นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 7:17 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความสำเร็จ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 09 ส.ค. 2023 4:54 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
“ลูกเอ๋ย…. ความเมตตาปรานี พรหมวิหารธรรม ย่อมต้องมีอยู่ในจิตใจของทุก ๆ คนนั่นแหละ นะ…

แต่บางคราว เจ้ากิเลสตัวเชื้อโรคนี้ มันยังตัวฝังหัวลงบนจิตใจมนุษย์เข้าไปแล้ว จะไม่ไล่ไม่เข้าย่ํายีมันบ้างเลยนั้น ต่อไปมันจะเคยตัวนะ

ฉะนั้นเวลาถางป่ารก ๆ โดยเฉพาะป่ากิเลสนี้ เราต้องฟันหนักๆ หน่อย มิเช่นนั้นต้นรากเหง้ามันไม่ขาด ไม่ขุดรากขุดโคน ไม่ช้ามันก็งอกเงยขึ้นอีกไหมล่ะ

ยิ่งพวกเรานี่นะ ชอบเลี้ยง ชอบขุน รดน้ำพรวนดินอยู่เป็นประจํา ๆ มันจะกลับงามขึ้นอีก ประไรเล่า”

หลวงพ่อจึงพูดอยู่เสมอ ๆ ว่า…

ถ้ารู้ตัวเจ้ากิเลสนี้ มันจะอยู่ จะอาศัยอะไรอยู่ก็ต้องฟันให้มัน กระเทือนเลย มันจะได้รู้สึกตัว.."

หลวงปู่คำพอง ติสโส







"คนเรานี่.. เวลามีภัยคุกคาม มีทุกข์บีบคั้น
ก็ลุกขึ้นดิ้นรนขวนขวาย พอสุขสบายก็นอนต่อไป
พระพุทธศาสนาก็จึงต้องย้ำด้วยความไม่ประมาท
เพราะว่า เมื่อสบายแล้ว คนโน้มเอียงจะประมาท
ใคร ทั้งๆ ที่สุขสบายก็ไม่ประมาทได้
ก็คนนั้นแหละ.. เป็นคนที่ปฏิบัติธรรมได้ผล"

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ประยุตโต)






. การตำหนิติเตียนผู้อื่น ถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนอยู่ไม่เป็นสุขนั้น นักปราชญ์ถือเป็นความผิดและบาปกรรม ไม่มีดีเลย

จะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรอง

เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียดน่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำ

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร







"...พระพุทธศาสนาสามารถเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดี ฉุดรั้งคนจะตกนรกให้ขึ้นสวรรค์ เปลี่ยนคนยากไร้ให้กลับเป็นมั่งมี สอนคนโง่ให้กลายเป็นคนฉลาด และสำคัญที่สุดคือ สามารถขัดเกลาชำระล้างคนสกปรกด้วยกิเลส ให้กลับกลายเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์หมดจดอย่างสิ้นเชิงด้วยปัญญา กระทั่งหลุดพ้นจากห้วงทุกข์แห่งสังสารวัฏ นี้คืออานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆเจ้า.."
.
--- สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก







..การที่เราจะพ้นทุกข์ได้ก็คือว่า อะไรที่มันขัดข้องอะไรที่ไม่สมบูรณ์ เราก็จะพยายามที่จะทำให้มันเป็นประโยชน์ เพื่อจะได้ให้เกิดความสุขขึ้น ถ้าหากเรารู้จักหนทางการดำเนินวิถีชีวิตแล้ว ก็จะทำให้ชีวิตนี้ราบรื่นเต็มไปด้วยความเรียบร้อยก็จะทำให้มีความสุขได้ ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่พวกเราพากันพิจารณาว่าการที่พวกเราไม่ต้องการความทุกข์ ความทุกข์นี้ไม่มีใครต้องการ ไม่มีผู้ใดพึงปรารถนาเรื่องความทุกข์ ต้องการแต่ความสุข จึงได้พากันสร้างสมอบรมบุญบารมีคุณงามความดีเอาไว้เป็นที่พึ่งของตนให้เกิดให้มีขึ้นทุกท่านทุกคน..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






ท่านพ่อลี สอนว่า ...

"จงพากันขุดของดีในตัวเราด้วยความพากเพียรพยายาม ต้องมีความอดทนไม่เห็นแก่ความยากลำบาก

ในการที่เรามานั่งภาวนากันอยู่นี้ ก็เท่ากับเรากำลังขุดค้นของดี ธรรมดาของดีก็มักจะอยู่ลึก ไม่ใช่อยู่ตื้นๆ เหมือนหน่อไม้ยิ่งลึกอยู่ใต้ดินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอ่อนยิ่งหวานชวนรับประทาน"








ถ้าใครเคารพบูชาพระในบ้าน…เคารพพ่อ เคารพแม่ ซึ่งเป็นพระผู้ประเสริฐ
เป็นพระอรหันต์อยู่ในบ้าน…ใครทำได้อย่างนี้ รับรองรวยมหาศาล

คำสอน หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม






"...ถ้าท่านอยากสำเร็จมรรคผลนิพพานในชาตินี้..
ท่านอย่าละความเพียร..ที่เคยบำเพ็ญมา..
....ท่านอย่าท้อถอยเป็นอันขาด...
ให้ปฏิบัติตามที่เรา อบรมสั่งสอนมา...
ถ้าท่านทำตามนี้แล้ว เรารับรองได้เลยว่า...
ชาตินี้ท่านจะได้มรรคผลนิพพาน สมใจอย่างแน่นอน..."

โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต








ความดีต้องทำในปัจจุบัน

สิ่งใดที่มันล่วงมาแล้ว เลยมาแล้ว
เราไม่สามารถไปตัด ไปปลงมันได้อีกแล้ว
สิ่งที่เราทำไปนั้น ถ้ามันดีมัน ก็ดีไปแล้ว
ผ่านไปแล้ว พ้นไปแล้ว
ถ้ามันชั่วมันก็ชั่วไปแล้ว ผ่านไปแล้ว เช่นกัน
อนาคตยังมาไม่ถึง สิ่งที่ยังไม่มาถึง เราก็ยังไม่รู้เห็นว่ามันจะเป็นอย่างไร อย่างมากก็เป็นแต่เพียงการคาดคะเนเอาเอง ว่าควรเป็นยังงั้น เป็นยังงี้
ซึ่งมันอาจจะเป็น ไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดคะเนก็ได้
ปัจจุบัน คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราได้เห็นจริง ได้สัมผัสจริง
เพราะฉะนั้นความดีต้องทำในปัจจุบัน ทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี ต้องทำเสียในปัจจุบันที่เรายังมีชีวิตอยู่
เราต้องการความดี ก็ต้องทำให้เป็นความดีในปัจจุบันนี้
ต้องการความสุข ต้องการความเจริญ ก็ต้องทำให้เป็นไปในปัจจุบันนี้

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่





..มนุษย์ผู้ใดถือศีล 5 ได้มั่นเที่ยงแล้ว ผู้นั้นได้เป็นอุบาสกอุบาสิกาในพุทธศาสนา เป็นผู้มีปัญญา เกิดมามิเสียชาติ เป็นผู้ฉลาดนำความสุข มาใส่ตัว

ประเสริฐกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ทั้งมวล แก้วมณีโชติของพระยาจักพรรดิ์ ผู้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ทั้งปวง และเครื่องของขัตติยนารีทั้งหลาย มีแก้วแหวนเงิน (ทอง) คำ เป็นต้น เป็นของบำรุงตัณหากามคุณ เหมือนดั่งน้ำผึ้งแช่ยาพิษ สำหรับนำความทุกข์มาใส่ตัว โดยไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย

น้ำแม่คงคา ยมมุนา อจิรวดี มหิ มหาสรภู ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ทั้ง 5 แม่น้ำ แม้นจักเอามาอาบให้หมดสิ้นทั้ง 5 แม่นี้ ก็ไม่อาจจะล้างบาป คือ ความเดือดร้อนภายในให้หายได้ และฝนลูกเห็บ แม้นจะตกมาร้อยห่าให้เย็นและหนาวสักปานใดก็ดี ก็ไม่อาจจะเย็นเข้าไปถึงภายในให้หายความทุกขเวทนาได้..

..ศีล 5 เป็นอริยทรัพย์ เป็นต้นของความบริสุทธิ์ เป็นน้ำทิพย์สำหรับล้างบาป คือ ความเดือดร้อนภายในให้หายได้ เป็นบันไดแก้ว สำหรับก่ายขึ้นไปอยู่สวรรค์ สมดั่งพระบาลีว่า

"สีเลนะ สุคติงยันติ" ศีลให้เป็นที่จำเริญไปด้วยความสุข

"สีเลนะ โภคะสัมปทา" ศีลให้เป็นที่จำเริญไปด้วยโภคทรัพย์ทั้งมวล

"สีเลนะ นิพพุติงยันติ" ศีลทำประโยชน์ให้มีความสุขไปตราบถึงนิพพาน อันเป็นความสุขอย่างยิ่งได้แท้จริง

"ตัสสมา สีลัง วิโสทะเย" เหตุนั้นศีลเป็นของดีวิเศษยิ่งนัก หาอันใดจักเปรียบไม่ได้.

สมดั่งพุทธภาษิตว่า.."อัพพยา ปัชชัง สุขัง โลเก" ความไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นความสุขในโลก

พระธรรมคำสั่งสอนคือ ศีล 5 เป็นธงไชยเฉลิมโลก ถ้ามนุษย์ทั้งหลายพากันถือศีล 5 ได้ทั้งโลก มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีในโลกก็มีความสุข ธรรมก็มีความจำเริญ โลกกับธรรมถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน

ดังนี้แล้ว แผ่นดินโลกก็จักได้กลายเป็นแผ่นดินเมืองสวรรค์ (แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง) ...

ครูบาศรีวิชัย
ที่มา อานิสงส์ของศีล






"...ชาติปิทุกขา..ชราปิทุกขา..มรณัมปิทุกขัง..
การเกิด..เป็นการเริ่มต้นแห่งความทุกข์ในอัตภาพนี้ หากพิจารณากันจริงๆแล้ว ย่อมเป็นเช่นนั้น ความสุขในโลกนี้ บางคนเกิดมาทั้งชาติยังหาไม่เจอ เพราะการดำรงชีวิตให้อยู่ได้ด้วยความผาสุขนั้น เป็นเรื่องยาก ใครจะว่าเกิดมาแล้วนั้นมีความสุขความสบายนั้นอาจจะมองแบบผิวเผิน เป็นเพราะความทุกข์ที่เบาบางลง หรือลดลงในบางครั้งบางคราว จึงเรียกว่าสุข..แม้จะเกิดบนกองเงินกองทอง มีบริษัทบริวาร ที่อำนวยความสะดวก..ก็เป็นเพียงการบรรเทาความทุกข์ลงไปเพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะใจเป็นผู้รับรู้อาการเหล่านี้แต่เพียงผู้เดียว...
...ผู้มีปัญญาดังเช่นพระพุทธเจ้าย่อมเห็นว่าการเกิดนี้เป็นทุกข์ จึงได้ค้นหาหนทางเพื่อจะดับทุกข์. คือแสวงหาหนทางที่จะไม่ต้องมาเกิดนี่เอง..."

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO