นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 3:07 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เสียสละ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 06 ส.ค. 2023 7:22 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4546
วิธีฝึก ๘ อย่าง จะได้ไม่ “ทุกข์”

๑. ฝึกมองตัวเองให้เล็กเข้าไว้ หมายความว่า จงเป็นคนตัวเล็ก อย่าเป็นคนตัวใหญ่ จงเป็นคนธรรมดา อย่าเป็นคนสำคัญ เวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปให้ความสำคัญกับตัวเองมากไป

๒. ฝึกให้ตัวเองเป็นนักไม่สะสม หมายความว่า การสะสมอะไรสักอย่างนั้นเป็นภาระ ไม่มีอะไรที่เราสะสมแล้วไม่เป็นภาระยกเว้นความดี นอกนั้นล้วนเป็นภาระทั้งหมดไม่มากก็น้อย

๓. ฝึกให้ตนเองเป็นคนสบายๆ หมายความว่า อย่าไปบ้ากับความสมบูรณ์แบบ เพราะความสมบูรณ์แบบมันไม่มีจริง มีแต่คนโง่เท่านั้นที่มองว่า ความสมบูรณ์แบบมีจริง

๔. ฝึกให้ตัวเองเป็นคนนิ่งๆ หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่ดีๆ หมายความว่า ถ้าอะไรไม่ดีก็อย่าไปพูดมากไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกหรือผิด แต่ถ้ามันไม่ดี เป็นไปได้ก็ไม่ต้องพูด เพราะการพูด หรือวิจารณ์ในทางเสียหายนั้น มีแต่ทำให้จิตใจตนเองตกต่ำ และขุ่นมัว

๕. ฝึกให้ตัวเองรู้ธรรมชาติว่า อะไรๆ ก็ผ่านไปเสมอ หมายความว่า เวลามีความสุข ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความสุขมันก็ผ่านไป เวลามีความทุกข์ ก็ให้รู้ว่า เดี๋ยวความทุกข์ก็ผ่านไป เวลามีสถานการณ์แย่ๆ เกิดขึ้น ก็ให้รู้ทันว่า เรื่องราวเหล่านี้ มันไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย

๖. ฝึกให้ตัวเองเข้าใจเรื่อง ของการนินทา หมายความว่า เราเกิดมาก็ต้องรู้ตัวว่า เราต้องถูกนินทาแน่นอน ดังนั้น เมื่อถูกนินทาขอให้รู้ว่า “เรามาถูกทางแล้ว” แปลว่า เรายังมีตัวตนอยู่บนโลก คนที่ชอบเต้นแร้งเต้นกา กับคำนินทาก็คือคนไม่รู้เท่าทันโลก แม้แต่คนเป็นพ่อแม่ก็ยังนินทาลูก คนเป็นลูกก็ยังนินทาพ่อแม่ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถ้าเราห้ามตัวเองไม่ให้นินทาคนอื่นได้เมื่อไหร่ ค่อยมาคิดว่า เราจะไม่ถูกนินทา

๗. ฝึกให้ตัวเองพ้นไปจาก ความเป็นขี้ข้าของเงิน หมายความว่า เราต้องหัดพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ รถยนต์ใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน นาฬิกาใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน เสื้อผ้าใช้อะไรอยู่ ก็หัดพอใจกับมัน การที่คนเราจะเลิกเป็นขี้ข้าเงินได้ ต้องเริ่มจากการรู้จักเพียงพอก่อน เมื่อรู้จักพอแล้ว ก็ไม่ต้องหาเงินมาก เมื่อไม่ต้องหาเงินมาก ชีวิตก็มีโอกาสทำอะไรที่มากกว่าการหาเงิน

๘. ฝึกให้ตัวเองเสียสละ และยอมเสียเปรียบ หมายความว่า การที่คนๆ หนึ่งยอมเสียเปรียบผู้อื่นบ้าง เป็นเรื่องจำเป็น ใครก็ตามที่บ้าความถูกต้อง บ้าเหตุบ้าผล ไม่ยอมเสียเปรียบอะไรเลย ไม่ช้า คนๆ นั้นก็จะเป็นบ้าสติแตก กลายเป็นคนที่ถูกทุกอย่างแต่ไม่มีความสุข เพราะต้องสู้รบกับคนรอบข้างเต็มไปหมดเพื่อความถูกต้องที่ตนเองยึดมั่นถือมั่น

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช








#อุบายในทางปฏิบัติ

"...พอทำจิตให้สงบเป็นอุปจารสมาธิบ่อยๆ พอที่จะ
ประคับประคองจิตให้น้อมไปสู่การพิจารณาแนวทาง
พระไตรลักษณ์ คือพิจารณากายและความรู้สึกน้อมไป
สู่พระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็รีบกำหนด
พิจารณาทันที ไม่ต้องคอยให้จิตสงบเป็นอัปปนาสมาธิ
ปฏิบัติไปทำนองนี้ก็ย่อมจะเกิดผลแก่ผู้ปฏิบัติเหมือนกัน
ถ้าหากต่างว่าเราจะคอยให้จิตสงบเป็นอัปปนาสมาธิ
เสียก่อน เข้าฌานให้มันได้ชำนิชำนาญก่อน แล้วจึงไป
พิจารณาพระไตรลักษณ์ หรือยกจิตขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนา
ถ้าเผื่อว่าชั่วชีวิตนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เราจะมิตาย
เปล่าหรือ?..."

#ที่มา หนังสือ กตัญญู กตเวทิตา หน้า ๑๒๓
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)






''...เมื่อบุคคลยังไม่รู้จักตัวเอง
ธรรมะ ไม่เข้าถึงใจ ใจ ไม่เข้าถึงธรรมะ จะทำ
ความชั่วอะไรก็กลัว กลัวคนอื่นจะเห็น
กลัวพ่อแม่จะเห็น กลัวครูบาอาจารย์จะเห็น
กลัวคนอื่นจะรู้ คือคนยังไม่เห็นธรรม ก็ต้อง
เป็นอย่างนั้น

เมื่อไปในสถานที่ใดๆ ที่ว่างจากผู้คน
ว่างจากพ่อแม่ ว่างจากครูบาอาจารย์ เห็นว่า
ไม่มีเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีใครอยู่ในที่นั้น
ก็พยายามทำความชั่ว อยู่...ที่ตรงนั้น
ด้วยความประมาท เพราะความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง การกระทำเช่นนั้น เขาก็คิดว่า
เขาทำถูกแล้ว พ้นภัยแล้ว
เพราะว่า...ไม่มีใครเห็นเขา ไม่มี ใครรู้ว่าเขา
เป็นเขาอย่างนี้

ก็กระทำอย่างสนิทใจเลย
แต่คนคนนั้น ในทางธรรมถือว่าเป็นคนโง่ที่สุด คือ เป็นคน ดูถูกตัวเองที่สุด

ความเป็นจริง นั้น...
เมื่อจิตมันเป็นธรรมะ เมื่อธรรมะเป็นจิต มันจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกันเลย
จะไปทำผิดอะไรที่ตรงไหนเป็นต้น ก็ต้องมีคนเห็น คนอื่นไม่เห็น เราก็เห็น คนอื่นไม่รู้ เราก็รู้
ดังนั้น...ถึงจะไปอยู่ตรงไหน ก็เป็นอยู่อย่างนั้น
จึงเป็นธรรมะ ไม่กล้าทำ เพราะใจมันเป็นธรรมะแล้ว

พระอริยสาวกทุกๆ องค์
เมื่อใจเป็นธรรมะแล้ว ก็ต้องเป็นอย่างนั้นทุกๆ องค์ ที่ลับ...ไม่มี ที่แจ้ง...ไม่มี อะไรๆ มันก็...ไม่มี
รู้แต่ว่า...ท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่แล้ว..."

โอวาทธรรมโดย
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี (พ.ศ. ๒๔๖๑ – ๒๕๓๕)







"...พระพุทธศาสนาสามารถเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดี ฉุดรั้งคนจะตกนรกให้ขึ้นสวรรค์ เปลี่ยนคนยากไร้ให้กลับเป็นมั่งมี สอนคนโง่ให้กลายเป็นคนฉลาด และสำคัญที่สุดคือ สามารถขัดเกลาชำระล้างคนสกปรกด้วยกิเลส ให้กลับกลายเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์หมดจดอย่างสิ้นเชิงด้วยปัญญา กระทั่งหลุดพ้นจากห้วงทุกข์แห่งสังสารวัฏ นี้คืออานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆเจ้า.."
.
--- สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก







หลวงปู่ฉลวย สุธัมโม เล่าให้พระเณรฟังว่า

"วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมงผมทำกัมมัฏฐาน ๒๐ ชั่วโมง อีก ๔ ชั่วโมงให้พัก และหลังฉันแล้ว ให้พักอีกไม่เกิน ๓๐ นาที ทำอย่างนี้ติดต่อกันตลอดพรรษา

เกิดปีติสุข อย่างไม่เคยเจอความสุขอย่างนี้มาก่อน ทำจนแม้หลับตา ก็เหมือนมีไฟฟ้ามาติด สว่างไปหมดทั้งหมด ทำกัมมัฏฐานอย่างนี้ ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น แต่ไม่ค่อยมีใครทำกัน"
.
--- หลวงปู่ฉลวย สุธัมโม
วัดป่าบ้านวไลย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์






#อานิสงส์แห่งการแผ่เมตตา

บุคคลผู้ใดใฝ่ความสุข ความเจริญ ทั้งภพนี้และภพหน้า จงแผ่เมตตาให้ แก่มารดาบิดา แก่ญาติ ๆ และ มิตรสหาย แก่คุณครูบาและอาจารย์ แก่เหล่าเทวดาและเทพธิดา แก่เปรตทั้งหลาย แก่คนเป็นเวรกันทั้งหลาย และแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ย่อมได้รับอานิสงส์ แห่งการเจริญเมตตา ๑๑ ประการคือ

๑. เขานอนหลับเป็นสุข คือ หลับลึก หลับสบาย หลับสนิท หายใจเต็มปอด

๒. เขาตื่นนอน ร่างกายสดชื่นไม่อ่อนเพลีย สุขภาพจิตเข้มแข็ง จิตใจร่าเริง เบิกบานใจ สดใส

๓.เขาไม่ฝันร้าย ไม่ฝันเห็นสิ่งที่น่าเกลียด น่ากลัว ไม่ฝันมีคนมาทำร้าย ปองร้าย ทำตื่นให้สะดุ้ง หวาดผวา

๔. เป็นที่รักของ มารดาบิดา ญาติ ๆ ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย จนกระทั้งที่ไม่รู้จักกัน

๕. เป็นที่รักของพระอินทร์ พระพรหม เหล่าเทวดา เทพธิดาสรรพสัตว์น้อยใหญ่ สองเท้า สี่เท้า มากเท้า

๖. เหล่าเทวดา เทพธิดา ปกปักรักษาคุ้มครอง ไม่ให้มีภยันตรายใดๆ ให้มีความปลอดภัยให้มีสุขภาพแข็งแรง

๗.ไฟภายในไม่สามารถทำลายจิตใจเขาได้ ไฟภายนอกไม่สามารถทำลายเขาได้ ไม่สามารถทำลายทรัพย์สินเงินทองเขาได้ ยาพิษ สารเสพติด สารเคมี สารให้โทษ ไม่สามารถทำลายเขาได้ อาวุธร้าย เช่น ปืน ผา หน้าไม้ มีด ขวาน หอก สิ่งมีคม ไม่สามารถทำลายเขาได้

๘. จิตของเขาเป็นสมาธิ ตั้งมั่น สงบนิ่ง แนวแน่ ไม่หวั่นไหว ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ซัดส่ายไปมา

๙.มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้าสดชื่น ผ่องใส เบิกบาน อิ่มเอิบ ยิ้มแย้ม แจ่มใส ร่าเริง อารมณ์ดี น่ารัก น่าชม

๑๐.เวลาเจ็บไข้ ได้ป่วย ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่ทุรนทุราย ไม่หลงลืมสติ ละเมอ เพ้อฝัน ตายอย่างมีสติ เหมือนคนนอนหลับ

๑๑.ถึงเขายังไม่ได้บรรลุธรรมชั้นสูง ที่เป็นโลกุตรธรรม ตายไปแล้ว ก็สามารถถึงพรหมโลกได้

ที่มา : ( อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เมตตาสูตร)วินัยปิฎก ปริวาร เล่ม 10 หน้า 517







..#เงินมันก็ดีนะแต่ขอให้ได้มาทางที่ถูกต้อง..
..คดีโลก มันก็มีประโยชน์อยู่ แต่ที่มันยังแก้ปัญหาไม่ตก เพราะไม่มีคุณธรรมเป็นเครื่องประกอบ เหมือนเรามีแขนข้างเดียว เข้าใจ บ่..เราจะจับของได้ไม่ดี เข้าใจมั๊ย..
..ถ้าเรามีสองข้าง มีหลักทั้งทางโลกและหลักธรรม นี่มันจะมั่นคง จับของได้อย่างแน่นหนาเลย อย่างอยู่ตัวเลย อาตมาพูดเปรียบเทียบให้ฟัง
..ถ้าคดีโลกเรียนจบดอกเตอร์เลย ไม่ได้เรียนธรรมะ มันก็จะยังฉ้อ ยังโกง ยังคอร์รัปชัน ยังถกเถียงกันอยู่ แก่งแย่งกันอยู่ เพราะไม่มีธรรมะเป็นเครื่องระงับกิเลส เข้าใจ บ่..
..ธรรมะเป็นเครื่องระงับกิเลสโดยตรง #ถ้าดับไม่ได้มากก็ขอให้มันเบาบาง อย่าให้มันเกินไป
กินเกินไปก็ท้องแตก นี่พูดตามความจริงนะโยม
#เงินมันก็ดีนะแต่ขอให้ได้มาทางที่ถูกต้อง..

..#โอวาทธรรมหลวงปู่เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป..
วัดอรัญญวิเวก ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่







#เตรียมเสบียงไว้ก่อน

"...การให้ทานทำให้เราสละความหลงผิดได้ ทำให้เรา
ไม่ลืมตัว เวลาตายเราก็มีสมบัติติดตัวไป คนเราตอน
เป็นๆ ไม่ได้นึก มานึกเอาตอนจะหมดลมแล้ว มันไม่ทัน

ทาน ศีล ภาวนา ต้องนึกตั้งแต่ตอนกำลังกายกำลังใจ
ดีๆ จะไปรอวันตายวันเจ็บไม่ได้ ฉะนั้นคนที่ให้ทานจึง
เป็นคนที่เตรียมเสบียงของตนเองไว้ เป็นผู้ไม่ประมาท

ถ้าใจของเราสงบ กิน เดิน นั่ง นอน คิดนึกก็สบายใจ
อันนี้ไม่ต้องภาวนา ถือว่ามันเป็นปกติแล้ว แต่ถ้ายังไม่
สงบก็ต้องหัดภาวนา ภาวนาจนกว่าใจจะเย็นลงสงบลง
ภาวนานี่เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ทั้งปวงในใจเรา

คนเราถ้าไม่ปฏิบัติจะไม่ฉลาดในพระรัตนตรัย จะไม่เข้า
ใจจะไม่เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา การเรียนกรรมฐาน
ทำให้สิ้นสงสัย เกิดความเข้าใจและศรัทธาในคำสอน
ของพระพุทธเจ้าว่า สิ่งที่พระองค์ทรงสอนไว้จริงทุก
อย่าง ปฏิบัติตามแล้วได้ผลหมด จึงเชื่อว่าพระพุทธเจ้า
นี่ประเสริฐเลิศจริงๆ..."

#ที่มา หนังสือ มุมมองส่องใจ หน้า ๒๗
หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO