นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 2:31 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: มีสติ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 30 ส.ค. 2023 12:17 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4546
คำถาม #ทำไมภาวนาถึงได้บุญมากกว่าการทำทาน?

หลวงปู่ ; ภาวนาแล้วใจเป็นบุญ เป็นกุศลทำความชั่วไม่ได้ ถ้าไม่ภาวนาทำความชั่วได้ทั้งหมด ผู้ภาวนาจิตสงบแล้วบาปอกุศลก็ไม่กล้าทำ แม้ในที่ลับที่แจ้งไม่มีใครเห็นก็ทำไม่ได้ ละอาย ละอายเทวดา ผู้มีหูทิพย์ มีตาทิพย์ท่านรู้ท่านเห็น ทำความชั่วไม่ได้ทำได้แต่ความดี

คำถาม แสดงว่าถ้าเราภาวนายังไม่ได้สมาธิก็ยังไม่ได้บุญเหรอค่ะหลวงปู่ ?

หลวงปู่; ภาวนาจิตไม่สงบ ศึกษาดูอะไรเป็นเหตุล่ะจึงไม่สงบ ต้องละที่เหตุล่ะ ต้องตามดู ต้องศึกษาย้อนคืนหาเหตุ จิตไม่สงบอะไรละเป็นเหตุ มันกังวลเรื่องอะไรล่ะจิตของเราน่ะ จิตถึงไม่สงบ ตามไปแก้ที่เหตุละที่เหตุ เพราะอะไรทุกอย่างเป็นผลมาจากเหตุ เล็งเข้ามาให้เห็นประโยชน์ของความไม่ประมาท รีบสร้างเอาคุณงามความดีน่ะ นี่แหละคำว่าทานก็ดี เสียสละกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นทานน่ะได้บุญมากกว่าอย่างอื่น ทานกิเลสความโลภ ทานแล้วเราก็ไม่โลภ ทานกิเลสความโกรธทานแล้วเราก็ไม่โกรธ ทานกิเลสความหลงทานแล้วเราก็ไม่หลง กิเลสลดน้อยลง ชาติการเกิดของเราก็ลดลง กิเลสหมดไปก็สิ้นภพสิ้นชาติ กิเลสมากชาติความเกิดของเราก็มากแหละ เพื่ออนาคตเพื่อให้มันพ้นทุกข์ มันจะไปทางไหนละกิเลสของเรา สังขารความเป็นมนุษย์ไม่เที่ยงนะ จะไปได้สังขารอะไรล่ะอนาคตข้างหน้าน่ะ อะไรทุกอย่างให้เห็นปัจจุบันนี่แหละ พูดถึงความตายก็ดี ให้รู้ให้เห็นเมื่อยังไม่ตาย ตายแล้วดวงจิตดวงวิญญาณที่ไม่ตาย เขาจะไปที่ไหนล่ะ รู้เห็นความตายตัวที่ไม่ตายก็จะรู้จะเห็นอีก เขาจะไปไหนเราก็ดูว่าไปแล้วเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ที่นั่นดีหรือไม่ดี ถ้าเป็นทุกข์ไม่ดีเราก็ตามไปแก้ แก้ภพแก้ชาติ ผู้ภาวนาตามไปดู ตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลงแหละมันจะบอก ว่าเป็นห่วงอะไรล่ะจิต นั่นแหละตัณหาจิตมันบอกแล้ว ไปที่ไหนก็รู้แหละทีนี้ มุ่งภาวนาปล่อยวางทั้งหมด มันยึดอะไรเป็นของเรา รู้ละรู้ปล่อยวาง ถ้าละได้ปล่อยวางได้หมดแล้ว ผู้รู้ก็ปล่อยวางอีก ปล่อยวางจากผู้รู้ไปทั้งหมด

เอาล่ะ พอแล้วพูดมากก็เหนื่อย

หลวงปู่ อว้าน เขมโก เทศน์ ณ วัดป่านาคนิมิตต์ จ.สกลนคร เมื่อ 28 พฤษภาคม 2565






#อธิษฐานขอให้บุญเก่าช่วย

ผู้ถาม : หลวงพ่อขอรับ เวลาปฏิบัติพระกรรมฐาน เราจะอธิษฐานบุญที่เคยบำเพ็ญมาแล้วในอดีตช่วยสงเคราะห์ในการปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลในปัจจุบันดียิ่งขึ้น จะมีผลได้หรือเปล่าขอรับ ?

หลวงพ่อ : ก็ดีนะ ทำแบบนี้ดี มันกระตุ้นความรู้สึกหรือบุญเก่า กำลังก็จะเสริมขึ้น อันนี้ฉันเคยใช้ เมื่อก่อนก็เคยใช้

แม้แต่อุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกันฉันก็ใช้แบบนี้ ดึงตั้งแต่ครั้งแรกที่เคยทำ ตั้งแต่ชาติไหนก็ตามเรื่อยมาทั้งหมด รวมทั้งเวลาปัจจุบัน อุทิศส่วนกุศล อันนี้ดีมาก

(หลวงพ่อว่าดีมาก เราก็ควรทำมากๆ แม้แต่เวลาคนถวายของหลวงพ่อในเวลาก่อนสอนกรรมฐานตอนกลางคืน หลวงพ่อยังอธิษฐานเลย ที่ทราบเพราะมีคนถามปัญหานี้)

หลวงพ่ออธิษฐาน

ผู้ถาม : เวลาลูกมาปฏิบัติพระกรรมฐานที่บ้านสายลม เห็นคนนำถาดใส่เงินถวายหลวงพ่อ ลูกสงสัยว่าบางครั้งหลวงพ่อประนมมือหลับตา ไม่ทราบว่าหลวงพ่อพิจารณากรรมฐานอย่างไรครับ ?

หลวงพ่อ : ขอสงวนเป็นความลับนะ

ผู้ถาม : ปีใหม่ไม่เปิดเผยหรือครับ ?

หลวงพ่อ : เผยไม่ได้ราคามันแพง (หัวเราะ)

ไอ้นี่เขาโมทนานะ โมทนาด้วย ขอพรพระท่านด้วย ให้ช่วยสงเคราะห์ทุกคนที่เป็นเจ้าของ ให้ลูกหลานทุกคน ทุกคนที่เป็นเจ้าของของที่ส่งมาก็ดี ไม่ใช่เจ้าของก็ดี ทุกคนตั้งใจทำความดี แ ละขอให้พระช่วย ช่วยหลายๆแบบนะ

ผู้ถาม : ยังงั้นลูกหลานที่อยู่ใกล้ๆ ยกมือโมทนาก็พลอยได้รับด้วยซิครับ

หลวงพ่อ : ก็โมทนาด้วยก็ได้ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการโมทนา ใช่ไหม คือว่าให้พระท่านสงเคราะห์ ขอร้องท่าน

ในเมื่อท่านตั้งใจสงเคราะห์ เราประนมมือยอมรับ อันนี้ได้รับผลแน่นอน

***เพราะงั้นถึงแม้เวลานี้เราดูคลิปเวลาคนถวายหลวงพ่อรับสังฆทาน เราโมทนากับเขาเราก็ได้รับพรพระท่านด้วยเช่นกัน***

(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 84 เดือนกุมภาพันธ์ 2531 หน้า 12)






เคยชินกับความดี
มอง ในสิ่งที่ดี
เห็น ในสิ่งที่ดี
ฟัง ในสิ่งที่ดี
พูด ในสิ่งที่ดี
นึก ในสิ่งที่ดี
แล้วเอ็งก็จะเป็น “คนดี”

คำสอน หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ






เราเจอหลวงตาตอนมีชีวิตอยู่ ถามว่าเราได้ธรรมจากหลวงตากี่เปอร์เซ็นต์ ธรรมหลวงตามาติดในใจเราบ้างหรือยัง หรือไม่ติดเลย คำสั่งสอนของหลวงตา อำนาจธรรมของหลวงตามาปรากฏในจิตในใจเราบ้างไหม ส่วนมากไม่ค่อย เพราะเราอยู่ใกล้ชิดท่าน ก็เลยลืมภาวนา คิดแต่จะให้หลวงตาช่วย หลวงตาท่านช่วยในคำสอน ในเรื่องจิตเราต้องช่วยตัวเอง

เราต้องพยายามค้นหาจิตตัวเองให้เจอ พยายามประคับประคองหัวใจ กาลเวลาโลกข้างหน้ามันมีแต่ความร้อน มีแต่ความหลง มีแต่อารมณ์ทั้งนั้น ญาติโยมนักปฏิบัติก็เหมือนกัน ใช้อารมณ์รุนแรงมาก ปฏิบัติยังไงไม่รู้ยิ่งอารมณ์ร้อน ยิ่งปฏิบัติจิตต้องยิ่งเย็นสิ นี่ปฏิบัติยิ่งอารมณ์ร้อน ใครพูดขวางหูไม่ได้ ฉอดๆๆๆๆ ไม่เข้าใจ ปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ผู้ปฏิบัติต้องนิ่มนวล เยือกเย็น เป็นคนให้อภัย เป็นคนอดทน ผู้ปฏิบัติธรรมผู้รู้ธรรมนี่ใช้ความอดทนเป็นเลิศนะ

อย่างอาตมานี่ ไปอยู่สุรินทร์ ไปบิณฑบาตเขาก็เอาขี้ใส่บาตรอาตมา อาตมาก็ไม่ว่าอะไร มาถึงวัด อาตมาก็เอาขี้ออก ล้าง เอาผ้าเช็ด ใส่อีกอาตมาก็ไม่ว่าอะไร เขาคิดว่าอาตมาจะกินขี้เขา จะกินได้ยังไง เราก็รู้ว่าขี้ เขาทดสอบดูว่าถ้าอาตมาโง่ก็กินขี้เขาเลย อาตมาก็โง่เหมือนกันแต่ไม่กิน อาตมาก็เอาออก

ไปอยู่ที่ไหน ชะตาชีวิตอาตมาไม่เคยเหมือนคนอื่น ไปอยู่ที่ไหนไม่มีใครนิมนต์อาตมาหรอก มีแต่เขาจะเดินขบวนไล่ ไล่เป็นพันคน เอาก้อนอิฐก้อนหินเขวี้ยงใส่ ไปที่ไหนก็เดินขบวนไล่เผากุฏิทิ้ง นี่คือชะตาชีวิตอาตมาไม่เหมือนใคร

ไปอยู่ปีแรกที่สุรินทร์ เขมรก็มาเผาวัด พระพุทธรูปกระเด็นกระดอนไปหมด หลบกระสุนปืนถึงรอดมาได้ ไปอยู่ที่อื่นก็โดนเขาก่อนหินเขวี้ยงใส่หัว เราก็มากราบเรียนหลวงตาว่าเขาเอาก้อนหินเขวี้ยงใส่หัว โนเลย หลวงตาถามว่าศาสดาของท่านองค์ไหน ก็บอกสมณโคดม หลวงตาว่าสมณโคดมโดนก้อนอิฐเบอเริ่มเลยนะ นี่แค่ก้อนหิน อาตมาก็สาธุ

ไปอีกที่ เขาก็มาด่าอาทิตย์ละวัน อาตมาถามว่าจะด่าวันละกี่ชั่วโมง เขาบอกสองชั่วโมง ด่าโคตรพ่อโคตรแม่อาตมา ด่าหมด สุดท้ายได้แค่ห้าวัน เหนื่อยจะตาย เขาบอกด่าอาตมา อาตมาไม่โกรธ อาตมาบอก อาตมาจะโกรธก็ได้ แต่ตอนนี้เขากำลังด่าอยู่ ก็ให้เขาด่าให้อิ่มไป

ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องใช้ความอดทน ใช้ขันติเป็นพลัง

หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร อ.บัวเชด จ.สุรินทร์






#เห็นภาพพระพุทธเจ้าก็เหมือนเห็นพระองค์เอง

... " อย่าลืมนะ ลูกหลานที่รัก พระพุทธเจ้าที่เห็นอาจจะเป็น "พุทธนิมิต" ถ้าใครเขาบอกว่า พระพุทธเจ้าองค์เดียว จะไปช่วยคนทุกคนได้อย่างไร เป็นอุปาทาน พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว

.. ลูกรักทุกคน จงจำคำนี้ไว้ องค์สมเด็จพระจอมไตร เมื่อวันจะนิพพาน พระอานนท์มีความเสียใจว่า ท่านเองเป็นแค่พระโสดาบัน ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ถ้าพระพุทธเจ้านิพพานเวลานี้ ต่อไปก็ไม่มีครูสอน องค์สมเด็จพระชินศรี จึงได้ตรัสว่า..

.. "อานันทะ ดูกรอานนท์ เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ จะเป็นครูสอนเธอ" โดยเฉพาะความจริง คำว่า "พระพุทธเจ้าไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายเป็นแต่เพียงเรือนร่างที่อาศัยเท่านั้น พระพุทธเจ้า คือ กายทิพย์ หรือที่เรียกว่า อทิสสมานกาย ( อ่านว่า อะ ทิส สะ มา นะ กาย ) เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อทิสสมานกาย ที่มีความสะอาด ตัดกิเลสได้ผ่องใส เป็นกายทิพย์

.. ความเป็นทิพย์ ลูกหลานทุกคน ไม่มีการสลายตัว การจะเห็นพระพุทธเจ้า ถือว่าเห็นความดีของท่าน ถ้าถามว่าทำไมเห็นตัว ก็ต้องขอตอบว่า : ในสมัยที่พระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ เวลานั้น ถ้าใครนึกถึงองค์สมเด็จพระบรมครู หรือว่า ตั้งใจปฏิบัติความดี เพื่อมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลอยู่ไกลแสนไกล ก็เปล่งฉัพพรรณรังสี คือ รัศมีของพระองค์ ให้ไปถึงหน้าคนนั้น ก็ปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมของพระองค์ นั่งข้างหน้า แล้วก็เทศน์สอน เหมือนกับพระองค์นั่งอยู่ที่นั้นเอง

.. ก็รวมความว่า คนนั้นก็ฟังเทศน์จากพระองค์เอง ก็แล้วกัน อันนี้เหมือนกับลูกหลานทุกคน ที่กำลังฟังอยู่ ว่า เห็นภาพพระพุทธเจ้า ก็ถือว่า เห็นฉัพพรรณรังสี ก็เหมือนเห็นพระองค์เอง จะพูดอะไรกันก็ได้ จะสอนอะไรก็ได้ จะนำใครไปไหนก็ได้ เหมือนพระองค์นำไปเอง

.. ฉะนั้น ถ้าเห็นภาพ ให้นึกว่า นั่นคือพระพุทธเจ้าตรง ไม่มีอะไรผิด..."

ที่มา : จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๑๖ หน้าที่ ๑ ของวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง





ธรรมะหลวงปู่ดุลย์ อตุโล สอนเรื่องจิตก่อนตาย

เรื่องจิตก่อนตายนั้น สำคัญมากหากเวลาดับจิต หากจิต"ดี" ก็ได้ไปที่ "ดีๆ"หากจิต “หมอง” จิต “ร้าย” ก็จะไปสู่ “อบายภพ” ที่ร้อนร้ายในทันใด ซึ่งจิตก่อนตายนี้ เป็นของไม่แน่นอน บังคับไม่ได้ แล้วแต่วาระหรือกรรมจะพาให้เป็นไป ด้วยเหตุนี้บางคน แม้เคยทำบุญมามากต่อมากแต่ตายไปกลับไปตกนรกทั้งนี้เป็นเพราะ"จิตหมอง"ก่อนตาย บางคน แม้จะทำบาปทำกรรมมามากมาย แต่ตายไป กลับไปอยู่บนสวรรค์ทั้งนี้เพราะเกิด"จิตใส"ตอนดับจิต

กรณีทั้งสองแบบ ล้วนมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกมาแล้วทั้งสิ้นแต่สำหรับคนที่เคย"ฝึกจิต"มาก่อนวินาทีที่รู้ตัวว่า อย่างไรเสียจะต้องตายหรือดับจิตลงไปแน่ๆหาก"ทำเป็น" ก็อาจพลิกจิตยกขึ้นสู่ภูมิสูง ไปสู่"สุคติ"หรือ"อริยะ" ไป "สุคติภพ"หรือ"อริยภูมิ" เลยก็ได้สำหรับวิธีตกกระไดพลอยกระโจน (สู่สุคติภพหรืออริยภูมิ)ของพระราชวุฒาจารย์หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม สุรินทร์ ก็คือ

ปล่อยวางทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบันอยู่กับความไม่มีไม่เป็น ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต ไม่มีอะไรเลยไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง

พระอริยเจ้ามีจิตไม่ส่งออกนอกจิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อมมีสติอย่างสมบูรณ์เป็น วิหารธรรมมีสติอย่างสมบูรณ์ เป็นเครื่องอยู่วิธีทำหยุดคิด อย่าส่งจิตออกนอกมีสติอย่างสมบูรณ์เป็นเครื่องอยู่แต่เรื่องของการ"พลิกจิต" ช่วงสุดท้ายนี้ หลวงปู่ดุลย์ท่านว่าบุคคลนั้นๆต้องเคย"ฝึก"มาก่อน จึงจะทำได้จริง พอดี

หลวงปู่ดุลย์ อตุโล




เราเจอหลวงตาตอนมีชีวิตอยู่ ถามว่าเราได้ธรรมจากหลวงตากี่เปอร์เซ็นต์ ธรรมหลวงตามาติดในใจเราบ้างหรือยัง หรือไม่ติดเลย คำสั่งสอนของหลวงตา อำนาจธรรมของหลวงตามาปรากฏในจิตในใจเราบ้างไหม ส่วนมากไม่ค่อย เพราะเราอยู่ใกล้ชิดท่าน ก็เลยลืมภาวนา คิดแต่จะให้หลวงตาช่วย หลวงตาท่านช่วยในคำสอน ในเรื่องจิตเราต้องช่วยตัวเอง

เราต้องพยายามค้นหาจิตตัวเองให้เจอ พยายามประคับประคองหัวใจ กาลเวลาโลกข้างหน้ามันมีแต่ความร้อน มีแต่ความหลง มีแต่อารมณ์ทั้งนั้น ญาติโยมนักปฏิบัติก็เหมือนกัน ใช้อารมณ์รุนแรงมาก ปฏิบัติยังไงไม่รู้ยิ่งอารมณ์ร้อน ยิ่งปฏิบัติจิตต้องยิ่งเย็นสิ นี่ปฏิบัติยิ่งอารมณ์ร้อน ใครพูดขวางหูไม่ได้ ฉอดๆๆๆๆ ไม่เข้าใจ ปฏิบัติแล้วเป็นอย่างนี้ได้ยังไง ผู้ปฏิบัติต้องนิ่มนวล เยือกเย็น เป็นคนให้อภัย เป็นคนอดทน ผู้ปฏิบัติธรรมผู้รู้ธรรมนี่ใช้ความอดทนเป็นเลิศนะ

อย่างอาตมานี่ ไปอยู่สุรินทร์ ไปบิณฑบาตเขาก็เอาขี้ใส่บาตรอาตมา อาตมาก็ไม่ว่าอะไร มาถึงวัด อาตมาก็เอาขี้ออก ล้าง เอาผ้าเช็ด ใส่อีกอาตมาก็ไม่ว่าอะไร เขาคิดว่าอาตมาจะกินขี้เขา จะกินได้ยังไง เราก็รู้ว่าขี้ เขาทดสอบดูว่าถ้าอาตมาโง่ก็กินขี้เขาเลย อาตมาก็โง่เหมือนกันแต่ไม่กิน อาตมาก็เอาออก

ไปอยู่ที่ไหน ชะตาชีวิตอาตมาไม่เคยเหมือนคนอื่น ไปอยู่ที่ไหนไม่มีใครนิมนต์อาตมาหรอก มีแต่เขาจะเดินขบวนไล่ ไล่เป็นพันคน เอาก้อนอิฐก้อนหินเขวี้ยงใส่ ไปที่ไหนก็เดินขบวนไล่เผากุฏิทิ้ง นี่คือชะตาชีวิตอาตมาไม่เหมือนใคร

ไปอยู่ปีแรกที่สุรินทร์ เขมรก็มาเผาวัด พระพุทธรูปกระเด็นกระดอนไปหมด หลบกระสุนปืนถึงรอดมาได้ ไปอยู่ที่อื่นก็โดนเขาก่อนหินเขวี้ยงใส่หัว เราก็มากราบเรียนหลวงตาว่าเขาเอาก้อนหินเขวี้ยงใส่หัว โนเลย หลวงตาถามว่าศาสดาของท่านองค์ไหน ก็บอกสมณโคดม หลวงตาว่าสมณโคดมโดนก้อนอิฐเบอเริ่มเลยนะ นี่แค่ก้อนหิน อาตมาก็สาธุ

ไปอีกที่ เขาก็มาด่าอาทิตย์ละวัน อาตมาถามว่าจะด่าวันละกี่ชั่วโมง เขาบอกสองชั่วโมง ด่าโคตรพ่อโคตรแม่อาตมา ด่าหมด สุดท้ายได้แค่ห้าวัน เหนื่อยจะตาย เขาบอกด่าอาตมา อาตมาไม่โกรธ อาตมาบอก อาตมาจะโกรธก็ได้ แต่ตอนนี้เขากำลังด่าอยู่ ก็ให้เขาด่าให้อิ่มไป

ผู้ปฏิบัติธรรม ต้องใช้ความอดทน ใช้ขันติเป็นพลัง

หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร อ.บัวเชด จ.สุรินทร์


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO