นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 4:04 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: คุณงามความดี
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 11 ส.ค. 2023 5:25 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4546
“หลวงปู่มันบาดนี้เพิ่นเว้าคำได้ เพิ่นเว้าเรื่องผญาออกมาเพิ่นว่า “สาระพัดแก้วขา สาระพาเกี้ยวแข้ง สายต่องแต่งเกี้ยวคอ นั่งก่อซอคือลิงติดตัง” คักบ่หมู่เจ้า นั่งก่อซอคือลิงติดตัง บ่ว่าผู้หญิงผู้ชาย หมดทางไปถ้าบ่มีธรรมเป็นพี่เลี้ยงของจิต หมดทางไป เพิ่นย้านบ่เข้าใจเพิ่นกะว่าอีก “ตัณหาฮักลูก เพิ่นว่าจังซิ เหมือนเชือกผูกคอ” ตัณหาฮักผัวฮักเมียนี่ก็เพิ่มหน่อยหนึ่ง เพิ่นว่าตัณหาฮักผัวฮักเมียคือเชือกผูกซอกสองแขนมัดนั่งก่อซอเลย ตัณหาฮักวัตถุข้าวของคือปอกซุปตีน สามอย่างนี้เพิ่นว่า ผูกสัตว์ไว้บ่ให้ไปนิพพานนั่งก่อซอคือลิงติดตัง”

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูบาอาจารย์
พระฉนฺทกโร หลวงปู่ปรีดา หลวงปู่ทุย
วัดป่าดานวิเวก(ดงสีชมพู) บ้านแสงอรุณ ต.ศรีชมภู อ.โซ่พิสัย จ.บึงกาฬ







"คนดี อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราดีเสียแล้ว
ไปอยู่ที่ไหน มันก็ดี เขาจะนินทา สรรเสริญ
จะว่าจะทำอะไร เราก็ยังดี แม้เขาจะข้ามหัวไป
ก็ยังดีอยู่

แต่ถ้าเรายังไม่ดี เขานินทา เราก็โกรธ
ถ้าเขาสรรเสริญ เราก็ยินดี ก็หวั่นไหว
อยู่อย่างนั้น

เมื่อรู้ว่า คนดีอยู่ที่ไหนแล้ว
เราจะมีหลักในการปล่อยวางความคิด
เราจะอยู่ที่ไหน เขาจะรังเกียจ
หรือจะว่าอะไร ก็ถือว่าไม่ใช่เขา
หรือเขาชั่ว เพราะดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวเรา
เราย่อมรู้จักตัวเราเอง ยิ่งกว่าใคร"

หลวงปู่ชา สุภัทโท







“สมัยก่อนไปฟังธรรมท่านอาจารย์มั่น
ท่านบอกว่า...
อย่าไปฟังให้มันมากธรรมะนั่น ให้ปฏิบัติไปเถอะ
เข้าฟังเทศน์พระพุทธเจ้าดีกว่า
เราก็ไม่รู้จักให้พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ให้ฟัง
ไปค้นคว้าหาพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ๆ มันก็ไม่
เจอ ไม่พบ แน่ะ!

ก็เพราะเราไม่ปฏิบัติ
ให้พระพุทธเจ้าเกิด มันก็ไม่เจอสักทีแหละ
ไม่เห็น นั่น

เมื่อเราปฏิบัติพิจารณาไปแล้ว
โอ้...พระพุทธเจ้า ก็คือ...ตัวผู้รู้
ที่เราร้องเรียกกันว่า พุทโธ ๆ ๆ ๆ นี่ ให้มันรู้ขึ้นมา
รู้ ถึงจิตถึงใจ
รู้ ถึงกิเลสตัณหา
รู้ละ รู้เว้น รู้...ประพฤติปฏิบัติ
มันรู้...ขึ้นมา ก็ได้ฟังธรรมท่านเท่านั้นแหละ
เมื่อเห็นธรรมะแล้ว...
ก็เข้าไปเห็นพระพุทธเจ้า เมื่อใกล้ธรรมะ...
ก็ใกล้พระพุทธเจ้า

ท่านสอนให้พระอานนท์
อานนท์ ! ทำให้มากเจริญให้มาก
ใครเห็นธรรม คนนั้น...เห็นเรา
ใครเห็นเรา คนนั้น...เห็นธรรม
มันจะไปไหน ?
มันต้องอยู่ ในข้อประพฤติปฏิบัติ
นั่น

ฉะนั้น...
อย่าไปสงสัย อย่าไปย่อหย่อน.”

------------------------------------------------------------------------
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง
ที่มา : หนังสือฉลาดมันโง่ หน้า ๖๘-๖๙








"จิต...ปล่อยจิต
เป็น ธรรมอันเดียว
เป็น ธาตุที่บริสุทธิ์
เป็น มหัศจรรย์
ยิ่งกว่า...ความมหัศจรรย์ ทางสมาธิปัญญาใด
ที่เคยผ่านมา

พอจิต...วางปั๊บ ฮุกหมัดเด็ด
คือ วิปัสสนาญาณเข้าปลายคาง ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็นอจินไตย

ตามดูลมหายใจไปด้วย
ผ่อนลงไป ผ่อนลงไป ทีแรกมันอยู่ตรงนี้
พออยู่ตรงนี้หมด...หมด...หมด...หมดขึ้นมาเรื่อย
หมดขึ้นมาเรื่อย อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ ยังมีอีกนิด ๆ

เราก็พิจารณาอยู่
ยังไม่หมดนี่ พิจารณา ค้นอยู่...อย่างนั้นตลอด

พอพิจารณาตรงนี้
มันดับหมดแล้ว เราก็ หยุด...ความคิด
คือเรียกว่า...หยุด...ความค้น
ลองวางปั๊บ แหม !! มันขาดเชียว

การขาด ครั้งนี้
ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา
พอจิตวางปั๊บ...จิต มีอิสรภาพอย่างสูงสุด
ปล่อยวาง สังขารโลก คว่ำวัฏจักรวัฏจิต
แหวกอวิชชาและโมหะ อันเป็นประดุจตาข่าย
ด้วยการฮุกหมัดเด็ด คือวิปัสสนาญาณ เข้า
ปลายคางอวิชชาถึงตาย ไม่มี...วันฟื้น !!

พระพุทธเจ้า
พระองค์อยู่ที่ใด ทราบได้อย่างประจักษ์ใจ
คำว่า...เป็นหนึ่ง นั้น
ไม่มี ความหมายใด จะอธิบายต่อได้อีก

ภพ ชาติ ที่หมุนวนมา
ตั้งกัปตั้งกัลป์นั้น เป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภัยได้
ชาติ สังขาร อยู่ที่ใด ใจ...ไม่เกี่ยวเกาะ
สิ่งที่ จิต...เคยเกี่ยวเกาะ ถูกลบด้วย ธรรมชาติ
ที่เป็น...หนึ่ง นั้น

จะว่าบริสุทธิ์ ก็พอจะคาดเดาได้
แต่ธรรมชาติอันนี้ หยั่งลึกเกินอธิบาย
เป็น...อจินไตย
สำหรับปุถุชน ไม่ควรถามคิดให้ปวดหัว

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ไม่มี ช่องทางให้ อวิชชาเดิน ถูกปิดด้วย...
มหาสติ มหาปัญญา

วิปัสสนาญาณ
ตีตะล่อมเข้าภายใน หักล้างอวิชชา
อันเป็นตัวการ

จิต...ปล่อยจิต
เป็น ธรรมอันเดียว
เป็น ธาตุที่บริสุทธิ์
เป็น มหัศจรรย์
ยิ่งกว่า...ความมหัศจรรย์ ทางสมาธิปัญญาใด
ที่เคยผ่านมา."
-----------------------------------------------------------------------
-หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท







. สำหรับทรัพย์สมบัติในทางโลก
ที่ได้สร้างสมมามากแล้ว ก็ควรจะหยุด
เพื่อรีบสร้างสมสิ่งที่เป็น “อริยทรัพย์” ในบั้นปลายของชีวิตให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้บ้าง

แต่หากเขาเหล่านั้นก็หาได้มีความหยุด ความยั้ง ความละ
ความปล่อย ความวาง ในทรัพย์สมบัติที่หามาได้เหล่านั้นไม่ มุ่งหน้าที่จะคิดอ่านประกอบกิจการงาน ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ

โดยไม่คำนึงถึงว่า สักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว ความตายก็จะต้องมาถึงเข้าอย่างแน่นอน ในที่สุดร่างกายของเขาก็ถึงซึ่งความแตกดับจริง ๆ และย่อยยับสูญหายไป ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนหามาได้ไว้ในโลกนี้ให้กับคนอื่นทั้งหมด ไม่สามารถที่จะนำเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นติดตามตนไปได้แม้แต่นิดเดียว

โดยที่ตนเองมิได้ประกอบคุณงามความดี ในทางสร้างสมในสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ให้มากเท่าที่ควรเลย
ซึ่งตนเองก็มีโอกาสและโชคดีอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็มิได้กระทำลงไป จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในชีวิตของเขา
เปรียบเสมือน “ต้นหาย กำไรสูญ”

“ต้น” ก็คือร่างกายและทรัพย์สมบัติที่หามาได้ทั้งหมด
“กำไร” ก็คือบุญกุศลหรือสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์

แทนที่จะได้ก็ไม่ได้ และถ้าใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปในทางที่ไม่ดี
ผิดศีลผิดธรรมอีกด้วยแล้ว หรือยึดในทรัพย์สมบัติที่หามาได้นั้นมากเกินไป
ก็ยิ่งจะขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ต้นก็หาย กำไรก็สูญ ชีวิตนี้ก็ขาดทุน

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร







"...จิตจะบันทึกไว้หมด...ทั้งความดี ทั้งความชั่ว..."

"...จิตของใครของมัน จิตดวงเดียวนั่นแหละ ตายไปแล้ว จิตออกจากร่างล่องลอยอยู่ไปตามภพภูมิ สุขไปอยู่สวรรค์ ทุกข์ไปอยู่นรก จิตของตัวเอง จิตของเราเอง กอบโกยคุณงามความดีไว้ก็เอาไปด้วย จิตของเราเปรียบเทียบเหมือนเมล็ดมะม่วง มีเมล็ดอยู่เอาไปปลูกในดินมีความชื้น มียางมีเชื้ออยู่แล้ว จะงอกออกมา แล้วมันงอกออกมามีทั้งรากทั้งเปลือกทั้งต้นทั้งใบ มาจากไหนเพราะมันเก็บสะสมไว้ ฉันใดก็ดีจิตใจของพวกเราก็ดี ถ้าเราทำความชั่วมันก็บันทึกความชั่วไว้เหมือนกับตลับเทป ตัวเทปเหมือนร่างกาย เราไปทำอะไรไว้จิตจะบันทึกไว้หมด ว่าเราทำความชั่วอะไร เราทำความดีก็จะบันทึกไว้เหมือนกัน เรียกว่าจิตตะวิญญาณหมายรู้เอาไว้ ยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ เมื่อเรามาเกิดใหม่ จิตดวงนี้มาเกิดใหม่ตามภพก็จะเอาสองอันออกมา จะเอาอะไรออกก่อน จะเอาชั่วหรือเอาดีออกมาก่อน กรรมแต่งให้เกิด อยู่ที่ผู้จะมาอุปถัมภ์กรรมผู้ที่จะมาชี้ เหมือนกับลูกที่เกิดมาตัวพ่อแม่เป็นปัจจัยที่สำคัญจะชี้แจงสั่งสอนลูก คนทำความชั่วต้องไปคบหาคนดี บัณฑิตเขาจะชี้แจงก็จะหยุดทำชั่ว ถ้าคบคนชั่วก็จะเป็นปัจจัยให้ทำชั่วไปถึงเฒ่าถึงแก่ ไปคบบัณฑิตก็จะเดินทางถูกตลอดเหมือนคนชี้ทางให้ คนชี้ทางเป็นปัจจัยสำคัญ ปัจจัยก็คืออะไรล่ะ ก็คือกิเลสความหลง คืออวิชชานั่นเอง..."

จากหนังสือ "ธรรมะ พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป อริยสงฆ์แห่งวัดอรัญญวิเวก"






สิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าจะไม่มี
สายลมถึงมองไม่เห็น แต่ก็มีอยู่จริง
บุญ บาป...ก็เหมือนสายลม
อยู่รอบๆตัวเราของเสมอ

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO