นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 4:05 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ให้พากันรักษาศีล
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 16 ส.ค. 2023 5:23 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4546
ให้พากันรักษาศีลห้าไว้เด้อญาติโยม เป็นเครื่องคุ้มครองเจ้าของ ศีลห้าเป็นศีลของฆราวาส รักษาไว้เเน่ เเล้วกะให้รักษาใจ เบิ่งใจเจ้าของ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จได้ด้วยใจ บุญก็อยู่ที่ใจ บาปก็อยู่ที่ใจนี้ล่ะนิพพานกะอยู่ที่ใจ ทุกอย่างมีใจพาไป.. พากันพิจารณาเด้อ อย่าขี่ค้าน บ่เเม่นกินข้าวเเล้วละนั่งเบิ่งโทรทัศน์ นั่งภาวนาเบิ่งใจเจ้าของเเน่ ในเเต่ละมื้อเเต่ละวัน

....ธรรมมะจาก
#หลวงปู่ปั่น_สมาหิโต
สำนักสงฆ์ศรีอุทัย อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร





"ดูตัวเอง ฝึกฝนตัวเอง แก้ไขตัวเอง
ปรับปรุงตัวเอง เรียกว่า ดูที่ตัวเราก่อน
ไม่ต้องไปดูคนอื่น

ส่วนมากแล้ว คนเรามักชอบโทษคนอื่น
ไม่ชอบโทษตัวเอง มันเหมือนกับเรา
มองดูขนตาของเรา แต่มองเท่าไร
ก็มองไม่เห็น บอกไม่ถูกว่ามันมีกี่เส้น
มันยาวขนาดไหน มันไม่เห็นอะไรเลย

การที่เรามองดูตัวเองไม่เห็น
เพราะเราขาดสติปัญญา"

พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป





“ความดี กับความไม่ดี
ขึ้นอยู่กับเหตุ คือ เราทำไว้
ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคนพูด “

หลวงปู่ศรี มหาวีโร







คำสอนช่วงท้ายก่อนลาขันธ์

ปนิธานของหลวงปู่มั่นท่านให้น้ำหนักการสอนไปที่พระเณรมากกว่าฆราวาส ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าได้พระดีแม้รูปเดียวก็จะอำนวยประโยชน์ และขยายผลออกไปได้อย่างมหาศาล ซึ่งก็เป็นที่ประจักษ์ดีอยู่แล้ว ดังจะเห็นว่าหลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ที่เป็นศิษย์สายหลวงปู่มั่นนั้นแต่ละองค์ได้สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน สังคม และพระศาสนาอย่างมหาศาล ไม่ต้องยกตัวอย่างพวกเราก็คงพอนึกออกได้เป็นอย่างดี

ในเนื้อธรรมที่แสดงในระยะเริ่มป่วยคล้ายกับเป็นการเตือนสงฆ์ว่า นับแต่ท่านเริ่มป่วยคราวนี้ เป็นการป่วยในลักษณะที่ถอดถอนรากเหง้าของเค้ามูลชีวิตธาตุขันธ์เกี่ยวกับการผสมทุกส่วนของร่างกายให้ลดความดีงามคงที่ลงเป็นของชำรุดใช้งานไม่ได้โดยลำดับ

เกี่ยวกับคำสอนในช่วงสุดท้านของหลวงปู่มั่นที่ท่านแสดงเพื่อสอนพระเณรในช่วงที่ท่านเริ่มป่วย จนกระทั่งลาขันธ์นั้น หลวงตามหาบัวได้บันทึกไว้ดังนี้

นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป การห่วงธาตุขันธ์และความตายนั้นผมได้พิจารณามานานเกือบ 60 ปี ไม่มีสิ่งที่น่าห่วงใยใดๆทั้งสิ้นแล้ว ผมหายสงสัยกับสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิงแล้ว นับแต่ขณะธรรมของจริงเต็มส่วนเข้าถึงใจมาจนบัดนี้ มองดูสิ่งใด ทั้งในกายทั้งนอกกายมันเป็นสภาพเดียวกับที่มีอยู่ในกายเรา ที่เริ่มสลายตัวลงวันละเล็กละน้อยนี้ เพื่อความเป็นของเดิมเขา แม้สมมุติว่ายังเป็นกายเราอยู่ก็ตาม มันก็คือสิ่งเดียวกันกับธาตุทั่วๆไปนั่นเอง

สิ่งที่ผมเป็นห่วงอยู่เวลานี้ คือ ท่านผู้มาศึกษาทั้งหลายทั้งมาจากที่ใกล้และที่ไกล กลัวจะไม่ได้อะไรเป็นหลักใจเมื่อผมผ่านไปแล้ว จึงได้เตือนอยู่เสมอว่า อย่าพากันประมาทนอนใจว่ากิเลสคือเชื้อแห่งภพเกิดตายไม่มีทางสิ้นสุด เป็นของเล็กน้อยไม่เป็นภัยแก่ตน แล้วไม่กระตือรือล้นเพื่อแก้ไขถอดถอนเสียแต่กาลที่ยังควรอยู่ เมื่อถึงกาลที่สุดวิสัยแล้ว จะทำอะไรกับกิเลสเหล่านี้ไม่ได้นะ จะว่าไม่บอกไม่เตือน

คนและสัตว์ทุกข์ทรมานมาประจำโลก อย่าเข้าใจว่าเป็นอะไร แต่เป็นมาจากกิเลสตัณหาที่เห็นว่าไม่สำคัญ และไม่เป็นภัยนั่นแหละ ผมค้นดูทางมาของการเกิดการตายและการมาของกองทุกข์มากน้อยจนเต็มความสามารถของสติปัญญาที่มีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเป็นต้นเหตุชักจูงจิตใจให้มาหาที่เกิดตายและรับความทรมานมากน้อยเลย มีแต่กิเลสตัวที่สัตว์โลกคิดว่าไม่สำคัญและมองข้ามไปนี้ทั้งสิ้นเป็นตัวการสำคัญ ทุกท่านมีกิเลสดังกล่าวบนหัวใจด้วยกัน มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง หรือยังไม่เห็นความสำคัญเช่นเดียวกับโลกทั้งหลายด้วยหรือ ถ้าเห็นอย่างนั้น การมาอยู่และอบรมกับผมจะเป็นเวลานานเพียงไร ก็เท่ากับท่านทั้งหลายมาทำตัวเป็นทัพพีขวางหม้ออยู่เพียงนั้น

ถ้าต้องการเหมือนลิ้นผู้รอรับรส ก็ควรฟังธรรมที่ผมแสดงอย่างถึงใจทุกครั้งให้ถึงใจ อย่าพากันเป็นทัพพีขวางธรรมอยู่นานนักเลยขะตายทิ้งเปล่าๆ ยิ่งกว่าสัตว์ตายที่เนื้อหนังยังเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ส่วนคนประมาท ยังตายอยู่หรือเป็นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ผมเริ่มป่วยก็ได้บอกมาโดยลำดับว่าผมเริ่มตายไปเป็นลำดับเช่นเดียวกัน การตายด้วยความเพียงพอทุกอย่าง เป็นการตายที่หมดกังวลพ้นทุกข์ แม้ขะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีอะไรบกพร่อง ผู้เพียงพอทุกอย่างแล้วไม่จำเป็นต้องคาดหวังสิ่งใดๆทั้งสิ้น อยู่กับความเพียงพอนี้ แต่การตายด้วยกิเลสความไม่อิ่มพอใจ จะไปอยู่โลกไหนความไม่อิ่มพอก็ติดแนบอยู่ที่ดวงใจทำให้เป็นทุกข์ ตามส่วนของกิเลสที่มีอยู่ในใจนั่นเอง

ท่านทั้งหลายอย่าไปคาดโลกนั้นโลกนี้ ว่าน่าสนุกรื่นเริงบันเทิงใจเวลาตายไปอยากไปอยู่โลกนั้นโลกนี้ อันความอยากความไม่เพียงพอกวนใจอยู่ก่อนที่ยังไม่ตาย ท่านทั้งหลายยังมองไม่เห็นว่าเป็นข้าศึก เครื่องรบกวนใจ แล้วพวกท่านจะไปหาความสุขจากอะไรที่ไหนกัน ถ้าท่านทั้งหลายไม่หมดความหวังว่าจะไปโลกนั้นโลกนี้อยู่ อย่างนี้แล้วผมเองก็หมดปัญญาด้วย

การเป็นพระถ้าใจยังไม่มีความสงบเย็นทางสมาธิธรรมแล้ว อย่าเข้าใจว่าตนจะได้รับความสุขเย็นใจที่ไหนๆเลย แต่จะเจอเอาแต่ความรุ่มร้อนที่แอบแฝงไปกับหัวใจที่ไม่มีความสงบนั้นนั่นแล จงพากันรีบชำระแก้ไขให้พอเห็นทางเดินของจิตเสียแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ใครเพียรใครอาจหาญใครอดทนในการต่อสู้กับกิเลส ตัวฝืนธรรมอยู่ตลอดเวลา ผู้นั้นจะเจอร่มเงาแห่งความสงบเย็นใจในโลกนี้ ในบัดนี้และในดวงใจนี้ ไม่เนิ่นนานเหมือนการท่องเที่ยวที่เจือไปด้วยสุขด้วยทุกข์อยู่ทุกภพทุกชาติไม่มีวันจบสิ้น

ธรรมทุกบททุกบาทที่ศาสนาสอนไว้ ล้วนเป็นธรรมรรื้อขนสัตว์ผู้เชื่อฟังพระองค์ให้พ้นไปโดยลำดับ จนถึงขั้นธรรมที่ไม่กลับมาหลงโลกที่เคยเกิดตายนี้อีกต่อไป

ท่านผู้ไม่หวังมาเกิดอีก ต้องประมวลโลกทั้งสามภพลงในไตรลักษณ์ที่หมุนไปด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามขั้นหยาบละเอียดของภพชาตินั้นๆด้วยปัญญา จนปราศจากความสงสัยอุปปาทานที่ว่ายึดๆชนิดแกะไม่ออกนั้นจะถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทันนั่นแล ขอแต่ปัญญาเครื่องตัดสิ่งกดถ่วงให้คมกล้าเถอะ ไม่มีอะไรจะเป็นเครื่องมือแก้กิเลสทุกประเภทอย่างทันสมัยเหมือนสติปัญญาในสามภพนี้

ที่มา :หนังสือประวัติ ข้อวัตร และปฏิปทา หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บันทึกโดย หลวงตามหาบัว






. เมื่อเกิดมาอาภัพชาติ แล้วอย่าให้ใจอาภัพอีก ผู้เกิดมาชาตินี้อาภัพแล้ว อย่าให้ใจอาภัพ คิดแต่ผลิตโทษทำบาปอกุศลเผาผลาญตนให้ได้ทุกข์ เป็นบาปกรรมอีกเลย

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร






"...การปฏิบัติธรรมนั่นน่ะ ก็เพื่อมาพากเพียรพยายาม
ละบาปอกุศลที่ตนได้ลุ่มหลงกระทำมาแต่ก่อนนั่นแหละ
ให้มันหมดสิ้นไปจากจิตใจ เมื่อตนมารู้ตัวแล้วก็มา
สมาทานศีลนั่น ตนจะไม่ทำบาปกรรมอย่างนั้นต่อไปอีก
แต่บาปกรรมที่ทำมาแล้วมันยังมีอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ
จึงต้องภาวนาอาศัยทำใจสงบ อธิษฐานใจละบาปกรรม
ที่ลุ่มหลงกระทำมาแต่ก่อนนั้น ให้มันหมดไปสิ้นไปจาก
จิตใจนี้ นี่นะวิธีละบาปให้พากันเข้าใจ

ถ้าผู้ใดไม่เข้าใจอย่างนี้นะ นึกว่าตนสมาทานศีลแล้วก็
แล้วไป คิดว่าบาปคงระงับไปแล้วอย่างนี้ เลยไม่ทบทวน
ไม่อะไรอย่างนี้นะ อย่างนั้นบาปมันไม่ระงับนะ บาปมัน
ย่อมติดตามไปอยู่อย่างงั้นแหละ ส่วนที่เราสมาทานศีล
มันก็เป็นศีลไปอยู่ บาปมันก็ไม่เกิดแหละ เมื่อเราสมาทาน
ศีลมั่นคงกันไปแล้วนะ แต่ส่วนที่มันทำมาแล้วนั่นสิ มันยัง
ติดสอยห้อยตามอยู่ อันนั้นเราจึงต้องอาศัยอธิษฐานใจ
ละเสมอๆ ไป..."

#ที่มา หนังสือ วรลาโภวาท หน้า ๑๐๖ - ๑๐๗
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)







..ตื่นขึ้นมาก็พิจารณาไปเรื่อยๆ ผู้ที่พิจารณาด้วยก็เรียกว่าผู้ที่มองเห็นคุณงามความดีของตนเอง เป็นผู้ชำระกิเลสของตนเองเรียกว่าปฏิบัติ
..ปฏิบัติไม่ใช่จะต้องนั่งหลับตาเท่านั้น การยืนเดินนั่งนอน การตรวจตราพิจารณาไปเรื่อยๆว่าทำอะไรอยู่ พูดจาปราศรัยเรื่องอะไรอยู่ คิดอยู่ในจิตในใจของเราเรื่องอะไรอยู่ ให้เราดูไปเรื่อยๆ เรียกว่าแก้ปัญหา เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นเกิดความวุ่นวายจะได้แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
..ทางด้านธรรมะเรียกว่าฟังเทศน์ด้วยตนเอง การฟังเทศน์ด้วยตนเองนี้เช่นตอนที่เราไม่สบาย มีความทุกข์อย่างนี้หนอ ก็จะรู้จักเพื่อให้สบาย..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่







"ความเข้าใจผิด
ความเข้าใจคลาดเคลื่อน
ทำให้เรามองโลกผิด
เข้าใจผิดไปเอง

พอมันรู้สึกตัว
อ๋อ..ทุกอย่างมันมีเรื่องของมัน
ทุกอย่างมันมีเหตุและผลในตัวของมัน
ทุกอย่างมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน

พอเราเห็นชีวิตของตัวเอง
เพราะเราไปยุ่งกับชีวิตคนอื่น
มันก็เลยลัดวงจร
มันก็เลยสับสนไปเอง

เพราะความจริงเราต้องกลับมา
เรียนรู้เหตุของตัวเอง
เราต้องการผลแบบไหน
ต้องมาดูเหตุ มันก็จะเห็นเหตุชัด

ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ
พระศาสดาทรงแสดง
เหตุแห่งธรรมนั้น

ทุกอย่างมันเป็นไปตาม
เหตุแห่งกรรม
ใครทำกรรมอะไรไว้
นั่นแหละ...
คือผลที่เขาจะต้องได้รับ

เหมือนเรากินอาหารครบ 5 หมู่
ถูกสุขลักษณะ ถูกธาตุขนธ์ของตน
ผลของการรับประทานอาหาร
ที่ถูกสุขลักษณะ ก็จะเกื้อกูลให้
ร่างกายนั้นแข็งแรง

ใจของเราก็เหมือนกัน
ถ้าใจเรามีความเห็นถูก
ใจก็จะเกื้อกูลในกำลังสติปัญญา
ที่รู้จักว่าอะไรเป็นประโยชน์
ที่รู้จักว่าอะไรเป็นโทษ

แต่ถ้าเกิดว่าใจเรา
ตั้งอยู่ในความเห็นผิด
ผลของความเห็นผิด
มันก็จะพาเราวนไปอยู่
ในความทุกข์ที่ยาวนาน
หาทางออกไม่ได้

เห็นว่าบุญไม่มีบาปไม่มี
เห็นว่าคุณของบิดามารดาไม่มี
เห็นว่าอนิสงส์ของทานไม่มี
เห็นว่าโลกนี้ไม่มีโลกหน้าไม่มี

เห็นว่าผู้ที่รู้แจ้งโลกพระอรหันต์
ผู้ที่นำพาสรรพสัตว์
คือผู้ที่มีความรู้ยิ่งกว่าตน เห็นว่าไม่มี
ท่านเรียกว่า..
มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด

ความเห็นที่ตรงต่อความจริง
เรียกว่า "สัมมาทิฏฐิ"
รู้จักต้นสายปลายเหตุ
ของแต่ละสิ่งตามจริง
ไม่ได้คิดไปเองแต่รู้จริงๆ
ว่ามันเป็นอย่างงั้นจริงๆ

ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่
มีต้นสายปลายเหตุในตัวของตัว

มันก็เลยไม่ยุ่งกับใคร
ถอนความสงสัยจากสิ่งอื่นออกหมดเลย
โอ้ย..เรื่องของเขา มันก็ไม่สนใจแล้ว
เรื่องของเขาแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับเรา
มันก็เลยกลับมาสนใจตัวเอง

#ดูใจตัวเองอย่างเดียว

แสดงธรรมเข้าวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๖
ณ บ้านธรรมบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
.........................................
พระอาจารย์ตะวัน ปัญญาวัฒฑโก
สำนักสงฆ์ถ้ำแจ้ง จ.ลำปาง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO