจะรู้จักว่า เราให้เพื่อทำลายความเห็นผิดเพื่อที่จะเรียนรู้ความจริงที่เราจะต้องเผชิญนั่นเอง
.............................................................

แสดงธรรมเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๖
ณ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ จ.ปทุมธานี
พระอาจารย์ตะวัน_ปัญญาวัฒฑโก
สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง จ.ลำปาง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO