นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 2:04 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: มีสติกำหนด
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 11 ก.ย. 2023 12:10 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4546
หลวงปู่ว่า…
“เงิน” นี้มีอำนาจมหาศาล
พาเฮ็ดดีกะดี พาเฮ็ดบ่ดีกะบ่ดี
เหลียวเบิ่งละใบน้อยๆ พาคนไปตายกะใด
ผิดพี่ผิดน้องกันกะใด นี้ละอำนาจของเงิน
บ่แม่นของค่อยๆ สิบบาท ยี่สิบบาท ยืมกันบ่คืน
ทวงกันอยู่หั่น “มึงสิคืนกู รึบ่คืน” สิฆ่ากันแกงกันพุ่น
นี้ละคำว่าเงิน

ธรรมะโอวาท
หลวงปู่ประเวศ ปัญญาธโร
เล่าที่ : ห้องกุฏิองค์ท่าน







#วิญญาณัญจายตนะ
มีสติกำหนดรู้การสัมผัสทางตาหูจมูก และยังสติเห็นภาวะการปรุงแต่งภายในจิตทุกเมื่อที่มีการสัมผัส
สติยังทราบภาวะสัญญาการปรุงเเต่งที่เกิดภายในและทุกครั้งที่มีสติกำหนดรู้แบบนี้ในทุกๆขณะ จะสังเกตเห็นเห็นได้ว่าสัญญามันน้อยลงและภาวะการปรุงแต่งก็น้อยลง

นั้นเรียกว่า #เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือสัญญาและการปรุงแต่งส่วนหยาบๆมันหายไป เหลือแต่สัญญาอารมณ์การปรุงแต่งที่ละเอียด สัญญาก็ไม่มีรูปภาพ การปรุงแต่งก็ไม่มีเรื่องราว แต่ก็มีอยู่แต่เหมือนเกิดขึ้นประเดี๋ยวก็หายวับไป มีสติกำหนดเห็นแต่อาการเท่านั้น โดยไม่มีรูปหรือเรื่องราวใดๆ นี้เรียกว่าจิตอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะ

พอสติกำหนดรู้อาการแห่งการปรุงแต่งไปจะสังเกตได้ว่า ระยะเวลาที่มันจะเกิดขึ้น มันเริ่มห่างกันมากขึ้นๆ คือเหมือนว่านานๆที เกิดขึ้นพร้อมกับดับไป ในขณะเดียวกัน เมื่อเป็นอย่างนี้ไป การเกิดก็จะน้อยลงแทบจะไม่มี และอยู่สิ่งที่เคยเกิดแว๊บขึ้นมาก็หายไป จนสังเกตเห็นว่าไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นมาเลย

นี้ท่านเรียกว่าเข้าถึง #สัญญาเวทยิตนิโรธ
คือการเข้าถึงการดับของจิต และเจตสิกภายใน ทั้งภายนอกก็ไม่มีสัญญา ภายในก็ไม่มี เรียกว่า #นิโรธสมาบัติ

จิตตรงนั้นไม่พระอนาคาก็พระอรหันต์เท่านั้นที่จะทรงในฌานนี้ได้ แต่ถ้าปฏิบัติจิตตามนี้ ถึงเเน่นอนผู้ที่จะเข้าถึงตรงนี้ได้ ต้องเป็นผู้ได้สมาธิสองแบบ
1 . คือสมถะภาวนา 2. สมาธิวิปัสสนา คือ 1. ไม่มีสัญญา 2. เวทนาทางจิตไม่มีการปรุงแต่งไม่ปรากฏขึ้นมา

เรียกว่า ดับสนิท หรือ #นิโรธ นั้นเอง

โอวาทธรรม พระชินวัตร ฐิตโสภโณ (ครูบาแหวง)






"...สัจจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจจธรรมนั้นแล้ว ก็นำมา
สั่งสอนสัตว์โลก เพราะอัธยาศัยของสัตว์ไม่
เหมือนกัน หยาบบ้าง ประณีตบ้าง พระองค์
จึงเปลืองคำสอนไว้มากถึง 84,000 พระธรรม
ขันธ์ เมื่อมีนักปราชญ์ ฉลาดสรรหาคำพูด
ให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะอธิบายสัจจธรรมนั้น
นำมาตีแผ่เผยแจ้งแก่ผู้มุ่งสัจจธรรมด้วยกัน
เราย่อมจะต้องอาศัยแนวทางในสัจจธรรมนั้น
ที่ตนเองไตร่ตรองเห็นแล้วว่าถูกต้องและ
สมบูรณ์ที่สุดนำแผ่ออกไปอีกโดยไม่ได้คำนึง
ถึงคำพูดหรือไม่ได้ยึดติดในอักขระพยัญชนะ
ตัวใดเลยแม้แต่น้อยเดียว..."

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์






"...ต้องอาศัยทำบ่อยๆ ภาวนาบ่อยๆ ทำให้มากๆ จน
ชำนิชำนาญแล้วจิตจะอยู่เอง การทำสมาธิในขั้นเริ่มต้น
นี้ เราก็ย่อมจะลงทุนลงแรงหนักหน่อย เหมือนๆ กับการ
บุกเบิกงานใหม่ เพราะฉะนั้น การทำสมาธิเพื่อจะไม่ให้
จิตส่งไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราต้องพากเพียรพยายาม
แต่อย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้วทำให้เราหมดความคิด
เราทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบจากอารมณ์ปัจจุบันชั่วขณะ
หนึ่ง พอเราได้มองเห็นหน้าเห็นตาของจิตดั้งเดิมของ
เราว่าเป็นอย่างไร ในเมื่อเราอบรมสมาธิให้มากๆ แล้ว
ในเมื่อมีสติสัมปชัญญะดีแล้ว จิตของเรานี้ มันยิ่งมี
ความคิดมาก ยิ่งกว่าความคิดวุ่นวายเดี๋ยวนี้ แต่ความคิด
ที่มีสติเป็นตัวกลางสำคัญนั้น ย่อมไม่เป็นการหนักอก
หนักใจ และก่อทุกข์ก่อยากให้แก่ใคร เพราะฉะนั้น
การทำสมาธิเป็นสิ่งจำเป็น..."

#ที่มา หนังสือ ธรรมปฏิบัติ และตอบปัญหาการปฏิบัติ
ธรรม :: พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)






. .จิตที่ได้รับการอบรมที่ถูกต้องแล้วปัญญาย่อมเกิดขึ้น จะมองดูอะไรก็เป็นนิยายนิกธรรมทั้งสิ้น ส่วนผู้มี่ได้รับการอบรมจิตที่ถูกต้อง

ปัญญาแท้จริงก็ไม่เกิด แม้ผู้นั้นกำลังจับพระไตรปิฎกอ่านอยู่ก็ไม่เป็นผล ยิ่งทำให้เกิดความลังเลสงสัยตลอดไป ส่วนผู้มีปัญญาอบรมมาด้วยจิตที่ถูกต้อง แม้จะไม่ต้องจับพระไตรปิฎก แต่ก็น้อมเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นธรรม เป็นยอดพระไตรปิฎกได้

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร







“ความว่างที่แท้จริง” นั้นมันก็ไม่ได้ “สว่างขึ้น” เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น และ “ความว่าง” ก็ไม่ได้ “มืดลง” เมื่อพระอาทิตย์ตก ความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน

แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง “จิต” ของ “พุทธ” และของิ “สัตว์โลก” ทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น
มีแต่ “จิตหนึ่ง” เท่านั้นและไม่มีสิ่งอื่นใดแม้แต่อนุภาคเดียว ที่จะ “อิงอาศัย” ได้ เพราะ “จิต” นั้นเองคือ “พุทธ”

“จิตหนึ่ง”... “สิ่งนี้” ไม่ใช่เป็นฝ่าย “นามธรรม” หรือ ฝ่าย “รูปธรรม” มันไม่มีที่ตั้งเฉพาะ ไม่มีรูปร่าง และไม่อาจจะหายไปไหนได้เลย
“จิตหนึ่ง” ไม่ใช่จิตซึ่งเป็น “ความคิดปรุงแต่ง” ... “สิ่งนี้” อยู่ต่างหาก ปราศจากการเกี่ยวข้องกับรูปธรรมโดยสิ้นเชิง

เพียงแต่สามารถทำ “ความเข้าใจ” ใน “จิต” ของเราเองได้สำเร็จ แล้ว “ค้นพบธรรมชาติอันแท้จริง” ของเราเองได้ ด้วย “ความเข้าใจ” อันนี้เท่านั้น ก็จะเป็นที่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรที่พวกเราจำเป็นที่จะต้อง “แสวงหา” แม้แต่อย่างใดเลย

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO